xs
xsm
sm
md
lg

“ชีวิตป๋าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว” เทพ โพธิ์งาม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ยังจะให้ป๋ามากระดกหัวอีกเหรอ? มันปัญญาอ่อนเกินไปน่ะ” เขาเอ่ยขึ้น ในชุดกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดขาวเนื้อบางพร้อมหมวกแก๊ปกับแว่นสายตาคือเครื่องแบบหลังเวที แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าเสื้อยืดกางเกงยีนส์ถูกแทนที่ด้วยชุดสูท หมวกถูกถอดออกเผยให้เห็นหัวล้านเลี่ยน มุกประจำที่เล่นมาหลายขวบปีก็ยังคงถูกสั่งให้เล่นเสมอ...“กระดกหัว” กลายเป็นมุกและกริยาเฉพาะของเขา

หลังเวทีร้านกระทะปิ้งย่าง ทีมงาน M-Lite นั่งลงพูดคุยกับบทเรียนที่ผ่านมาของชีวิต ป๋าเทพหรือเทพ โพธิ์งาม จากดาวตลกรุ่นใหญ่ของเมืองไทยสู่ชายผู้ล้มละลายทางธุรกิจ กับจุดเปลี่ยนอีกครั้งอันไม่มีที่สิ้นสุด และในฐานะพ่อที่วันนี้ลูกสาว (ท๊อฟฟี้ - นิชาภา โพธิ์งาม)กำลังร้องเพลงอยู่บนเวทีร้านที่เขาเป็นเจ้าของร้าน(ส่วนหนึ่ง)

“มันเบื่อมานานมากแล้วนะ คือถึงตอนนี้ป๋าว่ามันไม่ใช่แล้วน่ะ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงละเหี่ยใจ หลังชีวิตในวงการตลกกว่า 40 ปี ผ่านแสงไฟของชีวิตตลกคาเฟ่ตามห้องอาหาร ผ่านภาพยนต์เรื่องดัง รายการทีวียอดนิยม กระทั่งหายหน้าหายตาไปจากวงการ และกลับมาเปิดร้านบุฟเฟต์กระทะปิ้งย่างอยู่ย่านลาดพร้าว!

คำถามที่ตามมาจากชื่อเสียงในทางธุรกิจที่ตรงข้ามกับชื่อเสียงในวงการตลก จากความล้มลุกคลุกคลามทางธุรกิจตั้งแต่ร้านชำ อู่ซ่อมรถ ร้านเสริมสวย บ้านจัดสรร จนถึงน้ำข้าวกล้องคือ “จะไปรอดเหรอ?”

“ไม่มีอะไรจะเสีย ป๋าเข้ามาเป็นหุ้นลมไม่ได้ลงทุนอะไร อาศัยชื่อเสียงแล้วก็ดูแลเฉพาะเรื่องโชว์บนเวที” เขาเอ่ยตอบ “ที่ผ่านมาตอนนี้ก็ดีมาก คนเยอะตลอด ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปสักปีก็สบายแล้ว”
 
ถึงตอนนี้เขายังคงมีหนี้สิน ใจหนึ่งยังคงเข็ดขยาดกับการเป็นหนี้ แต่อีกใจก็ไร้ซึ้งความหวาดกลัวในการจะเผชิญหน้ากับสิ่งใหม่
 

มีเหตุผลพิเศษอะไรกับการกลับมาทำธุรกิจอีกครั้ง?
 
อันนี้เข้ามาแบบไม่รู้ตัวเป็นคนไม่รู้จักกัน อยู่ๆ มาติดต่อ คิดกันไม่ถึง 2 เดือน หุ้นส่วนเขาเป็นนักธุรกิจบอกเคยดูป๋ามาบ้างก็พูดคุยกันไม่นาน ผมมาดูที่ทางไม่ทันได้พูดรายละเอียดก็ตูมตามๆ ทำกันแล้ว แต่มันก็โอเค ทุกอย่างสมบูรณ์ หุ้นส่วนเขาเก่งทางนี้อยู่แล้ว เขาก็จัดการเรื่องอาหารเมนูในร้านไป ป๋าจัดการเฉพาะเรื่องโชว์บนเวทีเพราะป๋าไม่กินเนื้อสัตว์ เขาทำอะไรก็ให้ทำไป ส่วนทุนเราก็ไม่ได้ลงทุนอะไร ต้นทุนเป็นของฝ่ายนั้น ผมเป็นหุ้นลมใช้ชื่อเสียงแล้วเขาค่อยแบ่งเป็นสัดส่วนซึ่งเราก็พอใจ แต่มันจะไปยังไง ขายดีหรือไม่ก็เป็นเรื่องของอนาคต

หลังจากเปิดร้านผลตอบรับเป็นอย่างไร? มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?

ตั้งแต่วันแรกคนก็เต็มตลอด ป๋าก็คิดว่า เอ๊ะ หรือมันจะดีวะ? (หัวเราะ) แต่ก็ไม่แน่ใจต้องดูกันยาวๆ เดือนนี้ เดือนหน้า ปีนี้ ปีหน้าจะเป็นยังไง แต่ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ก็โอเคเลย ถ้าดีอย่างนี้สักปีสบายใจแล้ว แต่ก็ไม่แน่มันอาจจะเป็นแค่กระแสหรือเปล่า

นอกจากนี้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือมีคนกลับมาจ้างงาน ป๋าก็รับไปอย่างนั้นแหละ จริงๆ ไม่ค่อยอยากกลับไปแล้ว เพราะมันต้องดูด้วยถ้าหนังที่ตลกปัญญาอ่อนเกินไปมันก็ไม่ไหว ให้เป็นผู้ใหญ่หน่อย ตลกในเรื่องในราวหน่อย ป๋าชอบอย่างนั้น หรือนั่งคุยกันขำๆ สบายก็ดี แต่จะให้ไปแงะๆ งะๆ กระดกหัว ไม่ไหวหรอก ป๋าแก่แล้ว ผู้กำกับบางคนไม่รู้ให้เราไปทำปัญญาอ่อน เราก็เบื่อเหมือนกัน ยิ่งเป็นตลกทีมยิ่งไม่เอาเลย เบื่อมากแล้ว ไม่ไหวจริงๆ

คิดไกลไปหรือเปล่ากับการไปเปิดร้านที่ประเทศลาว?

วางแผนไว้แล้วแหละ ไปแน่ไม่ไกลเกินฝัน ก่อนหน้านี้ป๋าก็คิดจะไปอยู่ปลูกผักที่ลาวแล้ว แต่ยังไม่ได้ไป พอมีร้านตรงนี้ก่อน ตอนนี้เลยถ้าจะไปก็เอาร้านนี้ไปลงเวียงจันทน์เลย พม่าก็เล็งๆ ไว้ แต่ประเทศลาวคือเราได้ไปอยู่มาสักพักหนึ่งแล้ว ไปเที่ยวดูแล้ว ทั้งเศรษฐกิจ การค้าเป็นยังไง ค่าครองชีพเขาสูงกว่าเรานะ มันเป็นเรื่องธรรมดาของเขา เมื่อก่อนยังมีอาหารราคาคนท้องถิ่น แต่ตอนนี้เป็นราคานักท่องเที่ยวหมดแล้ว ก๋วยเตี๋ยวราคาชามละ 70 - 80 บาท การใช้จ่ายก็ใช้จ่ายมากกว่าเรา ทรัพยากรเขาก็เยอะ ต้องยอมรับว่าที่นั่นมันมีโอกาสเยอะแยะ ป๋าเลยว่ามันน่าจะลองไปทำอะไรไว้บ้าง เลยลองไปดู ทำให้มันใหญ่หน่อย อาจจะใหญ่กว่านี้ หรูกว่านี้

ชื่อ “ป๋าเทพ” ถือว่าเป็นที่รู้จักในประเทศลาวมากน้อยอย่างไร?

 
เออๆ รู้จักนะ คนลาวดูทีวีจากบ้านเราหมดทุกอย่าง และเขาตื่นเต้นกว่าบ้านเราอีก เพราะว่าบ้านเรามันเห็นจนชินแล้ว แต่บ้านเขายัง “เออ ป๋าเทพๆ” ทั้งตลาดมามุงดูซึ่งเราก็ไม่รู้ คิดว่าเขาคงจำเราไม่ได้ แต่กลับจำได้ แล้วภาษาก็คุยกันง่ายด้วย คุยพอเข้าใจกัน แต่ขายอาหารพวกนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับภาษาเท่าไหร่ มันเห็นแล้วมันกินได้ทั้งนั้นแหละ ให้มันรู้ตัวเลขก็พอแล้ว

มีวิธีรับมือกับความล้มเหลวที่ผ่านมาอย่างไร?

ป๋าไม่ได้คิดว่ามันล้มเหลว สิ่งที่ผ่านมามันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีความสุขในการที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ป๋าได้ทำโน่นทำนี่เหมือนคนได้ทำงานแล้วมีความสุข ทำเพราะความชอบความอยากจะทำ มันก็ไม่เสียหาย คนบอกว่าเจ๊ง มันไม่ได้เจ๊งอะไร ความรู้สึกคือเราได้ขยับตัวมากกว่าคนอื่นที่อยู่ใกล้ๆเรา เออ คุณอยู่นิ่งๆ แต่เราขยับไปเรื่อย ข้างหน้ามันยังมีโอกาส คุณไม่ไป ช่างคุณ เราจะไปแบบเถือกๆ ไปเนี่ย เขาอาจจะบอก เฮ้ย ไปเดี๋ยวก็ตาย เราจะลองไป ลองดูว่าจะตายยังไง แต่นั่นแหละความสุขเหล่านี้บางทีมันก็เป็นทุกข์เพราะถ้าเจ๊งมากๆ เข้ามันก็ต้องใช้หนี้เท่านั้นเอง ก็ทำๆมันไปเมื่อไหร่จะหมดก็เรื่องของมันเถอะ

การดำเนินชีวิตกับการได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างให้บทเรียนอะไรกลับมาบ้าง?

มันจะมาเป็นก้อนๆ แล้วรวมกันเป็นตำรา เป็นบทเรียนที่เราต้องจดจำ ไปเจอเข้าอีกเราจะได้แก้ไขปัญหาแบบเดิมนั้นไปได้ แต่ที่เราจะพลาดพลั้งคือสิ่งใหม่อีก หลายสิ่งหลายอย่างเราคิดว่าเรารู้แล้ว แต่สุดท้ายมันก็ยังมีของใหม่ที่เราจะต้องผิดพลาดอีกและเยอะด้วย ป๋ามองว่ามันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ อย่างที่พระเขาว่าไว้ ถ้าเราไม่ยึดติดเราจะมีความสุข หนทางต่อไปเราอาจจะเจอสิ่งใหม่ให้เราพลาดอีก แต่ตอนนี้ โอเค มีอะไรเกิดขึ้นเราก็รับมาดูแล้วก็พิจารณา ดีก็เก็บไว้ ไม่ดีก็เขี่ยทิ้ง ไม่เอามาใส่สมอง ไม่ต้องเสียดาย

คิดอย่างไรเมื่อบางคนมองว่าเทพ โพธิ์งามเป็นแรงบันดาลใจในการสู้ชีวิต?

ป๋าไม่ใช่คนสู้ชีวิตสักเท่าไหร่ ทุกคนก็สู้ชีวิตกันทั้งนั้น คนลำบากกว่าเราก็เยอะ แค่นี้ลำบากมันไม่ใช่หรอก คนลำบากที่ต้องไปนอนอยู่ใต้สะพานลอย อยู่ตามข้างถนนยิ่งกว่าเรากี่เท่า เรามันเป็นจุดเด่นตรงที่เป็นดารา ใครก็มาถามเราเพราะป๋าดูติดดิน แต่งตัวเสื้อยืด กางเกงยีนส์ จริงๆ มันแค่ใส่แล้วสบายใจกว่าแต่กลับเป็นภาพลักษณ์ของป๋าซึ่งคนส่วนมากเห็นแล้วก็สงสาร เลยมองว่าผ่านอะไรมาก็ดูเป็นคนสู้ชีวิต จริงๆ แล้วไม่เลย

มองตลกรุ่นใหม่เป็นอย่างไรบ้าง?

ตลกรุ่นใหม่ตอนนี้เป็นยุคที่อยู่นิ่งๆ แล้ว นอกจากพวกที่อาศัยว่ามีชื่อเสียงหน่อยก็ยังพอจะหากินได้ แต่คนที่จะเกิดใหม่มันจบแล้วเพราะแรงกระตุ้นทุกอย่างมันอ่อนลงหมด พร้อมกับสถานที่ที่จะไว้ฝึกฝนได้ขึ้นเล่นทุกคืนมันก็หมดไป หมายถึงตามห้องอาหาร คาเฟ่ หรือหมูกระทะ มันเลิกหมดแล้ว เปลี่ยนไปเป็นนักร้องมาร้องแทน ตรงนี้ก็ยิ่งหมดไปใหญ่ ไม่มีแล้วตลกสายคาเฟ่ ตลกทีมจะมาฟื้นอีกมันก็ไม่ได้แล้ว มันเป็นเรื่องของยุคสมัยด้วย โชว์ของที่นี่ก็พยายามให้มีตลกทีมรุ่นใหม่ขึ้นเล่น แต่ก็ไม่รู้มันเล่นเรียกแขกหรือไล่แขก(ส่ายหน้า) พัฒนาก็ไม่ได้แล้ว แต่ก็ต้องช่วยๆ กันไป ป๋าเลยว่า มันหมดยุคตลกคาเฟ่ไปแล้วแหละ เหลือแต่แบบเป็นเรื่องเป็นราวในทีวี

เรื่องหนี้ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?
 
ยังไม่หมด ขายบ้านใช้หนี้ให้มันเบาบางที่สุด จะได้สบายใจ ใช้เงินให้ได้เต็มๆ มือหน่อย ก่อนนี้ใช้ไม่เต็มมือ ได้ 100 บาทใช้ 40 บาทได้มั้ง ประมาณอย่างนั้น ไม่ไหว ชีวิตมันก็อยู่ลำบาก ได้เงินมาก็ไปใช้เขาหมด หนี้ - ดอกเขา บางทีก็เป็นแสนเป็นล้าน เราก็เสียดาย เอาให้ลูกกินให้หลานกินหรือเอาไปเลี้ยงสัตว์ก็ได้ไม่รู้เท่าไหร่

ในฐานะพ่อกังวลหรือไม่กับการทำธุรกิจหลายอย่างแล้วไม่สำเร็จมากนัก?

ไม่มีเลย เพราะเราจะไม่ให้มีผลกับลูก เราทำก็ทำของเราเอง มีเตรียมไว้บ้างในยามที่เราไม่ไหวแล้ว นอกจากนั้นสุดท้ายเราทำมามีเท่าไหร่ก็ของลูกหมดแหละ ร้านนี้ก็ลูกชาย ลูกสาว เมียก็มาช่วยกันทำ ต่างคนต่างช่วยกัน ป๋าไม่อยากให้ลูกไปเป็นลูกจ้าง ไม่ชอบ ชอบทำอะไรเองไม่ก็หุ้นกับเขา เคยเป็นลูกจ้างนานมาแล้วก็อยู่ไม่ได้ คือเราเป็นแบบด่ามาก็ด่ากลับเหมือนกัน เงินไม่เอา ป๋าเลยให้ลูกมาทำงานด้วยกัน คือแต่เดิมเขาก็มีงานของเขา แต่เราเห็นว่าทำที่ร้านเราเองมันดีกว่า ไม่มีใครมาบังคับเรา ลูกมันก็มีความสุข เราเห็นลูกทำอย่างนี้ก็มีความสุขด้วย

คำว่า “พ่อ” ในนิยามของป๋าคืออะไร?

พ่อมีหน้าที่คอยดูแลลูกอยู่ห่างๆ เราต้องคอยดูแลปกป้อง แต่ไม่ได้เข้าไปโอบไปอุ้มเขา ปล่อยให้เขาได้เดินของเขาเอง ผิดพลาดยังไงคอยประคองเขา เราคงจะไปจูงมือเขาไม่ได้เพราะสักวันเราก็คงไม่มีชีวิตอยู่จูงเขาไปตลอด ดังนั้นเขาต้องเดินคนเดียวให้ได้ ป๋าเองไม่มีคำสอนอะไรให้ลูก เพราะเราก็อยู่ด้วยกันเห็นๆ กันอยู่ ป๋าว่ามันก็เรียนรู้อยู่ทุกวันซึ่งก็ดี มันจะได้ดิ้นรน ได้รู้คุณค่าของร่างกายที่ได้ลงแรงลงกำลังไปแล้วได้สิ่งตอบแทนกลับมา ให้มันลำบากหน่อย ให้มันยากหน่อย แล้วต่อไปมันจะได้คล่องตัว เหมือนอย่างนักมวยก่อนจะเป็นแชมป์มันก็ต้องซ้อม ต้องเหนื่อย ถ้าอยากเป็นแชมป์ก็จะต้องทนและคนพยายามเท่านั้นที่จะเป็นแชมป์ได้

แสดงว่าที่ผ่านมาไม่ได้เลี้ยงลูกอย่างทะนุถนอม?

ใช่ ลูกคนรวยโตมาอย่างสุขสบาย เขาอาจจะไม่ได้มองเห็นไปถึงข้างล่าง อยู่บนกองเงินกองทอง บทเรียนไม่ค่อยได้เจอ หากเจอวิกฤตเข้ามาก็จะลำบาก แต่กับลูกคนที่เขาลำบากยากจน ผ่านหลายอย่างมาแล้ว ความคิดจะแข็งแกร่งกว่า อยู่ได้ยาวนานกว่าในโลกใบนี้ นี่คือบทเรียนที่เราสั่งสอนให้ลูกหรือไม่ต้องสั่งสอน คือเราปล่อยให้เขาทำไป เขาจะเรียนรู้ของเขาเอง ไม่จำเป็นต้องมานั่งบอกสั่งสอนเขา มันไม่เกี่ยวเลย เพราะเอาเข้าจริงเราจะมานั่งสอนเขาเหมือนยุคเราก็ไม่ได้ บทเรียนคนละแบบเราต้องปล่อยเขา

เหตุที่เลี้ยงวัว ควาย หมา แมวที่จังหวัดราชบุรีไว้เป็นเพราะอยากกลับไปใช้ชีวิตชนบทหรือเปล่า?

ป๋าไม่มีความโรแมนติกมากมายหรอก อยู่ตรงไหนก็ได้ไม่เกี่ยงทั้งนั้น อยู่กรุงเทพฯ อยู่เมืองมานานแล้ว อันนี้เอาไว้สำหรับเราไปเจอบ้าง เลี้ยงเขามาหลายปีแล้วทำใจขายไม่ได้จริงๆ ลงไปก็นั่งอยู่ได้ 2 - 3คืน แต่เราต้องรีบกลับมาเข้าเมืองเพื่อจะต้องหางานให้ได้ สัตว์มันต้องกินต้องใช้ เราก็ต้องกินต้องใช้ ลูกหลานก็ต้องกินต้องใช้ เราไปอยู่อย่างนั้นเลยไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ เอาที่ไหนกินละ

ยังคิดถึงวันวานที่โด่งดังอยู่หรือเปล่า? มีเป้าหมายอะไรช่วงนี้?

โอย! พอแล้ว มันเบื่อแล้ว ไม่ได้อยากกลับมาดังแล้ว ป๋าไม่มีเป้าหมาย ป๋าไปเรื่อยๆ เหมือนขอนไม้ลอยไปเรื่อยๆ ติดตรงไหนก็ตรงนั้นแหละ เพียงแต่เราจะประคองให้มันลอยไปได้อย่างไร อย่าให้มันจมตายก็พอแล้ว ให้มันลอยไปเรื่อยๆ มันไม่มีจุดหมายเพราะมนุษย์เรามันหาจุดหมายไม่ได้หรอก ไม่มีใครหรอกที่จะได้อย่างใจที่วาดเอาไว้

เรื่องโดย อธิเจต มงคลโสฬศ
ภาพโดย ปัญญพัฒน์ เข็มราช

มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!

และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754






กำลังโหลดความคิดเห็น