หนึ่งในสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เสมอก็คือเรื่องเซ็กซ์! การโชว์เรือนร่าง เปิดเผยเนื้อหนัง อัพรูปถ่ายโพสท่าวาบหวามเป็นเครื่องมือหนึ่งในการใช้เรื่องเพศมาเป็นตัวดึงดูดความสนใจ สิ่งนี้กลายเป็นการตลาดตามตำราเก่าแก่ที่หลายคนเลือกที่จะใช้
เมื่อมองไปในสังคมทั้งสื่อโฆษณา ละครทีวี ภาพยนตร์กระทั่งดนตรีก็ยังใช้ความเซ็กซี่เป็นจุดขาย ถึงตอนนี้ในโลกออนไลน์ที่ทุกคนมีสื่อเป็นของตัวเอง ข้อมูลที่มากล้นวิ่งวนเวียนเปลี่ยนผ่านไปในแต่ละวัน การดึดดูดความสนใจถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับ 1 กระทั่งร้านก๋วยเตี๋ยวยังมีจุดขายที่แม่ค้าสุดแซ่บแต่งตัวเซ็กซี่ แล้วต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น!!!
ขายของหรือขายเซ็กซ์
กลายเป็นประเด็นที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ หลังจากมีการแชร์ภาพแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวแต่งชุดวาบหวามโพสท่าวาบหวิว ที่หลายคนมองว่า “เกินงาม” แต่อีกหลายคนก็เห็นว่าเป็นจุดขายหนึ่งของร้าน ทว่ากรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่การใช้เซ็กซ์ไปกับการดึดดูดความสนใจในเชิงการตลาด หากแต่มีอีกหลายกรณีที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังมีดีกรีที่รุนแรงร้อนแรงมากขึ้นอีกต่างหาก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทำให้แทบทุกคนมีสื่อเป็นของตัวเอง อีกทั้งยังเชื่อมโยงผู้คน ทำให้ทุกคนสามารถค้นหาสิ่งที่ตนเองสนใจได้ง่ายขึ้น และแน่นอน เรื่องเพศก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต่างให้ความสนใจไม่ว่าในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม
เมื่อสังคมสนใจเรื่องเพศเป็นปกติ สอดรับกับความต้องการในการดึดดูดผู้คนให้เข้ามาสนใจ ไม่แปลกที่จะเกิดปรากฏการณ์เปิด “เนื้อ - นม - ไข่” ดึดดูดผู้คนมากขึ้น
ตั้งแต่ในสื่อกระแสหลักที่เน้นเนื้อหารุนแรงและมีเรื่องเพศเข้ามาดึงดูดไม่ว่าจะเป็นหนัง ละคร เพลงแม้กระทั่งโฆษณา กรณีเจมี บูเฮอร์ดาราสาวที่กลับมาเป็นที่สนใจของสังคมอีกครั้งจากภาพหลุดถือเป็นกรณีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการขายความฉาวที่มีพลังดึงดูดกระแสสังคมได้เป็นอย่างดี
เมื่อไม่นานมานี้กรณีของ ปิ๋ม ซีโฟว์ นักร้องลูกทุ่งสาวที่ห่างหายไปจากวงการจนคนแทบจะหลงลืม ก็กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งจากคลิปเพียงคลิปเดียวที่เจ้าตัวเต้นท่าเซ็กซี่แรงถึงขั้นหลายฝ่ายออกมาประณาม
ทั้ง 2 กรณีข้างต้นจะเห็นได้ชัดว่า สามารถเรียกกระแสทำให้ผู้คนสนใจ กลับมามีพื้นที่สื่อได้อย่างง่ายดาย แม้จะเป็นกระแสลบก็ตาม การออกมาขอโทษและขอความเห็นใจจากสังคมเป็นทางออกที่ถูกหยิบมาใช้เสมอ ท้ายที่สุดทั้ง 2 ก็ได้ประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว
เมื่อมองมาในโลกของโซเชียลมีเดีย การขายความเซ็กซี่ก็มีในระดับที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่โพสต์รูปสาวเซ็กซี่ปั่นยอดไลค์เพจขายโฆษณา หรือจะเป็นแนวพริตตี้ขายอาหารเสริมหรือผลิตภัณฑ์ความงามที่มักจะเน้นโชว์สัดส่วนเรือนร่าง
กรณีล่าสุดที่เป็นข่าวของแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวนั้น ส่วนหนึ่งมาจากธรรมชาติของโลกออนไลน์ที่การวิพากษ์วิจารณ์มักเกิดขึ้นได้เสมอซึ่งเป็นได้ทั้งในแง่บวกและลบ หลังจากเป็นข่าวแม่ค้าคนดังกล่าวก็โพสต์ข้อความถึงกระแสที่เกิดขึ้นว่า ตนเองไม่ได้มีแต่การโพสต์ภาพเซ็กซี่เท่านั้น ยังมีเรื่องราวอื่นๆอีกมากมายที่แฝงสาระไว้
“อย่ามองแต่หน้าและนม เรายังมีการดำเนินชีวิตในการทำงานหนักและการเลี้ยงดูแลครอบครับแบบไม่น่าเบื่อ คำสอน แง่คิดดีๆในการทำธุรกิจ...บอกเล่าถึงความขยันอดทน การต่อสู้ดิ้นรน รวมถึงสอนการให้แบ่งปัน กตัญญูต่อพ่อแม่ สอนให้ดูแลตัวเอง สร้างความมั่นใจให้คนที่ขาดความมั่นใจในรูปร่างหน้าตาจนกลายเป็นคนใหม่ ถ้าคุณมองให้ต่ำตัวคุณก็จะต่ำ ถ้าคุณมองแบบมีความคิด คุณจะได้รอยยิ้มและอะไรมากมายกลับไป”
ที่ผ่านมา “มันแกว” แอดมินเพจ munkaw chaos girl เจ้าของฉายานมคุณธรรมเป็นอีกคนที่สร้างกระแสจากความเซ็กซี่ของเรือนร่าง โดยเธอเคยพูดถึงการตลาดในแบบของตัวเองไว้ว่า
“นมหรือการแต่งตัวเซ็กซี่ก็เป็นความชอบแต่เดิมของแกวอยู่แล้ว ตรงนี้ก็ถือเป็นการตลาดอย่างหนึ่งที่สร้างจุดสนใจให้คนมาสนใจสิ่งที่แกวพูด เกมที่แกวเล่นและทำงานให้อยู่ แต่พอทุกคนเข้ามาติดตามกันแล้ว แกวก็ไม่ได้มีแต่ความเซ็กซี่อย่างเดียวก็มีเรื่องอื่นๆให้ติดตามด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิต ความคิดกับประเด็นต่างๆ แกวคิดว่าคนที่สนใจติดตามแกวส่วนใหญ่ก็มาจากการที่แกวให้ความเป็นกันเองเหมือนเพื่อนกับทุกๆ คนมากกว่า”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การโชว์เนื้อหนังของหญิงสาวนั้นเป็นสิ่งดึงดูดที่ขับเคลื่อนด้วยพลังทางเพศ ไม่ว่าจะในดีหรือแง่ร้ายพวกเธอก็จะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงและโด่งดังเป็นที่รู้จัก
เซ็กซี่มีดีแค่สร้างกระแส
ไม่ต้องเปิดตำราการตลาดหลายคนก็รู้ว่า ความเซ็กซี่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ ผศ.ดร.ภิเษก ชัยนิรันดร์ อาจารย์ประจำสายวิชาบริหารธุรกิจและการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดโซเชียลมีเดีย มองว่า การขายความเซ็กซี่อาจเป็นจุดขายหนึ่งที่ดึดดูดความสนใจของลูกค้าบางกลุ่มได้ อาจเป็นเฉพาะกลุ่มผู้ชาย แต่โดยมากแล้วการตลาดลักษณะนี้ก็มีข้อดี - ข้อด้อยของมันเองอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกใช้อย่างไร
“ข้อดีคือมันดึงดูดผู้คนได้ง่าย หากเป็นสินค้าที่ขายทางเฟซบุ๊กอย่างอาหารเสริมแม้จะไม่เกี่ยวกับเรื่องความเซ็กซี่แต่ก็จะมีการใช้ภาพผู้หญิงที่เป็นพรีเซนเตอร์ที่ดูเซ็กซี่มาประกอบเป็นจุดขายเสมอ นั่นเพราะภาพเหล่านี้ดึงดูดความสนใจได้และทำให้คนกดไลค์มากกว่า”
ทว่าในส่วนของข้อเสียนั้น เขาเผยว่า คือการทำให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี ดังนั้นหลายแบรนด์จึงไม่นิยมใช้ความเซ็กซี่มาเป็นจุดขายทางการตลาด สำหรับกรณีร้านก๋วยเตี๋ยวที่เป็นข่าวนั้น เขามองว่า อาจเป็นการถ่ายเพื่อความสนุกส่วนตัวด้วย ถือเป็นจุดเด่นจุดขายที่สร้างความแตกต่างในตัวเอง ทว่าสิ่งสำคัญของร้านอาหารที่แท้จริงแล้วคือความอร่อยมากกว่า
“สำหรับร้านอาหารส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่สำคัญอันดับ 1 คือเรื่องของอาหาร การตลาดสำคัญรองลงมา ถ้าการตลาดดีด้วย ทำให้คนสนใจได้แล้วรสชาติอาหารก็อร่อยมันก็ไปด้วยกันได้ แต่ถ้าอาหารรสชาติงั้นๆ กระแสมันก็มาได้แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ ถ้าจะเน้นการตลาดต่อเนื่องก็ต้องหาอย่างอื่นมาใส่ไปเสริมเข้าไป”
สอดคล้องกับความเห็นของ ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย นักการตลาดชื่อดัง ที่มองว่าการตลาดที่ใช้ความเซ็กซี่นำหน้านั้นควรทำเพียงระยะแรกให้คนรู้จัก ก่อนเสนอเนื้อหาสาระที่แท้จริงเข้าไป “ความเซ็กซี่เป็นเหมือนลำโพงขยายสิ่งที่เราพูด ทำให้คนรู้จักเดินเข้ามาฟัง แล้วถ้าสิ่งที่เราพูดมันมีเนื้อหาสาระ เราก็ไม่ต้องใช้ลำโพงอีก”
โดยในส่วนของกรณีแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวที่เป็นข่าวนั้น เขาเผยในฐานะที่เป็นรู้จักกันว่า แม่ค้าคนดังกล่าวนั้นเป็นคนที่หน้าตาดีและสร้างจุดขายที่ความเซ็กซี่อยู่แล้ว เพียงแต่ใน 2 - 3 ปีที่ผ่านมา เธอได้หันมาใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้น ทั้งทางเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม จากแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีใครรู้จักสามารถทำให้คนหันมาทางอินสตาแกรมได้ถึงหลักหมื่นคน ดังนั้นหากมองในมุมการตลาดก็ถือว่าประสบความสำเร็จ
“ผมก็เคยเตือนเรื่องความเซ็กซี่ว่าต้องระวังเพราะมันเหมือนดาบ 2 คม มันสร้างกระแสได้แต่ก็อาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวผู้สร้างเองได้อีกด้วย เท่าที่ผมดูมันก็มีบางภาพเท่านั้นที่ดูจะเซ็กซี่เกินขอบเขต แต่ถามว่ามันไปถึงขั้นอนาจารเลยหรือเปล่า...ก็เปล่า มันยังอยู่ในขอบเขตของคำว่าเซ็กซี่อยู่ แต่ก็นั่นแหละ ในสังคมก็มีคนประเภทที่ทำอะไรแบบนี้แล้วจะรับไม่ได้เลยอยู่ด้วย”
ขณะที่ ดร. เกียรติอนันท์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มองว่าการตลาดดังกล่าวมีส่วนในการประหยัดต้นทุนได้มาก และสามารถชิงพื้นที่สื่อกระแสหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“การโชว์เรือนร่างของผู้หญิงนั้นมันเป็นหัวข้อถกเถียงได้ และมันก็ดึงดูดได้ทั้งผู้ชายที่ชอบมองและผู้หญิงที่สนใจเรื่องความสวยความงามอยู่แล้ว ยิ่งมารวมกับธรรมชาติของโซเชียลมีเดียที่แพร่กระจายกันได้รวดเร็วกระแสมันก็เกิดขึ้นได้ง่าย
“แต่ก็ต้องมีกลยุทธ์ด้วย เพราะกระแสมันมาแล้วก็ไป พอกระแสมาแล้วไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อมันก็จะผ่านไป คนอื่นก็จะสร้างกระแสมาแทนได้ ถ้าเป็นสินค้ามันก็ต้องดีจริง ถ้าเป็นดาราก็ต้องมีความสามารถน่ะครับ”
สังคมเสื่อมหรือเปล่า?
การใช้เซ็กซ์เป็นจุดขายแน่นอนว่า ย่อมมีผลกระทบถึงสังคมด้วย สิ่งที่เกิดในโซเชียลมีเดียไม่ใช่โลกเสมือนอีกต่อไป หากแต่เป็นโลกจริงที่การกระทำใดๆ ก็ตาม หากมีการผลิตซ้ำก็ย่อมกลายเป็นมาตรฐานที่สังคมยอมรับในที่สุด
ผศ.ดร.ภิเษก เห็นว่าเป็นไปได้ที่หากมีการใช้การตลาดแนวนี้บ่อยๆ สังคมอาจมองเป็นเรื่องปกติแต่ก็อาจจะอยู่ระดับแค่ถ่ายภาพเซ็กซี่เลียนแบบเท่านั้น
“อันนี้ก็ไม่แน่ครับ มันมีความเป็นไปได้ว่าจะเลียนแบบซึ่งเป็นผลมาจากการตลาดแบบนี้ จุดที่น่าเป็นห่วงคือการขายความเซ็กซี่บางทีมันสำหรับผู้ใหญ่หน่อย แต่อินเทอร์เน็ตเดี๋ยวนี้เยาวชนเด็กๆ ใครจะเข้ามาก็ได้ ไม่มีการตรวจสอบ ดังนั้นมันก็จะส่งผลเสียต่อสังคมได้”
ถึงปัจจุบันดีกรีความเซ็กซี่ในสื่อต่างๆ ก็ดูจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเผยว่า ด้านหนึ่งก็สะท้อนว่าสังคมไทยเปิดรับเรื่องเพศมากขึ้น หลายประเด็นกลายเป็นข้อถกเถียงมากกว่าเรื่องต้องห้าม แต่อีกด้านสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีการควบคุมมากพอ เด็กเล็กหรือเยาวชนก็เข้าถึงอะไรแบบนี้ได้ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมนัก
ขณะที่ในมุมมองของ ธันยวัชร์ เห็นว่า หากการตลาดนั้นมีระดับความเซ็กซี่ที่แรงขึ้นจนเกินเลยไปถึงอนาจาร ส่วนหนึ่งก็จะถูกสังคมต่อต้าน แต่ก็เป็นไปได้ที่จะถูกเลียนแบบและทำให้สังคมโดยรวมเสื่อมลงจากความอนาจารที่มีมากขึ้น
“ตอนนี้ยังอยู่บนเส้นแบ่งแต่แน่นอนมันจะแรงขึ้น เพราะไม่แรงก็ขายไม่ได้ ซึ่งบางคนก็อาจจะโชว์ความเซ็กซี่แล้วแต่ก็ยังสร้างกระแสไม่ได้ จึงอาจจะโชว์แรงขึ้นจนถึงระดับอนาจาร ซึ่งหากมีการทำแบบนี้มากขึ้น นี่แหละที่จะทำให้สังคมเสื่อมได้ ดังนั้นการตลาดแบบนี้ต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก”
ทางด้าน ดร. เกียรติอนันท์ มองว่า ผลกระทบต่อสังคมนั้นมีแน่นอน แต่เขาเห็นว่าขึ้นอยู่กับสังคมว่าจะมีวุฒิภาวะในการเสพสื่ออย่างไร
“ห้ามคนไม่ให้แก้ผ้ามันทำไม่ได้น่ะครับ เพราะเขารู้ว่าทำแล้วได้ผล กลับกันถ้าสังคมมองว่า ทำแบบนี้มันไม่ดี ไม่ถูกแล้วไม่อุดหนุนไม่แชร์ไม่พูดถึง สิ่งเหล่านี้มันก็จะน้อยลงไปเอง ดังนั้นมันอยู่ที่สังคมจะตัดสินเองด้วย”
เรื่องโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754