หน้าบางกันขึ้นมาอย่างกะทันหัน หลังจาก "ริฮานนา อิมแพกต์" นักร้องสาวชาวสหรัฐฯ ชื่อก้องโลก ทวีตข้อความแฉ “โชว์ปิงปอง” พร้อมโพสต์ภาพเป็นหลักฐาน จนสื่อทั่วโลกตีแผ่เรื่องนี้กันอย่างกว้างขวาง
ส่งให้ภาพลักษณ์ “ประเทศขายเซ็กซ์” ถูกย้ำให้ชัดยิ่งขึ้นไปอีก ตำรวจเร่งออกมากู้หน้าด้วยการปิดบาร์อนาจารโชว์ แต่ดูเหมือนจะกู้ไม่ทันเสียแล้ว...
ตะลึง!! โชว์แบบนี้ Thailand Only
“เมื่อคืนนี้ฉันทั้งเมาจนไม่ได้สติ ทั้งได้เห็นผู้หญิงไทยดึงนกตัวเป็นๆ เต่าอีก 2 ตัว มีดโกน ลูกดอก และลูกปิงปอง ออกมาจากสิ่งนั้นของเธอ!!” นี่คือถ้อยคำที่ริฮานนาทวีตทิ้งเอาไว้ในทวิตเตอร์ของเธอ ซึ่งมีแฟนๆ จากทั่วโลกติดตามกว่า 32 ล้านคน แถมเธอยังย้ำด้วยว่าเรื่องแบบนี้มีแค่ประเทศไทยที่เดียวในโลกเท่านั้น “Only in Thailand”
แค่เพียงไม่กี่ตัวอักษรของเธอทำให้สำนักข่าวทั่วโลกหยิบเรื่องนี้ไปตีแผ่ ไม่เว้นแม้แต่สำนักข่าวเอเอฟพี เมื่อกิตติศักดิ์โชว์อนาจารในประเทศโด่งดังกว้างขวางขนาดนี้ ทางตำรวจจึงลงพื้นที่มาตามรอยทั่วย่านท่องเที่ยวภายในภูเก็ต จนสามารถจับกุมเจ้าของบาร์และสั่งปิดได้ในที่สุด ในข้อหาเปิดแสดงโชว์ลามกอนาจาร รวมทั้งเปิดสถานบันเทิงโดยไม่มีใบอนุญาต
“การจับกุมครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการไปเที่ยวของริฮานนา และต่อไป เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มความเข้มงวดให้มากขึ้นในการแสดงโชว์ต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการนำสัตว์ป่ามาหากิน” วีระ เกิดศิริมงคล นายอำเภอกะทู้ จ.ภูเก็ต ให้รายละเอียดเอาไว้หลังการจับกุม ส่วนเรื่องการใช้สัตว์ป่ามาแสดงโชว์นั้น กรณีนี้หมายถึง “นางอาย” หรือ “ลิงลม” สัตว์ป่าคุ้มครองที่นักร้องสาวชื่อดังได้ถ่ายภาพคู่และโพสต์เอาไว้บนโลกออนไลน์ ซึ่งมีเบื้องหลังมาจากการจ่ายเงินให้กลุ่มลักลอบนำสัตว์ชนิดนี้มาให้นักท่องเที่ยวแชะภาพคู่
เรียกว่าต้องเอาให้ขายหน้าถึงระดับสากลก่อน จึงจะมีคำสั่งให้ดำเนินการจัดการมุมมืดๆ ในสังคมอย่างเป็นจริงเป็นจังสักครั้งหนึ่ง ย้อนกลับไปในช่วงที่ “เลดี้ กาก้า” นักร้องสาวชื่อดังมาทัวร์คอนเสิร์ตที่ไทยก็เช่นกัน เธอทวีตข้อความกระแนะกระแหน “แหล่งขายของละเมิดลิขสิทธิ์” ในประเทศไทยเอาไว้ บอกว่า “I wanna get lost in a lady market and buy a fake Rolex” ทำให้ช่วงนั้นทีมจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ต้องออกโรงทำงานหนักอย่างออกนอกหน้าเพื่อให้สังคมได้รับรู้ ส่วนอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาก็ร้อนตัว ขู่จะยื่นหนังสือฟ้องกาก้าในข้อหาทำลายภาพลักษณ์ของดินแดนสยาม เล่นเอารู้กันไปทั่วโลกว่า ประเทศเรา “ปากว่าตาขยิบ” ซ่อนมุมมืดไว้ใต้พรม ยอมรับความจริงไม่ได้
สยามเมือง “เซ็กซ์”
“ยอมรับเถอะครับ ประเทศไทย มีชื่อเสียงใน 2 ด้านคือ 1.สถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมาก ของถูก คนจิตใจค่อนข้างดี อาหารอร่อย และ 2.เป็นเมืองโสเภณีเมืองหนึ่งของโลก ถ้าพูดถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ ต่างชาติมักมองว่าผู้หญิงไทยเป็นผู้หญิงหากิน ศักดิ์ศรีของผู้หญิงไทยในสายตาชาวต่างชาตินั้นแทบจะไม่ค่อยมี ผู้ชายฝรั่งมักจะพูดเล่นๆ เวลามาเมืองไทยว่า ถ้าไม่ได้ไปพัทยาหรือลิ้มลองหญิงไทย ก็เหมือนไม่ได้มาเมืองไทย ผมเคยเล่นโปรแกรมแคมฟรอกและเจอคนอังกฤษถามว่าผู้หญิงไทยมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“คนไทยส่วนใหญ่ฐานะปานกลางถึงยากจน ดังนั้นจึงทำให้มีผู้หญิงที่อยากได้ฝรั่งเป็นสามีเยอะเพราะคิดว่าเขารวย แต่ส่วนใหญ่มักไม่ได้รักจริง จะรักที่เงิน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วผู้หญิงไทยดีๆ ก็มี คนพวกนี้เขาจะไม่ค่อยเห่อเรื่องฝรั่งหรืออะไรมาก จะไม่ไปอยู่ในที่อโคจร จึงทำให้ฝรั่งส่วนใหญ่เจอแต่ผู้หญิงไทยที่อยู่แต่ในผับบาร์ อย่างไรก็ดี ถ้าจะมีคนมาว่าว่าประเทศไทยเต็มไปด้วยโสเภณี เป็นประเทศโสเภณีไปแล้ว ก็อย่าไปเถียงเขาเลยครับ ผมก็ไม่เคยเถียงเลย เพราะเจอมากับตัว มันเป็นเรื่องจริงที่เถียงไม่ออกจริงๆ”
“พอดีมีเพื่อนต่างชาติค่อนข้างเยอะ หลายคนชอบถามเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงไทย-โสเภณีไทยมาก เลยลำบากใจไม่รู้จะตอบยังไงดี ช่วยคิดคำตอบที่สามารถนำเอาไปอธิบายให้เขาได้เข้าใจทีนะคะ เพราะไม่อยากให้เขามองประเทศเราในแง่นี้แง่เดียว”
หลากหลายความคิดเห็นบนโลกออนไลน์สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองชาวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะผู้หญิงไทยซึ่งมักถูกเหมารวมว่า “ง่าย” และ “พร้อมขาย” บริการทางเพศให้เสมอ หากมองเพียงผิวเผิน มันคือการดูหมิ่นศักดิ์ศรีหญิงไทยอย่างไม่น่าให้อภัย แต่หากมองให้ลึกลงไปจะทราบว่ามันอาจไม่ใช่ความผิดของเขาที่จะคิดเช่นนั้น เพราะบ้านเมืองเรา “ซื้อง่ายขายคล่อง” จนกลายเป็นภาพจำของชาวต่างชาติไปแล้ว แม้แต่ในหนังสือ "Best OF หัวแจกัน" ของ ไตรรงค์ ประสิทธิผล ผู้เขียนยังบอกเล่าประสบการณ์ที่เจอมากับตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้เลย
“คนขายกางเกงยีนส์ลีวายส์ร้านริมถนนในอเมริกาเคยถามผมว่า "ยูมาจากไหน?" พอผมบอกว่าเมืองไทย เขาทำท่าตื่นเต้นแล้วบอกว่า "โอ้ว! ประเทศยู ไอไปเที่ยวมาแล้ว ทะเลสวย อาหารอร่อย แถมผู้หญิงก็ราคาถูกมาก แค่ 4-5 เหรียญเท่านั้นเอง" ผมฟังแล้วก็ภูมิใจในประเทศตัวเองมาก หมอนั่นพูดต่อว่า "อยู่เมืองไทย I f-cked everyday" ผมจึงรู้ว่าสินค้า OTOP ที่มีชื่อเสียงที่แท้จริงของไทยนั้นคืออะไร!!”
“น่าอาย” ยิ่งกว่าขายเซ็กซ์
ผู้หญิงไทยหลายคนคงเบื่อกับการถูกชาวต่างชาติมองเป็นของเล่น เหมารวมว่าเป็นโสเภณีกว่าค่อนประเทศ เนื่องจากเรื่องราวส่วนใหญ่ที่เคยคุ้นเกี่ยวกับเมืองไทยล้วนเกี่ยวข้องกับการขายเซ็กซ์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ จันทวิภา อภิสุข ผอ.มูลนิธิ M-Power ส่งเสริมโอกาสผู้หญิง ไม่รู้สึกเดือดร้อนใจอะไรนัก เพราะมองว่าภาพลักษณ์ของประเทศที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ยังมีปัญหาอีก 108 ให้น่าอายยิ่งกว่าโชว์อนาจารและสถานบริการขายเซ็กซ์เสียอีก
“ถามว่าประเทศเราปลูกข้าวเอง แต่ต้องซื้อข้าวเขมรมาจำนำ ไม่น่าอายกว่าเหรอ ประเทศเราไม่เคยมีน้ำท่วม แต่ตอนนี้ท่วมแทบทุกปี คนเดือดร้อนกี่ล้านกว่าคน ไม่อายเหรอ ผู้นำประเทศตบตีกันในสภาซึ่งไม่ใช่สถานที่ที่ควรจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ถามว่าไม่น่าอายกว่าเหรอ ถามว่าเราวัดความอายต่อสายตาชาวต่างชาติตรงไหน อยู่ตรงที่แค่เรื่องน้องจิ๋มอย่างนั้นเหรอคะ ก็โดนแฉความจริงออกมาก็เลยต้องมาทลาย มาปิดเอาไว้ ทั้งที่ภาพลักษณ์เรื่องอื่นของเรายังมีที่สกปรกกว่านี้อีก โกงกันระดับหลายร้อยล้าน กู้เงิน 2 ล้านล้าน ไม่อายกว่าเหรอที่จะต้องให้ประชาชนชดใช้หนี้ไปจนชั่วลูกชั่วหลาน อายกว่ามั้ย?
ทุกวันนี้ ดาราก็โชว์นมหก-เปิดหวอกันแทบจะทุกวันอยู่แล้ว จริงๆ เรื่องการโชว์เซ็กซ์นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาตลอดในสังคมไทย การจะมาโยนให้กลุ่มผู้หญิงขายโชว์ในสถานบริการเป็นคนรับผิดว่าเขาเป็นคนทำลายภาพลักษณ์ประเทศ มันไม่ถูกต้องหรอก ถามว่าภาพลักษณ์ประเทศเรื่องอื่นๆ ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่น่าอายกว่าเหรอ ประเทศเราเป็นประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาอันดับต่ำที่สุดในอาเซียน ได้อันดับที่ 8 อันดับสุดท้าย (ผลการจัดอันดับจากการประชุมของ World Economic Forum (WEF) - The Global Information Technology Report 2013) ทั้งที่เราเคยนำประเทศเพื่อนบ้านมาตลอด อันนี้ไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่เราควรสนใจกว่าเหรอ
สรุปแล้ว เรามองภาพลักษณ์ของประเทศว่าเป็นเรื่องอะไร? มองแค่ว่าขายเซ็กซ์หรือไม่ขายเหรอคะ ทำไมไม่มองเรื่องการสร้างคุณภาพชีวิตประชาชนโดยรวมบ้างล่ะคะ ทุกวันนี้ เรามีแหล่งคอร์รัปชันใหญ่โต โกงกินกันสกปรกกว่านี้โชว์อนาจารเสียอีก ถ้ากลัวว่าภาพลักษณ์ของประเทศไทยจะเสีย มันเสียมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ เสียทุกเรื่อง คุณปิดไม่มิดหรอก”
เลิกโชว์ “ปิงปอง” ต้องเลิกเก็บ “ส่วย”
หากไม่อยากถูกมองว่าเป็นประเทศขายเซ็กซ์จริงๆ ก็ต้องหันกลับมาดูว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจริงจังกับการลงมือแก้ปัญหาแค่ไหน “ต้องมีความตั้งใจ ไม่ใช่แค่ออกมาสั่งปิดแหล่งแค่ตอนเป็นข่าวแบบนี้ ประเทศเรานั่งทับปัญหากันมาตลอดค่ะ ปิดเอาไว้แล้วก็เงียบไป ลองประกาศให้น้องๆ ตามสถานประกอบการหยุดทำงานสัก 2 เดือนสิคะ แล้วมาดูว่าการท่องเที่ยวจะอยู่รอดมั้ย อันนี้ต้องไปถาม ผอ.การท่องเที่ยวว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ พูดกันเรื่องนี้จะน้ำลายฟูมปากแล้วก็ไม่เคยมีการแก้ปัญหาเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง ถามว่ารัฐบาลชอบมั้ย ภูมิใจมากมั้ยที่ได้เงินเป็นกอบเป็นกำจากการขายเซ็กซ์แบบนี้” ผอ.มูลนิธิ M-Power แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
“ผู้หญิงที่เป็นสมาชิกในมูลนิธิเราตอนนี้มีประมาณ 50,000 กว่าคนค่ะ ทำงานตรงนี้มา 28 ปีแล้ว ในจำนวนนี้ก็มีผู้หญิงที่มีอาชีพหลากหลาย มีคนที่ทำงานโชว์ดอกไม้ โชว์เขียนหนังสือ โชว์เปิดขวดด้วยจิ๋ม ฯลฯ เยอะแยะไปหมดค่ะ มีน้องคนหนึ่งเขาตอบคำถามว่า ทำไมถึงเลือกอาชีพแบบนี้ ถามเขาว่าเขาภูมิใจเหรอ เขาตอบเราเลยค่ะว่าเขาภูมิใจเพราะเขาเป็นผู้นำครอบครัว ต้องดูแลคนที่บ้านอีกหลายคน เขาไม่มานั่งคอยกรมประชาสงเคราะห์เพราะเขาไม่ใช่คนพิการ เขาสามารถส่งเงินไปเลี้ยงทางบ้านได้อย่างเพียงพอ
ถามว่าทางบ้านรู้หรือเปล่าว่าทำงานแบบนี้ เขาตอบเลยว่าทางบ้านรู้เพราะหนูมี Condom สองอันค่ะ แบบแรกคือ Condom for love กับแบบที่สองคือ Condom for work หมายถึงว่าเขาแยกเรื่องเซ็กซ์เป็นสองแบบคือ เรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว แยกออกจากกันอย่างชัดเจน”
ปัญหาเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขแบบ “ผักชีโรยหน้า” สั่งปิดบาร์แล้วก็จบกัน มันไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน แต่ควรลงรายละเอียดกันตั้งแต่ต้นตอของปัญหา เช่น มอบการศึกษาให้แก่คนที่อยู่ในวัยเรียน มีอาชีพให้อย่างทั่วถึง ไม่ใช่ว่าคอยตั้งหน้าตั้งตาจับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ตั้งข้อหาว่าประกอบอาชีพไม่เหมาะสม ทั้งๆ ที่ไม่เคยหยิบยื่นอาชีพดีๆ ให้แก่พวกเขาเลย
“เมืองไทยควรจะส่งเสริมอาชีพสำหรับเด็กได้แล้ว เมืองนอกเขาก็มีค่ะ อเมริกาเองเขาก็จัดที่ทางเอาไว้ให้เยาวชนของเขาเลย ใครอยากทำงาน ให้ได้ทำงานในที่ที่ปลอดภัย ให้สามารถทำงานตามชั่วโมงที่กำหนด มีรายได้เหมาะสมตามความรู้ วัย และความสามารถ แต่บ้านเราไม่มีอะไรสักอย่างหนึ่ง เกิดมาก็ต้องปากกัดตีนถีบช่วยเหลือตัวเอง คนที่เขามองไม่เห็นช่องทาง เขาก็ต้องไปในที่ที่จะมอบเงินให้เขาได้ ก็มาสู่วงจรที่เข้าๆ ออกๆ ง่ายที่สุด นั่นก็คือสถานบริการนี่แหละค่ะ ปัญหามันก็วนเวียนอยู่แบบนี้ไม่จบสิ้น”
ส่วนเรื่องการลงโทษก็ต้องพิจารณากันตามความเหมาะสม ใครผิดมากกว่าก็ควรได้รับโทษหนักกว่า ผู้ประกอบการก็ต้องได้รับโทษหนักกว่าหญิงขายบริการ-โชว์ปิงปอง ที่สำคัญ ตำรวจต้องเลิกเก็บส่วย “ทางเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ต้องจัดการอย่างจริงจัง เริ่มจากรัฐบาลต้องคุมเข้มเลยไม่ให้เจ้าหน้าที่เรียกเก็บส่วย พอไม่มีการเรียกเก็บก็สามารถเอาผิดกับผู้ประกอบการได้ สถานบริการก็จะอยู่ในกรอบกฎหมาย แต่ทุกวันนี้พอมีการจ่ายค่าส่วย ตำรวจเป็นผู้คุ้มครองสถานประกอบการ ปัญหามันก็ไม่ได้รับการแก้ไขเสียที”
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
ขอบคุณภาพ: ทวิตเตอร์ Rihanna, bangkok.coconuts.co, www.phuketgazette.net