ไม่กี่วันมานี้ คลิปวิดีโอ “เราอาจจะตายเพราะการกิน หากไม่ได้ดูคลิปนี้” ถูกแชร์ส่งต่อแพร่หลายกันไปบนโลกโซเชียล จุดเริ่มต้นที่อาจช่วยจุดประกายใครหลายคนให้เห็นว่า ทุกวันนี้ ชีวิตที่ดำเนินไปอย่างเร่งรีบเกินกว่าจะใส่ใจในรายละเอียดของสิ่งต่างๆ รอบตัว ทำให้ต้องมานั่งขบคิดกันใหม่ว่า เรากำลังปิดหูปิดตาตัวเองจากความจริงอยู่หรือไม่ ในฐานะผู้บริโภค เรากำลังทำลายสุขภาพตัวเองทางอ้อมอยู่หรือเปล่า เชื่อมโยงไปถึงขั้นบันไดที่สูงขึ้น บรรดาเกษตรกรที่ถูกบีบด้วยคำว่า “เกษตรพันธสัญญา” จากนายทุนยักษ์ใหญ่ที่ครอบครองเกือบทุกอุตสาหกรรม กลายเป็นบ่วงแห่งความอยุติธรรม ดั่งภาพของพีระมิด ที่เราทั้งหลายต้องตกเป็นเหยื่อ และเสียประโยชน์ให้กับการผูกขาดในอุตสาหกรรมเกษตร แล้วมันถึงเวลาหรือยังที่เราทุกคนจะตาสว่างเสียที!?
แห่แชร์ คลิป “ตายเพราะกิน”
คลิปที่ถูกเผยแพร่ผ่านโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น อาจปลุกกระแสความตื่นตัวเรื่องการบริโภคอาหารให้กับคนไทยไม่มากก็น้อย “เราอาจจะตายเพราะการกิน หากไม่ได้ดูคลิปนี้” คลิปวิดีโอตัวแรกความยาวร่วม 10 นาที กำลังบอกเล่าเรื่องราวของภัยอันตรายจากการบริโภคเนื้อสัตว์ที่รับยาปฏิชีวนะต่างๆ เข้าไป แล้วส่งผ่านพิษนั้นมาสู่คน รวมไปถึงอันตรายจากการผูกขาดอุตสาหกรรมเกษตรโดยบริษัทเอกชน ชวนฉุกคิดว่า ทำไมเราจึงไม่มีสิทธิ์เลือก แล้วยังทำให้เกษตรกรหลายคนติดอยู่ในบ่วงเกษตรพันธสัญญาที่ร่ำๆ ว่าเอาเปรียบเกษตรกรไม่น้อย ด้วยการถ่ายถอดออกมาอย่างมีชั้นเชิง เข้าใจง่าย และเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของคนในปัจจุบัน เลยทำให้ถูกแชร์ว่อนเน็ต ขนาดที่ลือกันว่ามีมือดีลบคลิปวิดีโอดังกล่าวไปแล้วด้วย
เบื้องต้นความคิดเห็นของแต่ละคนก็ยังแสดงความไม่มั่นใจว่า คลิปที่เหมือนการกล่าวหาลอยๆ แบบอ้อมๆ นี้จะเป็นความจริงหรือไม่ อย่างไรก็ดี หากสืบค้นข้อมูลแล้วจะพบว่ามีส่วนที่ปรากฏเป็นข้อเท็จจริง เพียงแต่การนำเสนอผ่านสื่อยังน้อยและเบาจนไม่สามารถทำให้เป็นกระแสน่าสนใจในสังคมนั่นเอง ดังนั้น ทีมงาน ASTV ผู้จัดการ Live อยากให้ข้อมูลบางส่วนไว้พิจารณาให้เห็นถึงเรื่องใกล้ตัวที่เราควรตระหนักอย่างเร็วไวที่สุด เพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง
ความจริงการตื่นตัวในเรื่องอุตสาหกรรมเกษตรที่แท้จริงแล้วส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง รวมถึงเกษตรกรในประเด็นที่เรียกว่า “เกษตรพันธสัญญา” เกิดขึ้นเป็นแรงกระเพื่อมเบาๆ ต่อสังคมมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว เพียงแต่ประชาชนบางส่วนยังมองไม่เห็นว่ามีผลกระทบโดยตรงต่อตนเองตรงไหน จึงดำเนินชีวิตอย่างปกติต่อไป เมื่อวันหนึ่งถูกหยิบยกประเด็นใกล้ตัว อย่างผลเสียจากการบริโภคอาหารจากสายพานการผลิตเดียวกันนี้ จึงอาจจะช่วยปลุกกระแสให้คนไทยได้บ้าง
กินแล้วตาย จริงหรือ?
ในคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัว เมื่อร่างกายของเราต้องรับประทานเนื้อสัตว์จากสายพานการผลิตที่ควบคุมด้วยมาตรฐานจากบริษัทเดียวกัน เมื่อสัตว์เหล่านี้ถูกเลี้ยงด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งเมื่อเรารับประทานเนื้อสัตว์เหล่านี้เข้าไปร่างกายก็เหมือนจะพลอยดื้อยาปฏิชีวนะไปด้วย จากการศึกษาของคณะกรรมการ BIOHAZ Panel ของสำนักงานความปลอดภัยอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) ทำให้เกิดการเรียกร้องให้ลดการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์ที่ผลิตเป็นอาหารในสหภาพยุโรป โดยระบุว่า การใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์ที่เป็นอาหาร ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพมนุษย์ เนื่องจากมีสายพันธุ์แบคทีเรียดื้อยาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การดื้อยาปฏิชีวนะที่ใช้ในคน และยาที่ใช้การรักษาการติดเชื้อเกิดขึ้น เนื่องจากแบคทีเรียพัฒนากระบวนการ ซึ่งจะลดประสิทธิภาพของยาเหล่านั้น ทางเลือกหนึ่งคือการลดการใช้หรือเลิกใช้ cephalosporins ในการผลิตอาหารสัตว์นั่นเอง
ขณะเดียวกัน อาหารประเภทเนื้อสัตว์ รวมทั้งอาหารทะเลสด เกือบทุกประเภท ถูกขึ้นบัญชีดำเช่นกันว่า มีสารพิษ ที่ก่อให้เกิดโรคร้ายอย่างน่ากลัว โดยเฉพาะเนื้อหมูที่มีปัญหาเรื่องสารอันตรายปนเปื้อนอย่าง สารเร่งเนื้อแดง เพื่อทำให้เนื้อหมูมีสีแดงน่ารับประทาน แต่โดยความจริงแล้วสารเร่งเนื้อแดงนี้มีอันตรายมาก โดยเฉพาะอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อสุขภาพของคนที่แพ้ยา และคนที่เป็นโรคหัวใจ ที่จะถูกกระตุ้นด้วยสารตัวนี้ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ
นอกจากนี้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งตรวจพบตกค้างอยู่ในเนื้อสัตว์ ประเภทคลอแรมแฟนิคอล (Chloramphenicon) และยากลุ่มไนโตรฟูแลม (Nitrofurans) ล้วนเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งทั้งสิ้น ทั้งนี้ สถาบันโภชนาการ ระบุว่าไตของคนกินเนื้อต้องทำงานมากกว่าคนกินผักถึง 3 เท่า เพื่อขับสิ่งสกปรก และสารพิษในเนื้อที่กินเข้าไป แม้ว่าขณะอยู่ในวัยหนุ่มสาวจะไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่พออายุมากขึ้น จะเห็นผลชัด ก่อให้เกิดโรคร้าย โดยเฉพาะความเสี่ยงในเรื่องของมะเร็ง มีอัตราเสี่ยงสูงมาก หากนิยมกินเนื้อสัตว์เป็นประจำทุกวัน
เชื่อหรือไม่? อันนี้สุดแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่โดยข้อมูลจากมูลนิธิชีววิถีและแผนงานสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารศึกษาพบว่า 36% ของผู้บริโภคพบสารพิษในเลือด และในหนึ่งปีจะมีผู้บริโภค 60,000 คน เสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง อีกทั้งในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา พบเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะมากขึ้นและดื้อต่อยาหลายขนาน โดยพบคนไทยมีอาการติดเชื้อดื้อยากลุ่มนี้ถึง 100,000 คน อยู่โรงพยาบาลนานขึ้น และเสียชีวิตมากกว่า 30,000 ราย เห็นได้ว่าการรับประทานอะไรเข้าไปล้วนส่งผลต่อร่างกายทั้งสิ้น ดังที่ ศ.นพ.ดร.วิจิตร บุณยะโหตระ เคยกล่าวถึงความน่ากลัวจากการรับประทานเนื้อสัตว์ว่า
“ปัจจุบันมีคนจำนวนมาก ที่นิยมบริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก โดยคาดไม่ถึง หรือไม่รู้มาก่อนว่า ในเนื้อสัตว์นั้นเป็นแหล่งสะสมสารพิษมากมาย โรคต่างๆ ที่คนทุกวันนี้เป็นกัน ล้วนมีต้นเหตุมาจาก อาหารเป็นพิษ การกินเนื้อสัตว์จึงเท่ากับเป็นการกินเชื้อโรคเข้าไปโดยตรงนั่นเอง โอกาสที่จะป่วย ก็ย่อมมีอยู่ทุกลมหายใจ
พิษจากสารเคมีปนเปื้อนตกค้าง เนื่องจากการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ สารฮอร์โมน เร่งการเจริญเติบโต ฮอร์โมนเร่งให้มีไขมันมาก ยาฆ่าแมลง ฟอร์มาลิน หรือสารชีวภาพในเนื้อสัตว์ ได้แก่ คอเลสเตอรอล ไขมันอิ่มตัว กรดยูริก พยาธิต่างๆ เป็นต้น สารพิษเหล่านี้จึงนำความหายนะมาสู่ผู้บริโภค ทำให้ป่วยเป็นโรคเรื้อรังและหายยาก ได้แก่ โรคหัวใจ, มะเร็ง, ความดันโลหิตสูง, ไขข้ออักเสบ, โรคเบาหวาน, ตับแข็ง ตับอักเสบ, นิ่วในไต, นิ่วในถุงน้ำดี, ฝีพุพอง, มะเร็งลำไส้, กระดูกพรุน, เหนื่อยง่าย, โรควัวบ้า, สมองเสื่อม, หลอดเลือดสมองตีบ, อัมพาต, อวัยวะภายในอักเสบ, ริดสีดวงทวาร ฯลฯ แค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว”
เกษตรพันธสัญญา ทำเกษตรกรพัง
เส้นทางการผลิตเนื้อสัตว์ปนเปื้อนนั้นจะเห็นได้ว่า ทุกวันนี้ เกินครึ่งของอุตสาหรรมเกษตรอยู่ในกำมือของบริษัทเอกชนผู้ผลิตรายยักษ์ ซึ่งทุกอย่างต่างเอื้อกันเป็นบ่วงที่หลุดออกไปไม่ได้ หลายครั้งเรื่องนี้ถูกร้องเรียนถึงความไม่เป็นธรรม ไม่เหมือนดังที่นายทุนมาเร่ขายฝันเอาไว้ ปัญหาถูกเอารัดเอาเปรียบ เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว เพราะต้องดำเนินการตามมาตรฐานของบริษัทที่รับซื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อันนำไปสู่ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นจนรับไม่ไหว ดังเช่นที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ ทั้งนี้ ทศพล ทรรศนกุลพันธ์ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรในระบบพันธสัญญา เคยเขียนวิเคราะห์ออกมาว่า
“สิ่งที่น่าวิตกมาก คือ ผู้บริโภคไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าใครเป็นผู้ผลิตอาหารให้รับประทานจึงไม่มีความสัมพันธ์ที่จะวางใจได้ว่าผู้ผลิตอาหารจะห่วงใยตนหรือไม่ ส่วนเกษตรกรก็เลือกเข้าสู่ระบบพันธสัญญาบนพื้นฐานของคนเข้าไปขอร่วมระบบ โดยมองว่าบรรษัทที่หยิบยื่นปัจจัยการผลิตมาให้ในระบบสินเชื่อเป็นผู้มีพระคุณกับตัวเอง หากบรรษัทจะกำหนดข้อสัญญาอย่างไรก็ให้เป็นตามที่บรรษัทเห็นควร หรือบางกรณีถึงขนาดไม่มีหนังสือสัญญาให้เกษตรกรถือไว้ โดยภาครัฐไม่ได้เข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบข้อสัญญาที่เกิดขึ้นว่ามีความเป็นธรรมหรือไม่ ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม”
ข้อมูลจากมูลนิธิชีววิถีและแผนงานสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารระบุว่า สถานะระบบเกษตรและอาหารไทยนั้น มีเกษตรกรทำเกษตรพันธสัญญา 40,000 คน และเกษตรกรมากถึง 60% นั้นต้องเช่าที่ดิน ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ซึ่งปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งช่วยเหลือเกษตรกรนั้นคือการลดภาระหนี้สิน และสร้างวิถีให้เกษตรกรทำการเกษตร ปศุสัตว์ โดยพึ่งตนเองอย่างยั่งยืนด้วย ไม่ใช่ผูกติดอยู่กับนายทุนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
เมื่อปีที่ผ่านมา ในงานเสวนา "เกษตรพันธสัญญา ใครอิ่ม...ใครอด" ดร. เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ จากศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล แสดงความคิดเห็นว่า แทบจะไม่น่าเชื่อว่า ปัจจุบันมีเกษตรกรมากถึงกว่า 2 ล้านครัวเรือน ที่ประสบปัญหาหนี้สินทั้งๆ ที่ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศเกษตรกรรม เกษตรกรควรมีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ จึงเป็นสิ่งที่น่าตกใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ นอกจากนั้นจากข้อมูลจะเห็นได้ว่า ไม่มีปีไหนเลยที่ประเทศไทยจะไม่มีการประท้วงเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำ ทำให้เกิดปัญหาเป็นข่าวมากมาย ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงแล้วน่าจะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การทำเกษตรในระบบพันธสัญญา ล้วนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดผลกระทบหลายอย่างต่อเกษตรกร
ในมุมมองของ ดร.เพิ่มศักดิ์เห็นว่า การทำเกษตรกรรมในระบบพันธสัญญาทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในทุกขั้นตอนการผลิต เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ สู่ระบบการผลิต ไปจนถึงระบบตลาดก่อนจะถึงผู้บริโภค โดยประเด็นแรกเรื่องของความไม่เป็นธรรมในภาคสังคม จะเห็นได้ว่าบริษัทพยายามจะเพิ่มผลผลิต โดยให้เกษตรกรเข้าไปขยายพื้นที่จำนวนมาก ทำให้เกิดการทำลายพื้นที่ป่าธรรมชาติ ทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อการผลิตที่เพิ่มขึ้นและยังพบว่ามีสารเคมีตกค้างอยู่ในพื้นที่ จากการใช้ยาฆ่าแมลงต่างๆ ที่ผู้ประกอบการนำมาให้เกษตรกรใช้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมที่จะต้องนำเงินงบประมาณ ที่ได้จากภาษีของประชาชนเข้าไปใช้ในการฟื้นฟูดูแลทรัพยากรที่เสื่อมสภาพลง จากการขยายผลผลิตของเกษตรกรที่อยู่ในระบบพันธสัญญา กับบริษัทขนาดใหญ่เหล่านั้น
แล้วจะทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากบ่วงนี้?
“หากจะทำให้ผู้บริโภคและเกษตรกรหลุดพ้นจากบ่วงบาศดังกล่าวจำเป็นต้องมีการ ปรับทิศทางการพัฒนาระบบเกษตรกรรมเสียใหม่ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การทำให้ผู้บริโภคกับเกษตรกรพึ่งพากันเองได้ ขั้นแรกจะต้องมีการประกันการเข้าถึงปัจจัยการผลิตของเกษตรกรอย่างเพียงพอต่อ การผลิตเพื่อยังชีพและผลิตเพื่อขาย สร้างสมดุลของข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้ผู้บริโภคและเกษตรกรรู้ทัน สถานการณ์และรู้ทางเลือกต่างๆ ในการผลิตและบริโภค
สร้างการรวมกลุ่มของผู้บริโภคและเกษตรกรเพื่อนำไปสู่การต่อรองกับบรรษัท หรืออาจจะเรียกร้องกดดันให้รัฐเข้ามาแทรกแซงวงจรผูกขาด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในระบบความสัมพันธ์ ทำให้ผู้บริโภคสามารถอุดหนุนสินค้าของเกษตรกรที่มาจากทางเลือกในการ เกษตรกรรมอย่างหลากหลาย อันจะเป็นผลดีต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน” ทศพลแนะ
ถึงแม้ไม่สามารถทำให้โครงสร้างด้านอุตสาหกรรมการเกษตรที่กำลังถูกผูกขาดอย่างเต็มตัวจากภาคเอกชนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปได้ในพริบตา แต่อย่างน้อยก็ได้กระตุ้นเตือนให้ประชาชนในฐานะผู้บริโภคหันมาใส่ใจชีวิตตัวเองมากขึ้น และถึงแม้จะมีคำกล่าวที่ว่า “กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน” ก็จริง แต่ก็ควรเลือกให้ปลอดภัยต่อตัวเรามากที่สุด ไม่ใช่หรือ??
คลิปวิดีโอที่กำลังตกเป็นกระแส
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live