โรค “ระแวงข้าวถุง” ระบาดหนักทั่วประเทศไปเสียแล้ว หลังจากโพสต์ของผู้จัด-ผู้ดำเนินรายการชื่อดัง “เช็ค-สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ” บนเฟซบุ๊กถูกแชร์ต่อๆ กันออกไป แฉรายชื่อโรงสีขนาดใหญ่และรายนามข้าวถุงที่ไม่น่าไว้วางใจ “มีสารเคมีปนเปื้อน หนูตายภายใน 5 นาที”
ส่งให้เกิดผลสะท้อนกลับอย่างแรง! กลายเป็นประเด็นระดับชาติ มีโจทก์เข้าแถวเตรียมยื่นฟ้องเต็มไปหมด งานนี้ ฮีโร่ข้าวถุงจะทำเช่นไร? จะคานให้ตรวจสอบความปลอดภัยเพื่อประชาชนต่อไปหรือไม่? หรือจะยอมไหลไปตามกระแส-ตามคำขู่ของนายทุน...
เมื่อฮีโร่ถูกรุมฟ้อง
“แล้วแต่จะพิจารณานะครับ ผมไม่ได้มีประโยชน์ได้เสีย โรงสีข้าวที่กำลังเตรียมส่งข้าวในสต๊อกออกจำหน่ายให้กับผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น (ระบุรายชื่อโรงสีเอาไว้อย่างชัดเจน) เป็นโรงสีของภาคอีสาน เป็นโรงงานของ ส.ส.เพื่อไทย คงจะมีสารพิษตกค้าง เพราะสารตัวนี้ไม่สามารถละลายในน้ำได้ หนูตายภายใน 5 นาที
ห้ามซื้อ (ระบุรายชื่อข้าวถุง) ทุกยี่ห้อ ตอนนี้ข้าวถูกจำหน่ายออกในนาม “...” เนื่องจากคนกลัวข้าวอีสาน และสต๊อกต่อไปคือข้าวยี่ห้อ... ห้ามเด็ดขาด ห้ามรับประทาน เป็นสต๊อกจากปีที่แล้วมาจำหน่าย”
หลังจากพิธีกรรายการสารคดีชื่อดังกดปุ่ม Post ปล่อยข้อความนี้ออกไปบนเฟซบุ๊ก Suttipong Thamawuit ความบรรลัยก็เกิดขึ้นทันตา! ผู้คนต่างพากันหวาดผวา แทบไม่กล้าซื้อข้าวถุงกิน จะหุงก็ต้องล้างแล้วล้างอีก กลัวว่าจะกลายเป็นหนูทดลอง กินแล้วตายภายใน 5 นาทีเหมือนอย่างที่บอกเอาไว้ ส่วนนายทุนรายใหญ่ที่ถูกพาดพิง มีหรือจะอยู่เฉย เร่งออกมาแก้ต่าง ประกาศว่าจะเดินเรื่องฟ้องร้องเป็นพัลวัน
อนันต์ วังอมรมิตร เจ้าของโรงสีข้าวทรัพย์อนันต์ เป็นโจทก์รายแรกที่ตัดสินใจโต้กลับด้วยกฎหมาย หลังจากถูกพิษโพสต์ดังกล่าวเข้าไป ทำให้มีคนโทร.เข้ามาสอบถามจำนวนมาก รวมถึงธนาคารที่กำลังจะทำธุรกรรมด้วย
"โรงสีของผมลงทุน 3-4 ร้อยล้านบาท ถ้าเสียหายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ และผมก็ไม่เคยรู้จักกับนักการเมืองคนไหนมาก่อนเลย"
ในฐานะผู้ประกอบการข้าวรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ สุเมธ เหล่าโมราพร ผู้บริหาร “ข้าวตราฉัตร” ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เองก็หัวเสียจนต้องเรียกประชุมฝ่ายกฎหมายภายในบริษัท อาจมีการแจ้งความดำเนินคดี เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายข้อหาหมิ่นประมาทและละเมิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
มีชื่อติดไว้โร่ในโพสต์ขนาดนั้น “ข้าวเบญจรงค์” จึงถือว่าได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน ถาวร ทองพิทักษ์ถาวร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย อินเตอร์ ไรซ์ ออกมาแก้ต่างว่าไม่เคยเข้าประมูลข้าวจากโครงการรับจำนำของรัฐ แต่ซื้อมาจากโรงสีที่ จ.ฉะเชิงเทรา, ชัยนาท, สุพรรณบุรี จึงตกลงใจจะฟ้องร้องเจ้าของโพสต์ที่ทำให้ชื่อเสียงเสียหายจากข้อความที่ไม่เป็นจริง ทำให้ยอดขายข้าวเบญจรงค์ชะงักทันที จากปกติยอดขายเฉลี่ยตกอยูที่เดือนละ 100 ล้านบาท
ลามไปถึงสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย สมเกียรติ มรรคยาธร นายกสมาคมฯ ซึ่งออกมาประกาศว่าจะฟ้องร้องเช่นกัน โดยให้เหตุผลแสดงความไม่พอใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “ถือเป็นการบ่อนทำลายอุตสาหกรรมข้าวไทย!” จากเดิมยอดข้าวบรรจุถุงจะเติบโตขึ้น 3-5 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่า 2-3 หมื่นล้านบาท แต่หลังจากมีข่าวเชิงลบออกมา คาดว่าปีนี้ยอดขายยิ่งจะหดตัวลงไปอีก
ข้อตกลงลับๆ “คนค้นฅน” จะยอมไหม?
การแฉทางโซเชียลมีเดียที่เกิดขึ้น ทำให้คนส่วนหนึ่งต่างยกย่องว่า “เช็ค-สุทธิพงษ์” คือฮีโร่ผู้กล้าออกมาเผยความจริงให้แก่ประชาชนได้ล่วงรู้ กระทั่งเจ้าตัวออกมาชี้แจงว่าทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะความผิดพลาด เป็นเพียงการโพสต์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โพสต์ตามที่แชร์ๆ กันมา
“ความสะเพร่าของผมก็คือ ผมเขียนไปได้แค่ 2 ประโยค ยังไม่ครบถ้วนก็เกิดอุบัติเหตุระหว่างแก้ไขคำผิด มือไปโดน โพสต์ส่งไปก่อน ซึ่งได้พยายามรีบลบ แต่ผมทำไม่เป็น ต้องไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอีก 2 คน จึงทำได้สำเร็จ ซึ่งถ้าสามารถเช็กเวลาก่อนจะลบได้จะทราบว่าไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง ต่อมาไม่นานก็มีคนโพสต์ตำหนิผมอย่างรุนแรง ผมได้ชี้แจงกลับไป ทั้งขอบคุณที่เตือนสติและยอมรับความผิดพลาด
ภายหลังผมจึงพบคำตอบว่าทำไมความรู้สึกเขาถึงรุนแรงมาก นั่นก็เพราะมีการเอาไปขยายต่อ เพิ่มเติม ชี้นำ จะเพื่อประโยชน์อันใดก็สุดแท้ แต่ไม่ใช่ความตั้งใจและเจตนาของผมซึ่งยืนยันชัดเจนตั้งแต่ต้น ผมจึงได้รู้ว่าผมกลายเป็นเหยื่อและเครื่องมือไปแล้วอีกคนหนึ่ง แต่ถามว่าเหตุมาจากไหน ก็มาจากผมนั่นแหละ”
เมื่อเห็นเจ้าตัวออกมาโพสต์แก้ต่างเอาไว้ จากความเชื่อถือที่เคยมีให้ บางส่วนก็เปลี่ยนเป็นความเข้าใจ-เห็นใจ มองว่าคนเราผิดพลาดกันได้ แม้จะเป็นคุณเช็ค นักคิดผู้น่านับถือคนหนึ่งในสังคมก็ตาม แต่บางส่วนกลับตีความต่างออกไป แปรเปลี่ยนเป็นคำตำหนิติเตียน มองว่าใช้สีข้างถูเพื่อแก้ตัวบ้าง แต่แท้จริงแล้วมีผลประโยชน์จาก “ข้าวคุณธรรม” ซึ่งบริษัท ทีวีบูรพา จำกัด สนับสนุนอยู่หรือเปล่า? แต่เจ้าของบริษัทอย่างคุณเช็คก็ยืนยันว่า
“ข้าวคุณธรรมเป็นโมเดลที่เล็กเกินกว่าจะไปเปรียบเทียบกับข้าวกระแสหลัก ไม่ใช่การดิสเครดิตข้าวยี่ห่ออื่นๆ ที่ผ่านมาเราผลิตได้เฉลี่ยปีละ 40-50 ตัน ซึ่งนับว่าเป็นมูลค่าที่น้อยมาก และไม่สามารถพึ่งพาการผลิตแบบข้าวทั่วไปได้ และไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะได้กินข้าวคุณธรรมในราคาตามท้องตลาด เพราะเราขายแพงกว่าปกติ”
แต่ไม่ว่าผลตอบรับจากภาคประชาชนในตอนนี้จะเป็นเช่นไร เห็นว่าไม่น่าหนักใจเท่ากับข้อตกลงลับๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างบริษัท “เจ้าของข้าวถุงรายใหญ่” กับ “เจ้าของรายการคนค้นฅน” เป็นแน่ เพราะข่าววงในแว่วมาว่า กำลังอยู่ในช่วงปรึกษาหารือว่าจะฟ้องร้องดีหรือไม่ หลังจากเกิดเรื่องก็พยายามติดต่อไปทางคุณเช็คทั้งทางโทรศัพท์และโซเชียลมีเดีย ส่งจดหมายชี้แจง เชิญให้มาดูขั้นตอนการผลิตข้าวก็แล้ว แต่ยังไม่เห็นตอบรับหรือติดต่อกลับมา ทำเอาระดับผู้บริหารตัวใหญ่ชักฉุน เตรียมยื่นเรื่องฟ้องร้องให้ถึงที่สุด!
เมื่อเห็นทีท่าไม่ดี จากเคยนิ่งเฉย คุณเช็คเริ่มเปลี่ยนท่าที ขอเข้ามาไกล่เกลี่ย และถ้าหากตกลงกันได้ ยอมทำตามที่นายทุนค่ายยักษ์พึงพอใจ อาจได้เห็นรายการในเครือทีวีบูรพา หรือ “คนค้นฅน” เทปพิเศษ ทำสกู๊ปเปิดโรงสีของนายทุนรายนั้น อธิบายว่ามีกรรมวิธีอย่างไร ตรงตามมาตรฐานและปลอดสารพิษแค่ไหน หรือได้เห็นทีมงานจัดแถลงข่าวกันที่โรงงานพร้อมคำขอโทษออกอากาศ
ถ้าผลออกมาแบบนั้นจริง เห็นทีว่าภาพลักษณ์ของรายการและศักดิ์ศรีนักต่อสู้เพื่อสังคมที่เคยสั่งสมมานาน คงถูกสั่นคลอนไม่น้อยเลยทีเดียว
ปริศนาข้าวเน่า-หนูตาย
อีกเรื่องที่ยังไม่คลายสงสัย สรุปแล้ว มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าข้าวถุงจะปนเปื้อนสารพิษอย่างที่แชร์ต่อๆ กันมา มนัส กิจประเสริฐ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย จึงช่วยวิเคราะห์ให้ฟังว่าทุกวันนี้ข้าวถุงผลิตจากโรงงาน บรรจุด้วยเครื่องจักรมูลค่านับล้านที่ทันสมัย และมีการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวดก่อนแจกจ่ายสู่ตลาด สารพิษที่ร้ายแรงถึงขั้นทำให้หนูตายได้นั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ และไม่น่าจะเป็นผลมาจากสารตกค้างจากสารที่ใช้อบเพื่อกำจัดมอดที่พูดถึงกัน เพราะตามธรรมชาติแล้ว สารดังกล่าวจะระเหิดไปในอากาศ ไม่มีพิษตกค้างมาถึงผู้บริโภคแน่นอน
ปัญหาจริงๆ อาจไม่ได้มาจากกระบวนการบรรจุถุง แต่อยู่ที่การนำข้าวมาหมกไว้ในโกดังต่างหาก ตามนโยบายการจำนำข้าว ซึ่งมีผลทำให้เกิดข้าวค้างเติ่งในโกดังเป็นเวลานานกว่าปกติ และอาจส่งผลให้ข้าวดีๆ มีพิษจนถึงขั้นอันตราย อย่างที่ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการอิสระผู้ศึกษาด้านข้าวมาเป็นเวลานาน ช่วยชี้จุดบอดให้เห็น
“ปัญหาคือมันเกิดทุจริตในระบบข้าว เท่าที่ผมทราบมาในการซื้อขายข้าวกับรัฐจะมีการขายข้าวเก่าในราคาถูก แต่รัฐก็จะนำข้าวใหม่ออกเพื่อจะได้รักษาเครดิต โดยข้าวเก่าก็ทิ้งให้ไม่ได้ระบายออก เมื่อต้องเก็บข่าวเก่าจึงต้องมีการคงสภาพไว้ ปกติ แค่เก็บข้าวไว้ 3 เดือนมอดก็กินแล้ว แต่ถ้าเก็บในโรงเก็บจะมีการรมควัน ควบคุมความชื้นเอาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทำกัน เพื่อให้ข้าวเก็บได้นานขึ้น แต่ต้องทำตามมาตรฐาน เพราะถ้ารมสารเคมีมากเกินไปก็อาจจะทำให้ไม่สามารถรับประทานได้”
ส่วนข้าวที่เน่าเสีย ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นข้าวถุงหรือข้าวประเภทไหน แต่น่าจะเป็นผลมาจากการแตกรั่วระหว่างขนส่งมากกว่า นายกสมาคมโรงสีข้าวไทยบอกเอาไว้อย่างนั้น “ขนส่งหลายครั้ง ถุงอาจแตก กดทับ ทำให้น้ำเข้าไปในถุง เมื่อทิ้งไว้จะเกิดรา เสียหายกลายเป็นข้าวเน่าได้ แต่ไม่เกี่ยวกับคุณภาพข้าวที่ออกมาจากผู้ผลิตข้าวถุงครับ ส่วนกระบวนการผลิต เวลาบรรจุเสร็จจะมีการเอาเข็มหมุดเล็กๆ มาเจาะถุงเพื่อไล่อากาศ เป็นไปได้ว่ากรณีที่ข้าวทับกันนานน้ำหรือลมอาจเข้าไป ทำให้ข้าวเน่าเสีย”
สอดคล้องกับที่ ชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย แสดงความคิดเห็นเอาไว้ว่าเรื่อง “ข้าวเน่า” เป็นเรื่องธรรมดา “อาจมาจากความชื้น หลังคารั่ว น้ำฝนตกเข้าไป สต๊อกไว้หลายตัน มันมีความเป็นไปได้ที่บางส่วนจะเสียหาย” แต่ปัญหาที่แท้จริงที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือการจัดการข้าวของรัฐบาลต่างหาก “ถ้าไม่เสียหายก็ยังขายได้ มันขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะเลือกระบายข้าวเหล่านั้นออกยังไง ที่ผ่านมามีนโยบายขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ซึ่งก็เป็นการขายข้าวในทางลับ แต่ทุกวันนี้ ผมเป็นผู้ส่งออก ผมยังไม่รู้เลยว่ารัฐบาลจะระบายข้าวออกยังไง”
เมื่อมีสต๊อกข้าวที่มากเกินไป บวกกับระบบการจัดการที่ย่ำแย่ ไหนจะข่าวคราวเรื่องหลังคาโรงเก็บข้าวรั่วอีก จึงทำให้คนไทยทุกวันนี้แทบไม่เหลือความมั่นใจในเรื่องข้าวแล้ว กินไปกลัวไป สะท้อนกลับมายังความไม่มั่นใจในตัวรัฐบาล
“ผมมองว่า ยังไงก็ต้องยกเลิกนโยบายนี้นะ อาจเปลี่ยนไปเป็นจ่ายเงินอุดหนุดจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องสต๊อกข้าว แต่ความผิดพลาดที่มันใหญ่หลวงขนาดนี้ ผมคิดว่า รัฐบาลควรจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเท่านั้น” อาจารย์เจิมศักดิ์ทิ้งท้ายเอาไว้ให้คิด
หรือไม่ อีกหนึ่งทางเลือกที่อาจจะช่วยกู้ความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับเรื่องข้าวของไทยให้กลับมาได้บ้าง คือให้โรงสีออกตัว เปิดให้ตรวจสอบอย่างโปร่งใสด้วยตนเองเลย อย่างที่ สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ แนะนำเอาไว้อย่างคนที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
"ผมคิดว่าผมควรพูดอะไรต่ออีกเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องข้าว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องพูดเอามัน ไม่ใช่แค่เรื่องมาด่าทอเพื่อความสะใจ ผมคิดว่าเป็นเรื่องง่ายมาก ถ้าบริสุทธิใจ ไม่ต้องรอสื่อไปแอบตรวจสอบหรอกครับ ข้าวทุกยี่ห้อและโรงสีทั้งหลายที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ถูกกล่าวหาก็ตาม แย่งกันเลยครับ แย่งกันเปิดโรงสีให้เจ้าหน้าที่และสื่อเข้าไปตรวจอย่างอิสระ ทั้งตอนที่เป็นข้าวเปลือกและตอนที่สีบรรจุถุง ตรวจกันให้หนำใจ เพราะข้าวบริสุทธิ์และปลอดภัยอยู่แล้วจะไปกลัวอะไร สื่อยินดีไปทำข่าวให้ไม่ต้องเสียเงินไปทำโฆษณา ผมว่าตราเปิดเผย จริงใจ บริสุทธิ์ใจ ตรงไปตรงมานี่ การันตีคุณภาพให้ดียิ่งกว่าตรารับรองมาตรฐานไหนๆ ทั้งนั้น ทำเลยครับ"
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
วิกฤตศรัทธาข้าวไทย! ความภาคภูมิใจของชาติที่ถูกย่ำยี
ข้าวตราฉัตรฟ้อง “เช็ค” สุทธิพงษ์ คนค้นฅน หลังโพสต์เป็นข้าวมีปัญหา
เจ้าของโรงสีเมืองช้างแจ้งจับพิธีกรคนค้นฅน พาดพิงข้าวปนเปื้อนสารพิษ