สร้างผลงานดีๆ ยังไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไหร่ แต่ทีสร้างวลีเด็ดๆ นี่ ขยันกันจริงๆ เลยรัฐบาลชุดนี้... ล่าสุด ปล่อยให้ระดับรองนายกรัฐมนตรี “ปลอดประสพ สุรัสวดี” สร้างชื่อตัวเองให้เป็นแพกเกจจับคู่มากับคำว่า “ขยะ” จนกลายเป็น “นักการเมืองขยะ” ไปเสียแล้ว นึกถึงปลอดประสพเมื่อไหร่ จะเห็นภาพขยะติดตาตามมาเมื่อนั้น เรียกได้ว่าติดแน่นจนเป็นคำสร้อยห้อยท้ายชื่อไปเลย
เหตุไม่ได้เกิดจากแค่การดูถูกผู้ชุมนุมประท้วงว่าเป็น “ขยะเกะกะ” เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ทำให้หลายฝ่ายออกมารุมประณามว่า “ช่างไม่มีวุฒิภาวะที่จะเป็นรัฐมนตรีของชาติไทย” เอาเสียเลย!
เมื่อ “ขยะ” หลุดออกจากปาก
“ถุย!!! ไอ้นักการเมืองขยะ” คือเศษเสี้ยวหนึ่งของตัวอย่าง กระแสต่อต้านอย่างแรง! ที่เกิดขึ้น หลัง ปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการบริหารจัดการและอุทกภัย (กบอ.) กระแหนะกระแหนผู้ชุมนุมประท้วงงานประชุมน้ำโลก หาว่าเป็น “ขยะเกะกะ” ประกาศกร้าวเตือนผู้ที่จะชุมนุมว่าอย่ามาก่อกวนเด็ดขาด “จะสั่งจับให้หมด จะไม่มีการจัดสถานที่ให้คนที่จะมาประท้วง จะมีก็แต่จัดคุก ไว้ให้เท่านั้น จะไม่มีการพูดคุยเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น จับอย่างเดียว และคนเชียงใหม่ก็ไม่ควรปล่อยให้คนพวกนี้ที่เหมือนขยะมาเกะกะด้วย”
เมื่อ “ขยะ” หลุดออกมาจากปากแบบนี้ แน่นอนว่าต้องสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้ชุมนุมประท้วงการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ประชุมน้ำโลก) จนเลือดขึ้นหน้า ถึงขั้นขอให้ออกมาขอโทษขอโพยที่พูดจาดูถูกกันแบบนั้น แต่ดูเหมือนเจ้าของคำพูดเองจะไม่ยินดียินร้ายใดๆ ยืนยันว่าจะไม่ขอโทษขอโพยอะไรทั้งนั้น
“คำว่า ขยะ ที่ได้กล่าวไปนั้น ในทางวิชาการและในต่างประเทศ เมื่อมีการเรียกคนว่า ขยะ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Garbage แปลว่า ไม่ได้เรื่อง ซึ่งไม่ใช่ถ้อยคำหยาบคาย เป็นการตีความหมายกันไปเอง"
ลองตรวจสอบความหมายของถ้อยคำตามนั้นดู จึงได้รู้คำแปลว่าคือ ขยะ, มูลฝอย, สิ่งที่ไร้ค่า, ของเลว, การพูดปด และ การพูดไร้สาระ จริงอย่างที่เจ้าของวลีเด็ดกล่าวอ้าง แต่ถึงกระนั้น ผู้ที่ถูกพาดพิงก็หัวเสียไปแล้ว ทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับ “น้ำ” ใสๆ เริ่มก่อตะกอนกลายเป็น “น้ำเน่า” ลอยคละเคล้ากับขยะจนส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วประเทศเสียแล้วขณะนี้
ที่ย้อนศรได้เจ็บแสบที่สุดอันหนึ่ง เห็นจะเป็นการหยิบคำสัตย์ที่รองนายกรัฐมนตรีเคยให้ไว้ ตั้งแต่สมัยยังเป็นแค่ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญใดๆ ลองอ่านดูแล้วจะเห็นว่า มันช่างขัดแย้งกับคำพูดขยะที่พ่นออกมาในวันนี้เสียจริงๆ
“เมื่อเราเป็นรัฐบาล เราจะบริหารประเทศด้วยความเห็นใจ ด้วยความเมตตาธรรม ไม่ใช่เอาแต่กฎหมายแล้วร้องว่า คุกๆๆ เพราะว่าไม่มีที่ขังแล้ว”
ขอให้จับจ้องคำว่า “คุก” ให้ดีๆ แล้วกลับไปอ่านย่อหน้าข้างบนอีกทีกับคำประกาศกร้าวก้ามโตในวันนี้ แล้วอาจจะทำให้เข้าใจได้มากขึ้นว่า เหตุใดสมญานาม “นักการเมืองขยะ” จึงเกลื่อนเน็ต
“พญามังราย” ละลาย 2 แสน
กลิ่นขยะยิ่งทวีความปั่นป่วนในสังคมมากขึ้นไปอีก เมื่อความจริงเผยออกมาว่า การแสดงละครย้อนอดีตเวียงกุมกาม เพื่อต้อนรับผู้นำประเทศและแขกผู้เข้าร่วมประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (APWS) ครั้งที่ 2 เมื่อคืนวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา ส่งกลิ่นไม่ค่อยดีเช่นกัน ไอ้เรื่องที่รองนายกฯ อยากจะแปลงกายเป็น “พญามังราย” ร่ายรำบทละครอวดชาวต่างชาติ นั่นก็พอจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แม้จะน่าขันอยู่บ้างก็ตาม
แต่คำสั่ง “ผลาญงบ 2 แสนบาท” ให้สร้างอิฐเป็นรูปฐานเจดีย์ขึ้นมาจากซากโบราณสถานเวียงกุมกาม เพื่อแสดงละครแค่คืนเดียวแล้วรื้อทิ้ง เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะแก่การทำความเข้าใจเท่าใดนัก ถึงแม้จะมีข้ออ้างว่าต้องการสร้างเพื่อให้ความสูงของฐานเจดีย์เด่นชัดมากขึ้น เพราะหากไม่ต่อเติม เกรงว่าแขกเหรื่อตาน้ำข้าวจะมองไม่เห็น จึงต้องสั่งให้ก่ออิฐต่อขึ้นมาจากซากอิฐเดิมด้วยการทุ่มงบ 2 แสนบาท
จากนั้น ปล่อยให้มีอายุเพียงหนึ่งคืนก็รื้อทิ้ง เพราะตามหลักแล้ว หากจะบูรณะต่อเติมโบราณสถานใดๆ จะต้องผ่านการศึกษาและมีแบบบูรณะที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อนับรวมงบประมาณในการจัดละครกลางแจ้งในครั้งนี้เข้าไปด้วย กระแสข่าวระบุว่าตัวเลขน่าจะตกอยู่ที่ 30-70 ล้านบาทเลยทีเดียว
พฤติกรรมการผลาญงบเป็นเหตุผลข้อสำคัญข้อหนึ่งที่ทำให้ประชาชนส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันในวงกว้างออกไปเรื่อยๆ แม้แต่สถาปนิกชื่อดังยังอดที่จะส่งเสียงบ่นทางโลกออนไลน์ ทิ้งความคับข้องใจเล็กๆ เอาไว้บนเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้เลย
“มีการทำลายปัจจุบัน และอนาคตของชาติไปแล้ว ยังจะดำเนินการทำลายอดีตของชาติอีกด้วยหรือ” ยอดเยี่ยม เทพธนานนท์
“คุณปลอดประสพ กลัวแขกผู้เข้าประชุมเรื่องน้ำ ซึ่งจะมาดูการแสดงที่เวียงกุมกาม มองไม่เห็นโบราณสถานชัดๆ เลยสั่งให้ก่ออิฐต่อขึ้นมาจากซากอิฐ 727 ปี? นี่คือสิ่งที่จะอวดชาวโลกใช่ไหม ประเทศไทย?” อรช บุญ-หลง (Aracha Boon-Long)
อย่างนี้ ต้องประหาร!!
แต่ถึงจะอยากอวดชาวโลกแค่ไหน ก็ไม่ควรข้ามหัวเจ้าของประเทศด้วยกัน... หลายฝ่ายคิดอย่างนั้น โดยเฉพาะตัวแทนภาคประชาชนจาก “เครือข่ายภาคประชาชนลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคอีสาน” ที่เหลืออดจนต้องตั้งเวทีปราศรัยถึงนโยบายการจัดการน้ำของรัฐบาล อธิบายว่างบประมาณที่เสียไป ควรจะให้โอกาสประชาชนได้มีสิทธิมีเสียงบ้าง ตามชื่องานที่ให้ไว้ว่า “การจัดการน้ำ : ผู้นำต้องฟังเสียงจากรากหญ้า” นั่นเอง
เพราะแผนการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านของรัฐบาลนั้น อาจได้ผลลัพธ์เป็นการใช้งบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งจากแผนงานที่ผิดพลาดและขาดความชัดเจนในหลายๆ จุด ที่น่าเสียดายคือ ในเมื่อโอกาสอำนวยขนาดนี้ มีตัวแทนจากหลายประเทศมาร่วมการประชุม แต่กลับไม่มีการหยิบยกเอาเรื่องการจัดการน้ำตามแนวชายแดนขึ้นมาหารือด้วย เครือข่ายภาคประชาชนจึงให้ความเห็นว่า การจัดการประชุมที่ใช้เม็ดเงินมหาศาลในครั้งนี้ ดูเหมือนจะเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์แผนการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลมากกว่า
ความผิดพลาดในครั้งนี้ จึงตกเป็นของ “ปลอดประสพ สุรัสวดี” เป็นรายชื่อที่ทางเครือข่ายฯ เห็นว่าควรเป็นบุคคลที่น่าบูชายัญ-สำเร็จโทษมากที่สุด จึงได้สร้างลานประหารขึ้นมา นำหุ่นจำลองที่มีภาพใบหน้าของนักโทษมาวางไว้ แล้วจัดการตัดศีรษะประหารชีวิตเสีย ส่วนฐานความผิดก็ง่ายๆ
“การที่นายปลอดประสพ อ้างถึงการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำที่จังหวัดเชียงใหม่ การเลือกเวียงกุมกาม เป็นสถานที่เลี้ยงต้อนรับผู้นำ และการรับบทเป็นพญามังรายในการแสดงต้อนรับผู้นำ ว่าต้องการสื่อถึงแนวคิดด้านการบริหารจัดการน้ำของพญามังรายนั้น ถือเป็นการอวดอ้างและยกตนขึ้นเทียบ รวมทั้งฉวยโอกาสนำเอาแนวคิดด้านการจัดการน้ำของพญามังราย ซึ่งเป็นที่ยอมรับมาอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในแนวทางบริหารจัดการน้ำของรัฐ
ทั้งที่ในความเป็นจริง การบริหารจัดการน้ำของรัฐไม่ได้ทำโดยเคารพนับถือธรรมชาติ รับฟังเสียงของประชาชน และตั้งมั่นบนหลักของศาสนา เหมือนที่พญามังรายทำแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อนายปลอดประสพ พยายามยกตนขึ้นเทียบกับพญามังราย ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวล้านนา จึงต้องทำพิธีสำเร็จโทษดังกล่าว”
เอ็งเป็นนักการเมืองแบบไหน?
“ถุย!!! ไอ้นักการเมืองขยะ กล้าถามประชาชนมั้ยล่ะว่า พวกเขามองเอ็งเป็นนักการเมืองแบบไหน? อยากรู้ก็ลองถามสิ” นี่คือคำสบถจากภาคประชาชนที่แชร์ต่อกันไปเรื่อยๆ บนโลกออนไลน์ เป็นคำโปรยที่อยู่ในภาพตัดต่อรองนายกฯ นอนแน่นิ่งในน้ำเน่าปนกองขยะ แม้จะดูเสียดสีอย่างมากและใช้ถ้อยคำไม่สุภาพเท่าใดนัก แต่ก็ช่วยกระตุ้นให้สังคมได้หันกลับมาวิเคราะห์ร่วมกันว่า ตกลงแล้ว เขาเป็นนักการเมืองแบบไหนกันแน่?
คนแรกที่ยินดีร่วมแสดงความคิดเห็นในบริบทนี้คือ สมศักดิ์ เธียรจรูญกุล อาจารย์สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาสุโขทัยธรรมาธิราช ที่ถกประเด็นนี้เอาไว้ในรายการ "คนเคาะข่าว" ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี อย่างออกรสเอาไว้ว่า การสั่งห้ามไม่ให้ประชาชนมาชุมนุม ไม่อย่างนั้นจะจับเข้าคุก เป็นคำพูดที่ล่อแหลมต่อการขัดรัฐธรรมนูญอย่างมาก ประชาชนมีสิทธิชุมนุมได้โดยปราศจากอาวุธ และการที่ภาคประชาชนจะมาชุมนุมเรื่องโครงการบริหารจัดการน้ำ เพราะมันไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ประท้วงด้วยความชอบตามกฎหมาย ย่อมไม่ผิดกฎหมาย ฉะนั้น ยังมองไม่ออกเลยว่าจะเอาประชาชนเข้าคุกด้วยข้อหาอะไร
“สิ่งที่แสดงออก ชี้ชัดว่ารัฐบาลกำลังเหลิงในอำนาจ ไม่ใช่แค่นายปลอดประสพคนเดียว แต่เห็นหลายๆ คนในรัฐบาลก็เป็น และชอบพูดกันว่าเคารพประชาธิปไตย แต่พอถึงเวลาจริงแล้วก็เป็นอย่างที่เห็น รัฐบาลค่อนข้างไม่แคร์กฎหมาย และภาพลักษณ์ใดๆ แล้ว” อาจารย์สมศักดิ์ตำหนิด้วยน้ำเสียงเข้ม ก่อนที่จะปล่อยให้ พิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ช่วยเสริมอีกแรง
“สิ่งที่นายปลอดประสพแสดงออกเที่ยวนี้ ถือว่าล้าหลังกระบวนการประชาธิปไตยของโลก สิ่งที่คิดก็คือขยะที่ทั่วโลกเขี่ยทิ้งหมดแล้ว ถ้าให้ดีควรเปิดห้องให้ตัวแทนประชาชนเข้าไปมีส่วนรับฟัง ว่าประเทศต่างๆ และประเทศไทยเองมีแผนบริหารจัดการน้ำอย่างไร แล้วจะได้รับการยกย่องว่าเป็นนักประชาธิปไตย อีกทั้งการแสดงออกอย่างสันติเป็นประชาธิปไตยที่ทั่วโลกสรรเสริญ ไม่ใช่ทำให้ประเทศเสียหาย แต่ประเทศเสียหน้าที่มีรัฐมนตรีและรองนายกฯ คิดแบบขยะ”
ที่เด็ดสุด เห็นจะเป็นความเห็นจาก หาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ (ประเทศไทย) องค์กรภาคเอกชน ซึ่งเป็นแกนหลักในการชุมนุมและจัดประชุมคู่ขนานกับการประชุมผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในฐานะที่ทำงานคลุกคลีกับเครือข่ายภาคประชาชนที่ทำงานด้านน้ำมานับสิบปี จึงขอวิพากษ์วิจารณ์อย่างผู้รู้ ฝากเอาไว้ให้คนที่ถูกพาดพิงได้แสบๆ คันๆ เล่นๆ ว่า
“ท่าทีของคุณปลอดประสพตั้งแต่มานั่งเป็นประธาน กบอ. (คณะกรรมการบริหารจัดการและอุทกภัย) ในช่วงที่ผ่านเนี่ย ผมมองว่าเป็นตัวรั้งให้รัฐบาลยิ่งเกิดปัญหามากยิ่งขึ้น เพราะทุกคนก็วิจารณ์ในเรื่องตัวบุคคล วิจารณ์เรื่องมุมมองความคิดที่ปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน แม้แต่การประชุมผู้นำด้านน้ำเอเชียแปซิฟิกครั้งนี้ ท่าทีที่คุณปลอดประสพแสดงออกมันเป็นท่าทีของคนที่มาเป็นรองนายกรัฐมนตรี แต่ไม่มีหัวใจของประชาธิปไตย ไม่มีหัวใจของการรับฟังความคิดเห็น เป็นการทำงานที่ใช้อัตตาส่วนตนเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล
ท่าทีของคุณปลอดประสบ มันเป็นการดูถูกเหยียดหยามว่าผู้ชุมนุมเป็นพวกขยะสังคม ทัศนคติแบบนี้เรารับไม่ได้ แล้วการที่บอกกับคนเชียงใหม่ว่าอย่าให้ผู้ชุมนุมเข้าพื้นที่เนี่ย ผมว่าทัศนะของคนที่เป็นถึงรองนายกฯ การที่ยุยงให้คนกลุ่มหนึ่งมาทะเลาะกับคนอีกกลุ่มหนึ่งโดยไม่มีเหตุผล มันไม่ใช่หลักคิดของคนที่เป็นผู้ใหญ่ ถ้าคนที่มีคุณวุฒิและวัยวุฒิ แต่มองเรื่องการชุมนุมเป็นแค่ขยะเนี่ย วุฒิภาวะของคุณปลอดประสพไม่สมควรเป็นรัฐมนตรีอีกต่อไป”
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE