ชายไทยทั้งประเทศต่างอิจฉาแชมป์โลกไทยไฟต์อย่าง “บัวขาว บัญชาเมฆ” กันเป็นแถว เมื่อเห็นว่ามีสาวหมวยหน้าใส ยืนเคียงข้าง ร่ายรำแม่ไม้มวยไทยออกรายการทีวีรายการแล้วรายการเล่า ด้วยลีลาอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยความเข้มแข็ง ดึงดูดให้ใครต่อใครสนใจในตัวเธอขึ้นมา
เมื่อได้คำตอบว่าหญิงสาวเจ้าเสน่ห์คนนี้คือตัวแทนสาวไทยเชื้อสายจีนซึ่งกำลังจะไปชิงมงกุฎบนเวที “มิสไชนีส อินเตอร์เนชั่นแนล 2013” ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จึงเกิดเป็นบทสนทนาถามตอบง่ายๆ เพื่อทำความรู้จักและส่งแรงเชียร์ให้เธอคนนี้ “บุญยิสา จันทราราชัย”
แม้เครื่องสำอางที่ฉาบอยู่บนใบหน้าจะดูหนากว่าอัตราปกติอยู่บ้าง เพราะ “ป๊อปปี้” เพิ่งลงมาจากเวทีแถลงข่าว แต่เมื่อได้หลบฉากออกมาจากสื่อมวลชนที่รุมล้อมขอสัมภาษณ์ และเริ่มนั่งพูดคุยกันอย่างเป็นส่วนตัวแล้ว กลับเผยให้เห็นมุมน่ารักขี้เล่นและเป็นธรรมชาติของเธอ ที่เครื่องสำอางไม่อาจบดบังเอาไว้ได้
รำมวยพารุ่ง
เหมือนตอนประกวดเสร็จ คนจะยังไม่รู้จัก มาสนใจตอนเห็นฝึกมวยกับแชมป์โลก?
ใช่ค่ะ ตลกมาก เจอผู้ใหญ่ปุ๊บ เขาเดินเข้ามาทักเลย “นี่ใช่หนูคนที่ต่อยมวยหรือเปล่าเนี่ย” (ทำเสียงเลียนแบบผู้ใหญ่แบบพูดไปยิ้มไปปนขี้เล่น) เพราะว่าวันนั้นออกรายการช่อง 3 ติดๆ กันทั้งวันเลย ใครเปิดดูก็ต้องเห็นแน่ๆ ก็ดีใจค่ะที่มีคนจำได้ก่อนที่เราจะไปประกวด จะได้เป็นแรงใจเชียร์ป๊อปปี้ด้วย ดีกว่าจู่ๆ กลับมา ได้ตำแหน่งแล้ว แต่คนไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรมา พอมีคนเห็นเรา เชียร์เราแบบนี้ มันก็อบอุ่นดีค่ะ
ทำไมถึงเลือกเอาแม่ไม้มวยไทยไปโชว์?
จริงๆ แล้วป๊อปปี้ชอบเต้นนะคะ แต่ถ้าเราไปโชว์เต้น ใครๆ ก็เต้นได้ สู้เอามวยไทยไปโชว์ดีกว่าค่ะ ไม่มีใครเหมือนแน่นอน อีกอย่าง ได้พี่บัวขาว ครูมวยระดับแชมป์โลกมาสอนด้วยตัวเองอีกต่างหาก ก็เลยคิดว่าไม่ควรจะเสียโอกาสนี้ไปค่ะ ต้องรีบคว้าเอาไว้ ก่อนได้เจอพี่เขา เราก็เคยดูรายการ Thai fight มาบ้างเหมือนกันค่ะ ก็รู้สึกว่าพี่แกกวนใช้ได้เลย เวลาไหว้ครู เวลาออกหมัด แล้วพี่แกก็เอาความกวนตรงนี้แหละค่ะมาถ่ายทอดให้ ทำให้การแสดงของเรามีสีสันมากยิ่งขึ้น ใส่ลูกเล่นเข้าไปเพิ่ม มีหยิกหยอก ทำหน้าทำตา ทำให้โชว์มีเสน่ห์มากขึ้น เดี๋ยวต้องคอยดูค่ะ
ฝึกกับพี่บัวขาว โหดไหม?
สนุกดีค่ะ (ยิ้มแป้น) ตอนแรกก็เกร็งๆ เขาเป็นนักมวยเนาะ เดี๋ยวพูดอะไรผิด จะโดนต่อยหรือเปล่า (หัวเราะเบาๆ) ค่ายมวยพี่เขาน่ารักดีค่ะ บรรยากาศดีมาก อยู่กลางสวน กลางทุ่ง ทั้งๆ ที่อยู่แถวโรงพยาบาลกรุงเทพนี่เอง แต่พอเข้าซอยไปแล้ว ให้อารมณ์เหมือนบ้านสวน เหมือนอยู่ต่างจังหวัดเลย เทียบกับค่ายมวยในเมืองที่เราเคยเห็น อันนี้ได้ฟีลกว่าเยอะเลยค่ะ ให้อารมณ์นายขนมต้มมากๆ (หัวเราะ) เหมือนได้ฝึกมวยอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร ใช้เวลาฝึกอยู่ประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ วันเดียว ครั้งเดียวค่ะ
ซึมซับมวยไทยไปได้แค่ไหนแล้ว?
ส่วนใหญ่ที่ฝึกจะเป็นการร่ายรำมากกว่าค่ะ เน้นที่ไหว้ครูก่อน แล้วค่อยแสดงท่าเบสิก ทั้งออกหมัด เท้า เข่า ศอก ชุดที่จะเอาไปแสดงก็เป็นชุดที่ตัดมาพิเศษค่ะ เขียนว่า “Miss Bangkok” แล้วก็มีภาษาจีนกำกับ มีเสื้อคลุม ประเจียด ครบเลยค่ะ เป็นนักมวยแท้ๆ เลย แล้วก็มีเตรียมท่าพิเศษไปโชว์เขาด้วยค่ะ เรียกว่าท่า “นารายณ์แผลงศร” นี่เลย (ทำท่าให้ดู) ปกติแล้ว เวลาทำท่าแผลงศร จะหมายถึงศรอาบยาพิษค่ะ แผลงศรออกไป คู่ต่อสู้โดนแล้วต้องตาย แต่ศรที่เราเอาไปโชว์เขา พี่บัวขาวบอกให้คิดว่าเป็น ศรรูปหัวใจค่ะ (ยิ้มหวาน) ปักที่คณะกรรมการ เขาจะได้รักเรา (น้ำเสียงอ่อนลง แฝงไปด้วยแววตาขี้เล่นนิดๆ)
เสน่ห์สาวไทย ไม่ต้องพึ่งผู้ชาย!
คิดว่าผู้หญิงไทยอย่างเรา สู้สาวจีนได้หรือเปล่า?
ผู้หญิงจีนเขาก็มีเสน่ห์ในแบบของเขานะ แต่ป๊อปปี้ขอพูดถึงผู้หญิงไทยเราดีกว่าค่ะ คนไทย ป๊อปปี้ว่าเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนค่ะ (ยิ้ม) เราก็จะเอาความ friendly เอาความเป็นตัวของตัวเองไปสู้กับเขาค่ะ จริงๆ คนเราก็สวยเหมือนกันหมดนะ แต่มีเสน่ห์กับไม่มีเสน่ห์ ตรงนี้แหละค่ะที่ต่างกัน เสน่ห์ที่ดูได้นานก็คงต้อง “งามมาจากภายใน” ค่ะ เพราะถ้างามแค่ภายนอก มันผิวเผิน ดูแป๊บเดียวก็เบื่อ อยู่ใกล้ๆ แป๊บๆ ก็เบื่อแล้ว แต่ถ้างามมาจากภายใน มาจากนิสัย คนรอบข้างก็มีความสุข ตัวเราก็มีความสุขด้วย
ส่วนเสน่ห์เรื่องวัฒนธรรม ไม่ต้องพูดถึงค่ะ บ้านเรามีเยอะมาก พูด 3 วันก็ไม่จบ อย่างแรกคือเรื่องอาหารก่อน ใครๆ ก็รู้ว่าอาหารบ้านเราอร่อยเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลย เน้นเรื่องอาหารตลอดค่ะ ชอบทาน (หัวเราะ) แล้ววัฒนธรรมของเราก็มีเอกลักษณ์มากค่ะ เพลงไทยพื้นเมือง ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ มีเสน่ห์หมดเลย การร่ายรำ ภาพวาดตามฝาผนัง ทุกอย่างดูวิจิตรตระการตาหมดเลย ถึงเรียกว่า Amazing Thailand ได้
แล้วเสน่ห์เมืองจีนล่ะ มองเห็นบ้างไหม?
ก่อนหน้านี้ ไม่ค่อยพิศวาสอะไรที่เกี่ยวกับจีนเท่าไหร่เลยค่ะ แต่พอก่อนเข้าประกวด ทีมงานพาทัวร์ พาไปไหว้บรรพบุรุษของตระกูลเราตั้งแต่ดั้งเดิม ไปเยาวราช ไปวัดจีน ทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย! ทำไมเราถึงลืมต้นกำเนิดของเราไป เพราะเราก็มีเชื้อสายจีน ก็เลยคิดว่ามันเป็นวัฒนธรรมที่สวยงาม เราต้องเริ่มหันมาสนใจบ้างแล้วแหละ เราเป็นคนไทย เราโตที่เมืองไทย แต่เราก็มีเชื้อสายจีนอยู่ เราก็ควรจะซึมซับตรงนั้นมาด้วย
เสน่ห์เรื่องอาหาร อาหารจีนก็มีเหมือนกันค่ะ โดยเฉพาะที่ฮ่องกง ขึ้นชื่อว่าอร่อยมาก แต่ป๊อปปี้ยังไม่เคยไปนะคะ แต่เล็งไว้แล้วค่ะ (หัวเราะ) เป็นคนชอบทานมาก ทานจนเพื่อนแซว ลิสต์ไว้เรียบร้อยว่าจะทานอะไรบ้าง
ผู้หญิงที่สวยในสายตาเราคือใคร มีไอดอลบ้างไหม?
จริงๆ ไอดอลเรื่องการดำเนินชีวิตหรืออาชีพการงานคือคุณแม่นะคะ เพราะแม่เป็นคนเก่งค่ะ บริหารเป็น เป็นผู้นำคนได้ ป๊อปปี้ว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก อยากทำให้ได้แบบนั้น เห็นคุณแม่ทำงานมาตั้งแต่เด็กก็เลยอยากทำให้ได้เหมือนคุณแม่ค่ะ ชอบผู้หญิงเก่ง ไม่ต้องเดินตามหลังหรืออยู่ใต้อำนาจของผู้ชาย เป็นผู้นำครอบครัวได้ ไม่มีผู้ชายก็อยู่ได้ เท่ดีค่ะ
หมายความว่าพ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เด็ก?
ใช่ค่ะ (พยักหน้ารับ) อาจจะเป็นเพราะอย่างนั้นด้วยก็เลยทำให้เรามีความคิดแบบนี้ เพราะคุณพ่อก็อยู่อีกบ้านหนึ่ง ป๊อปปี้อยู่กับคุณแม่มากกว่า โตมากับคุณแม่คนเดียวตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้วค่ะ ประมาณ 5 ขวบได้ ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องอะไรมาก แต่จำได้ว่าจะมีช่วงที่คุณพ่อคุณแม่คุยกันหน้าตาเคร่งเครียด แต่เขาก็ไม่ได้ทะเลาะให้เราเห็น เงียบๆ ไป เราก็เลยไม่ได้รู้สึกกระทบอะไรมาก แล้วก็ไม่ได้น้อยใจหรือมองว่าเป็นปัญหาอะไรค่ะ พอคุณพ่อคุณแม่แยกทางกัน แค่เห็นคุณแม่มีความสุข เขายังดูแลเราได้เหมือนเดิม เราก็โอเคแล้ว ส่วนคุณพ่อ ก็รู้ว่าเขาย้ายไปอีกบ้านหนึ่ง ถ้าเราคิดถึงก็แค่ไปหา ไปกินข้าวกัน
เหมือนไม่มองว่าเป็นปัญหาเลย?
ค่ะ (น้ำเสียงสบายๆ) ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าตัวเองไปเข้าใจตอนไหน แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องการความรักจากคุณพ่ออะไรขนาดนั้นน่ะค่ะ คือไม่ได้หมายความว่าไม่ติดต่อกับคุณพ่อนะคะ ก็ยังติดต่อกัน รับไปทานข้าว ทั้งคุณพ่อกับคุณแม่ก็ยังคุยกันได้ ไปทานข้าวด้วยกันได้ แต่อยู่กันเป็นเพื่อนไป ไม่ได้แยกทางแบบทะเลาะแตกหักบาดหมางค่ะ เลยไม่เคยมองว่าเป็นจุดบกพร่องของชีวิตเลย กลายเป็นเรื่องปกติมากๆ เพราะคุณแม่ให้เราครบหมดทุกอย่างแล้ว
ความรู้สึกจริงๆ ถามว่าอยากให้เขากลับมาอยู่กันครบไหม ก็อยากนะคะ แต่ป๊อปปี้จะรู้สึกว่าแค่เห็นคุณแม่มีความสุขตรงนี้ ตอนนี้ก็พอแล้ว เหมือนกับว่าเราพยายามมองให้เห็นส่วนดีในชีวิตมากกว่าค่ะ ถึงพ่อแม่จะแยกทางกัน ไม่ว่าเราจะได้อยู่กับใคร คุณพ่อหรือคุณแม่ ก็ให้เรามุ่งความสำคัญไปที่คนคนนั้น คนที่เราอยู่ด้วย แทนที่จะมานั่งคิดแต่ว่า ทำไมอีกคนเขาถึงไม่อยู่กับเรา ทำไมเขาถึงทิ้งเราไป แต่ให้คิดว่าเราโชคดีแค่ไหนแล้วที่ยังมีอีกคนอยู่ข้างๆ คิดอย่างนี้ดีกว่า
ถ้าวันหนึ่ง คุณแม่จะมีใครใหม่ จะยอมรับได้ไหม?
คุณแม่คงไม่มีค่ะ เพราะออกแนวธรรมะธัมโมไปแล้ว (ยิ้ม) วันธรรมดาทำงาน วันเสาร์-อาทิตย์ก็จะชวนเราเข้าวัด ทำบุญตลอด ชวนให้อยู่ในศีลในบุญตลอด แต่ถ้าเกิดคุณแม่อยากคบใครขึ้นมาจริงๆ ถ้าคนนั้นเป็นคนดี เราก็ยอมรับได้อยู่แล้วค่ะ ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วทำให้คุณแม่มีความสุข
หยุดเป็นต้องเข้าวัด
เห็นบอกคุณแม่ชวนเข้าวัดตลอด เข้าทุกอาทิตย์เลย?
ถ้าไม่ติดงานก็เข้าทุกอาทิตย์เลยค่ะ ป๊อปปี้เริ่มเข้าวัดปฏิธรรมตั้งแต่ตอน ม.ต้น แล้วค่ะ คุณแม่ลากเข้าไป (ยิ้ม) ครั้งแรกที่ไป จำได้เลยว่าเบื่อมาก (ลากเสียงยาว) แล้วเราเป็นเด็กไฮเปอร์ด้วยค่ะ อยู่เฉยๆ ไม่ค่อยได้ (หัวเราะ) สมาธิสั้น แต่พอลองปฏิบัติอยู่หลายปี แล้วกลับมามองดูก็รู้สึกเปลี่ยนเหมือนกันนะ เฮ้ย! เรามีความอดทนมากขึ้นเหมือนกันนะ คิดเป็นมากขึ้น โตขึ้น ควบคุมตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ก็เลยเห็นประโยชน์ตรงนี้ แล้วก็นับถือมากๆ ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนค่ะ รู้สึกว่าธรรมะช่วยเราได้จริงๆ
หลักธรรมข้อไหนที่เอามาใช้บ่อยๆ?
ทุกวันนี้ รู้สึกว่าโลกของเรามีสิ่งยั่วยุอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เยอะแยะมากมาย เราก็ต้องมี “สติ” ต้องใช้ “ขันติ” ค่ะ คือต้องมีความอดทน แล้วก็ต้องมี “อุเบกขา” ด้วย รู้จักปล่อยวาง เพราะทุกวันนี้ที่คนเราเป็นทุกข์กันอยู่ เป็นเพราะเราถือไว้ แบกทุกอย่างไว้บนไหล่ของตัวเอง แล้วก็เหนื่อย ท้อ มีปัญหาเข้ามารุมเร้าจิตใจ บางคนหนักถึงกับฆ่าตัวตาย วิธีที่จะทำให้เราหลุดออกไปจากอารมณ์พวกนี้ได้ ก็ต้องใช้อุเบกขาช่วยค่ะ หลักการก็ไม่มีอะไรมาก แค่ ละทิ้ง-ปล่อยวาง ได้ เวลาป๊อปปี้มีปัญหาหรือเครียดเรื่องอะไรมากๆ ก็จะชวนคุณแม่ไปเลยค่ะ บอกหม่ามี้ไม่ไหวแล้ว ไปปฏิบัติธรรมกัน
ส่วนใหญ่เรื่องอะไรที่ทำให้เครียดได้บ้าง?
อาจจะมีเรื่องความรักบ้างตามประสาวัยรุ่นค่ะ เรื่องเรียนบ้าง เพราะเราต้องทำงานด้วย เรียนไปด้วย บางทีก็แบ่งเวลาไม่ค่อยดี สุดท้ายก็มาเครียดตอนเกรดไม่ดีอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่คุณแม่จะคอยสอนเสมอว่าต้องมีสติ อย่าลน ต้องรู้จักลำดับความสำคัญ อะไรมาก่อน-อะไรมาหลัง ให้ได้
ก็จะมีบางช่วงค่ะที่อารมณ์เรา sensitive อาจจะใจร้อนแล้วก็โมโหง่าย มีปัญหาชีวิต คิดมาก แม่ก็จะเตือนเลยค่ะ นั่งสมาธิบ้างหรือเปล่าช่วงนี้ (ยิ้มแหยๆ) คุณแม่จะรู้ตลอดค่ะ พอไม่ได้นั่งสมาธินาน สติเราก็จะเริ่มหลุด ดีใจง่าย เสียใจง่าย เพราะปกติเราเป็นคนค่อนข้างสุดโต่งอยู่แล้ว ก็จะถูกเตือนให้นั่งสมาธิค่ะ จะได้มีสติกับเรื่องต่างๆ มากขึ้น
ถ้าเป็นไปได้ คุณแม่ก็อยากให้นั่งทุกวัน วันละ 5 นาทีก็ได้ แต่บางทีเราก็เหนื่อยค่ะ ก็ลดลงเหลือแค่วันละ 1 นาทีเป็นอย่างต่ำ แต่สวดมนต์นี่ สวดทุกวันอยู่แล้วค่ะ หลังจากสวดมนต์เสร็จ ก็อาจจะนั่งนิ่งๆ สักพักหนึ่งให้จิตใจสงบๆ พยายามไม่คิดอะไร เพราะบางวันเราผ่านเรื่องราวมาเยอะแยะ สมองฟุ้งซ่าน ถ้าได้พักแค่ 1 นาทีก็ยังดี หยุดคิดเรื่องอะไรที่อยู่ในสมองเยอะแยะ ได้ทำแบบนี้ก็ถือเป็นความสุขของเราเหมือนกันค่ะ ได้ปล่อยให้ตัวเองมีความสุขกับการสงบนิ่งบ้าง
การเข้าวัด ปฏิบัติธรรม เหมือนเป็นเทรนด์วัยรุ่นไปแล้ว?
ป๊อปปี้ว่าจะเป็นเทรนด์หรือไม่เป็นเทรนด์ แค่คิดจะเข้าวัด มันดีหมดนะคะ จะเข้าวัดเพราะคิดได้เอง เพราะตามเพื่อน หรืออยากจะสร้างภาพ ก็ไม่เป็นไร (ยิ้มบางๆ) อย่างน้อยคุณได้เข้าวัด คุณได้บุญ ได้มุมมองอะไรใหม่ๆ ในชีวิตแน่นอน อย่างน้อยเข้าไปก็ได้เห็นศรัทธาของคนอื่นที่มีต่อศาสนาพุทธ น่าจะทำให้จิตใจผ่องใสขึ้นมาได้บ้าง โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยเห็นเลย พอได้เห็นก็น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างแหละ เห็นมีหลายคนเลยค่ะลองไปดูขำๆ แต่พอไปแล้วติดใจ รู้สึกดี พอไปบ่อยๆ เข้าก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้าร่วม ถือเป็นการสืบทอดศาสนาได้ด้วย
แค่ทำบุญก็เจ๋งแล้ว!
มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้สนใจหันมาธรรมะบ้างไหม?
ทุกวันนี้ที่อยู่ในกรอบได้ ป๊อปปี้ว่าเป็นเพราะศาสนาเลยนะ ก่อนหน้านี้ ตอน ป.6 ขึ้น ม.1 เป็นช่วงเปลี่ยนของชีวิตเลยค่ะ ป๊อปปี้อยู่โรงเรียนหญิงล้วนมาตลอด พอเข้า ม.1 ปุ๊บก็เริ่มมีหนุ่มๆ เข้ามาวุ่นวายในชีวิต ชวนไปนู่นมานี่ เพื่อนก็ซนๆ สมาธิเราก็เริ่มสั้น แต่พอเริ่มมานั่งสมาธิ พอมีเพื่อนมาแกล้งเรา เพื่อนผู้หญิงเอารองเท้าเราโยนทิ้งนอกหน้าต่าง ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาทำกับเราอย่างนั้น แต่คุณแม่สอนค่ะ พระพุทธศาสนาสอนว่าให้เรา “ให้อภัย” ให้สงสารเขาว่าที่เขาทำไปเพราะเขามีใจโกรธ มีใจอยากกลั่นแกล้ง มีจิตคิดริษยา
ทุกวันนี้ก็ยังใช้หลักการเดิมค่ะ แต่ก็ไม่เก่งถึงกับไม่โกรธนะคะ อาจจะโกรธง่ายหายเร็ว อาจจะอารมณ์อ่อนไหว งอนบ้าง โกรธบ้าง แต่แป๊บๆ ก็หาย ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ ไม่คิดแค้นด้วย ทุกวันนี้ใครว่าร้ายยังไง เราก็มองไปซะว่าเราเลือกไม่ได้หรอกที่จะให้ใครมามองเราดีไปหมด ไม่ว่าเขาจะมาในรูปแบบเพื่อนหรือออกตัวชัดเจนว่าเป็นศัตรูไปเลย ถ้าเรารู้ว่าเขามาไม่ดี เราก็ไม่ต้องไปโกรธไปเกลียดตอบ ก็เฉยๆ กับเขาซะ อยู่ห่างๆ แทน เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ประมาณนั้นค่ะ (ยิ้ม)
รู้สึกว่าการได้ศึกษาธรรมะทำให้เราคิดเป็นมากกว่าวัยรุ่นหลายๆ คนที่อยู่ในวัยเดียวกันค่ะ บางคนอาจจะชอบดื่มเหล้าเมายา ไปเที่ยวทุกคืน แต่ป๊อปปี้จะมองว่ามันผิดศีล ไม่จำเป็นก็ไม่ดื่ม ดื่มบ้างเป็นบางครั้ง ถ้าเป็นไปได้ก็จะพยายามรักษาศีล 5 ให้ดีที่สุดค่ะ แค่เบื้องต้น ถือศีล 5 ได้ก็ได้บุญแล้ว
จะทำบุญแต่ละที ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสิน?
จริงๆ แล้วป๊อปปี้ไม่ซีเรียสกับการเสียตังค์ทำบุญนะคะ แล้วก็ไม่เคยมองว่าทำบุญแล้วต้องหวังผลด้วย จริงๆ แล้วบุญทำได้ง่ายมากเลยค่ะ อาจจะไม่ต้องเสียตังค์ก็ได้ แค่คิดดี-พูดดี-ทำดี แค่นี้ก็เป็นบุญแล้ว แค่คิดว่าวันนี้จะซื้อขนมไปให้คุณแม่ แค่คิดแบบนี้ก็ได้บุญแล้ว คิดที่จะทำดี การพูดก็เหมือนกันค่ะ พูดในสิ่งดีๆ พูดให้คนนั้นประทับใจคนนี้ ทำให้คนสองคนรู้สึกดีต่อกัน แค่นี้ก็เป็นบุญแล้วค่ะ หรือจะทำบุญแบบใช้เงิน แค่เดินผ่านขอทาน ก็ถือเป็นการทำบุญแล้วค่ะ ถือเป็นการให้ ไม่ต้องเข้าวัดก็ทำได้
ถ้ามีใครมาขอตังค์ ถ้าเรามีเศษเหรียญติดตัว เราให้ได้ เราก็ให้ค่ะ เพราะเขาก็เป็นคนคนหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะเอาเงินไปทำอะไร เราก็ถือว่าได้ทำบุญกับคนแล้ว แต่บางทีก็มีลังเลเหมือนกันค่ะ ส่วนใหญ่ก็เลยชอบทำบุญกับพระสงฆ์มากกว่า ทำบุญกับผู้ทรงศีลถือเป็นบุญบริสุทธิ์ที่สุดแล้ว
อยากให้พูดถึงคนที่เสพติดการทำบุญบ้าง?
เห็นมาเยอะเหมือนกันค่ะแล้วก็รู้จักด้วย บริจาคกันเป็นล้านๆ สิบล้านก็มี แต่มองในแง่ดี เราก็คิดว่าเขาเจ๋งนะคะ เขาสามารถตัดความตระหนี่ของตัวเองได้ ถามว่าพระพุทธเจ้าสั่งสอนให้เราทำบุญเพราะอะไร ให้ใส่บาตรทำไม มันเป็นการตัดตระหนี่ค่ะ ให้รู้จักเสียสละของตัวเองเพื่อทำทานให้แก่ผู้อื่น ปี้เลยคิดว่าคนที่ทำบุญมาก ไม่ใช่คนที่ได้บุญมาก แต่เป็นคนที่สามารถตัดความตระหนี่ในของตัวเองได้มากค่ะ จะได้บุญมากหรือน้อยก็ไม่รู้ แต่ถือว่าเขามีความศรัทธาที่จะทำ เราก็มองอย่างชื่นชม สนับสนุนค่ะ ไม่ได้แอนตี้เลย คุณจะทำ 10 บาท หรือ 100 ล้าน เราก็อนุโมทนาหมด แต่สำหรับป๊อปปี้ เราก็ไม่ได้เน้นจำนวนค่ะ ทำเท่าที่ทำได้
คนอื่นอาจจะสงสัยว่าทำไมเราถึงธรรมะธัมโม ทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิงยุคใหม่ แต่ป๊อปปี้มองว่า เราทำแล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ทำแล้วมีความสุข แถมยังเป็นการช่วยสืบทอดศาสนา ใครจะว่ายังไงก็ช่างเขา ทุกวันนี้ก็พยายามอัปเฟซบุ๊ก ลงรูปในอินสตาแกรม ทุกครั้งที่ไปทำบุญนะคะ เวลาใครเห็นภาพเราไปทำบุญ เขาจะได้นึกอยากทำบ้าง อันนี้เป็นจริงๆ นะคะ บางครั้งเราลงรูปไป เราไม่ได้เอ่ยปากชวนด้วยซ้ำว่าให้มาทำบุญกันนะ แต่พอเขาเห็นแล้ว เขาก็อยากทำจริงๆ บอกเดี๋ยวไปทำบ้างดีกว่า ไม่ได้ทำนานแล้ว อาจจะนึกได้ว่ามีคนทำบุญ แล้วทำไมเราไม่ทำบ้างล่ะ ก็ถือว่าเราได้บุญจากการทำให้คนอยากทำบุญค่ะ
นางเอกที่ไม่มีใครรู้จัก
ก่อนจะถูกเรียกว่า “นามงาม” เคยเป็น “นางเอก” มาก่อน?
ใช่ค่ะ เคยเล่นเรื่อง “คน-โลก-จิต” มาก่อน แต่ไม่ดัง (หัวเราะ) จริงๆ แล้วในบทที่เราเล่นทั้งหมด มันมีฉากที่เราเล่นเยอะอยู่เหมือนกัน แต่พอมาตัดต่อ จาก 3 ชั่วโมง เขาตัดเหลือ 2 ชั่วโมง โดยเลือกตัดบทของป๊อปปี้ทิ้งไปซะส่วนใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่หวังอะไร ก็เฉยๆ ไปค่ะ คิดว่ามันเป็นการตัดสินใจของผู้กำกับที่เราต้องยอมรับ มันเป็นหนังของเขา เขาอยากจะทำอะไรก็เรื่องของเขา แต่พอตัดบทเราออกไปปุ๊บ เราก็ไม่ดังเลย (หัวเราะแก้เขิน)
ตอนแรกก็เฟลเหมือนกันนะคะ พอรู้ว่าฉากที่เราเล่นดราม่า ฉากอารมณ์ล้วนๆ ถูกตัดทิ้งไปหมดเลย เหลือแค่ฉากง่ายๆ ไว้ แต่จะทำไงได้ ก็ต้อง “อุเบกขา” ค่ะ (แววตาขี้เล่น)
แล้วจะให้เรียกว่าอะไรดี “นางเอก” หรือ “นางงาม”?
คนอื่นอาจจะเรียกดาราบ้าง นักแสดงบ้าง เพราะเคยเล่นหนังมาค่ะ แต่หลักๆ ตอนนี้หน้าที่ของเราคือ “นางงาม” แต่ถ้ามีคนหยิบยื่นโอกาสให้ทำงานแสดงก็ดี ถ้ามีโอกาสก็อยากลองทั้งหนังทั้งละครค่ะ แต่ยังไม่มีโอกาสได้เล่นละครเลย เลยไม่รู้รสของมัน แต่สำหรับหนัง เคยเล่นมาแล้ว รู้สึกว่าเสน่ห์อยู่ที่ว่ามัน “จริง” ค่ะ ถ้าเป็นละครอาจจะต้องโอเวอร์แอกติ้งไปหน่อย แต่หนังจะเน้นที่ความรู้สึกจริงๆ มากกว่า ถึงหนังเรื่องแรกที่เราเล่นมันจะไม่บูม แต่ป๊อปปี้ก็รู้สึกว่าเราน่าจะยังพัฒนาได้อีกนะคะ ถ้าคว้ารางวัลครั้งนี้กลับมาได้ ก็อาจจะมีโอกาสมั้งคะ (ยิ้ม)
เส้นทางในวงการของเราเป็นไงมาไง?
ประกวดมาตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ เดินแบบที่เชียงใหม่ ตั้งแต่ 14-15 ป๊อปปี้เกิดที่กรุงเทพฯ แต่ไปเรียนที่เชียงใหม่ จากนั้นก็มาประกวดดัชชี่เกิร์ลปี 2005 แล้วก็เล่นเอ็มวี เล่นโฆษณามาเรื่อย ก่อนมาประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ก็ได้แสดงหนังเรื่อง “คน-โลก-จิต” พอประกวดเสร็จ หนังก็ฉายพอดีค่ะ เห็นประกวดมาเยอะแบบนี้ แต่จริงๆ แล้ว ป๊อปปี้ไม่เคยมีความคิดอยากจะเป็นดารามาก่อนเลยนะ แต่เป็นคนกล้าแสดงออก เป็นเด็กกิจกรรมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรค่ะ ชอบเต้นมาก ไปเรียนโรงเรียนเต้น จนพี่โมเดลลิ่งมาเห็น มาได้ประกวดดัชชี่ฯ ได้เต้นได้ร้อง เราก็ค้นพบว่านี่แหละคือความสุขของเรา
ป๊อปปี้อยากเป็นแดนเซอร์มาตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้วค่ะ ดูหนังแล้วเต้นตาม อย่างเรื่อง Step up ก็ชอบมาก คุณแม่เล่าให้ฟังว่าชอบเต้นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ตัวเล็กๆ ก็ชอบส่ายก้น (เธอทำท่าประกอบเล็กๆ จนทำให้เราอดขำไม่ได้) ส่ายจริงๆ ค่ะ ส่ายแบบแก่แดดเลยล่ะ จนคนที่บ้านตั้งฉายาให้ว่า “จั๊กกะแหล่น” กับ “ตูดหมึก”
พอได้เรียนซัมเมอร์ เราก็เรียนบัลเล่ต์กับแจ๊ซ เจ้าของโรงเรียนมาดู เห็นเราเต้น เลยให้ทุนการศึกษาให้เรียนเต้นยาวไปอีก 4-5 ปีเลยค่ะ จนเกือบจะได้บรรจุเป็นครูสอนเต้นแล้ว แต่มาได้เวทีประกวดดัชชี่ฯ ก่อน พอเริ่มเข้าวงการก็เลยเลิกเต้นเลิกเล่นบัลเล่ต์ไป เพราะเล่นแล้วขาใหญ่ค่ะ (ยิ้ม) ตรงน่องจะเป็นกล้ามเนื้อเพราะต้องเขย่งขาอยู่ตลอด
ตอนนี้ยังอยากเป็นแดนเซอร์อยู่ไหม?
บางทีเห็นคนอื่นเต้นก็ยังอยากเต้นนะ ถ้ามีโอกาสก็ยังอยากเต้นอยู่ค่ะ แต่คงเป็นงานอดิเรกมากกว่า คงไม่ได้เลือกมาทำเป็นอาชีพแล้ว แต่ก็แอบอยากเป็นนักร้องค่ะ ขอเป็นนักร้องแบบเน้นเต้นนะคะ อะไรก็ได้ค่ะ ขอให้ได้เต้น (พูดไปยิ้มไปด้วยสีหน้าสดใส) แต่ถ้าให้มองอนาคตไกลๆ เป็นงานนอกวงการที่ฝันไว้ ก็อยากเป็นนักธุรกิจค่ะ อยากเรียนโทและทำงานต่างประเทศต่อเลย อยากใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกค่ะ
ป๊อปปี้เป็นคนชอบเที่ยว มีความใฝ่ฝันว่าอยากใช้ชีวิตอยู่คนเดียวที่เมืองนอก ไปพักผ่อนที่ไหนก็ได้ให้สบายใจ เมืองละ 5 วัน เพราะเท่าที่ผ่านมา เวลาได้ไปเมืองนอกจะรู้สึกชอบทุกที่เลย ไม่ว่าที่นั่นจะเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ หรือไม่ ปี้จะชอบมองมุมสวยๆ ของเมือง มองมุมชีวิตที่โอเค ชอบมองดูผู้คนใหม่ๆ
พวกฝรั่ง เขาจะมีค่านิยมเก็บเงินไปเที่ยวเมืองนอกทุกปี มันเป็นการเปิดหูเปิดตา เปิดมุมมองชีวิตจริงๆ ซึ่งป๊อปปี้เห็นด้วยกับตรงนี้มากๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่เราเดินทางในประเทศไทย ออกนอกต่างจังหวัด เราก็ได้เห็นอะไรๆ อีกเยอะแยะเลยค่ะ อย่างตอนไปขอนแก่น เราก็จะได้เห็นชาวบ้าน แต่งตัวบ้านๆ เดินห้างกัน ไม่ต้องโบ๊ะหน้าอะไรมากมาย เห็นแล้วสบายตาดีค่ะ คิดว่า เฮ้ย! มันน่ารักดีนะ ทำไมคนกรุงเทพฯ ไม่ทำอย่างนั้นบ้าง เราจะได้ไม่ต้องเหนื่อยแต่งตัวสวยๆ เดินห้าง ทำไมต้องมานั่งแคร์ภาพลักษณ์กัน
ป๊อปปี้ว่าถึงคุณหน้าตาสวย แต่งตัวธรรมดา แต่นั่งจกส้มตำ คุณก็ดูดีได้ค่ะ ดู enjoy กับสิ่งที่คุณทำ มันก็โอเคแล้ว ก็เลยคิดว่าอยากไปอยู่ต่างจังหวัดบ้างค่ะ บางทีอยู่ในเมืองก็รู้สึกว่าเราต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ดูดี ต้องคอยทำตัวเองให้ดี เพราะเราจะถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นเสมอ ก็เลยทำให้เรามีความสุขที่จะออกไปเที่ยว ไปอยู่เมืองนอกด้วยค่ะ จะแต่งตัวยังไงก็ได้ อยากใส่ขาสั้นก็ใส่ ไม่อยากแต่งหน้าก็ไม่ต้องแต่ง ไม่มีใครรู้จักเรา
ความรักฉบับนางงาม
เดือนกุมภาพันธ์แบบนี้ อยากให้พูดถึงความรักเสียหน่อย
ความรักมันกินความหมายกว้างมากนะคะ แต่ถ้าจะให้พูด สำหรับป๊อปปี้ ความรักมันจับต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้ค่ะ ถ้าเรารักใคร เราก็อยากเห็นคนที่เรารักมีความสุข ไม่ใช่การครอบครอง ไม่ใช่การบังคับ ไม่ใช่การสร้างภาพถ่ายรูปคู่กัน อัพรูปลงให้คนอื่นอิจฉา แต่คือการที่เรา support กันและกัน เขาสุข-เราก็สุข เขาทุกข์-เราก็ทุกข์ด้วย ไม่ใช่จะมานั่งนึกว่าเขาต้องทำให้เรามีความสุขสิ แต่เราควรจะแบ่งปันความสุขกัน สุขไปด้วยกันทั้งสองฝ่ายค่ะ
ทุกวันนี้นึกถึงความรัก นึกถึงใครบ้าง?
อันดับแรก ต้องคุณแม่ก่อนเลยค่ะ เพราะว่ามีเขามาตลอดคนเดียวทั้งชีวิต ทุกวันนี้ก็ยังดูแลเรามากๆ อยู่เลยในทุกๆ เรื่อง ผลไม้ก็ต้องปอกให้ทาน อาหารเช้าก็เตรียมให้ทุกวัน ของใช้ส่วนตัวก็เป็นคนซื้อให้ ก็เลยคิดว่าไม่รักคนนี้แล้วจะไปรักคนไหน (กะพริบตาปริบๆ) บางทีเราเสียใจเรื่องความรัก มีแม่อยู่ข้างๆ เราก็คิดได้ว่า ทำไมเราต้องเสียใจวะ ในเมื่อมีคนที่เขารักเราอยู่ตรงนี้ ขนาดนี้ ถัดจากนั้นก็คงเป็นการมอบความรักให้คนที่เราชอบอยู่ตอนนั้น ส่วนตอนนี้ไม่รู้ค่ะ (หัวเราะแก้เขิน) แล้วก็เพื่อนๆ ค่ะ
รูปแบบการมอบความรักของเราเป็นแบบไหน?
ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยให้สิ่งของค่ะ แต่จะให้ความรู้สึกล้วนๆ จะคอยถามว่าทำอะไร กินข้าวหรือยัง ถ้าเพื่อนไม่สบายก็จะคอยเป็นพยาบาล ก็ไม่รู้ตัวเองเท่าไหร่ค่ะว่าโรแมนติกไหม แต่ก็ดูเป็นคนกุ๊กกิ๊กอยู่เหมือนกัน (ยิ้ม) เคยทำบลูเบอรี่ชีสพาย ให้หนุ่มตอนวาเลนไทน์ด้วยค่ะ ช่วยกันทำกับคุณแม่ เขาก็ประทับใจ
แสดงว่าปรึกษาเรื่องหัวใจกับคุณแม่บ่อย?
มีคุณแม่เป็นทุกอย่างเลยค่ะ เป็นที่ปรึกษา เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง (แววตาอ่อนโยน) มีอะไรก็คุยกันเกือบทุกเรื่องเลย เวลามีใครเข้ามาจีบก็จะเล่าให้ฟังหมดว่าเป็นใคร ยังไงบ้าง คุณแม่ฟังแล้วก็จะเอามาประเมินให้เราเห็นภาพว่า คนนี้น่าจะเป็นแบบนี้-แบบนั้น ให้ระวังตัวยังไงบ้าง ก็เคยมีชวนเพื่อนมาทานข้าวกับคุณแม่บ้างเหมือนกันค่ะ แต่ก็ไม่ถึงกับเปิดตัวอะไรนะคะ แค่ให้รู้จักกันไว้
หนุ่มๆ แบบไหนที่ถือว่าเป็นสเปก?
ชอบผู้ชายที่สูงกว่าค่ะ ไม่ต้องตี๋ ไม่ต้องตาโต อะไรก็ได้ ส่วนใหญ่จะดูที่นิสัย ชอบคนที่เป็นผู้ใหญ่ ดูแลเราได้ มีเหตุผล จริงๆ ชอบคนอายุมากกว่าด้วยค่ะ เพราะถ้าวัยเดียวกันก็อาจจะใจร้อน คุยกันด้วยอารมณ์มากเกินไป
เปลี่ยนแปลงประเทศไทย คำขอจากนางงาม
ใกล้เลือกตั้งผู้ว่า กทม. แล้ว อยากให้เขาแก้ไขเรื่องอะไรบ้างไหม?
ปัญหาหลักๆ ในกรุงเทพฯ จริงๆ ที่เซ็งมากๆ คือเรื่องรถติดค่ะ ป๊อปปี้ก็ไม่เข้าใจนโยบายรถคันแรกนะ ให้ออกเป็นล้านๆ คันที่งานมอเตอร์โชว์ (ถอนหายใจ) แค่นี้รถก็ติดมากพออยู่แล้ว และรถแท็กซี่บ้านเมืองเราก็เยอะเกินไปด้วยค่ะ ถ้าให้เทียบแล้ว ป๊อปปี้ชอบระบบคมนาคมที่ลอนดอนมากเลยค่ะ ถ้าจะเอารถเข้าเขตเมือง เขาจะเก็บตังค์ค่อนข้างแพง ทำให้คนขับรถเข้าเขตเมืองกันน้อยลง จอดรถไว้นอกเมืองกันมากขึ้น รถก็ไม่ติด ซึ่งมันเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เจ๋งมากเลยค่ะ ถ้าบ้านเราจะทำก็น่าจะแก้ปัญหาได้บ้าง แต่ถ้าใครคิดนโยบายนี้ก็อาจจะไม่มีใครเลือกหรอกค่ะ (หัวเราะ)
รู้สึกว่าเรื่องรถติดเป็นปัญหาเดียวที่คาใจมากๆ จริงๆ รู้สึกเสียเวลาชีวิตค่ะ แทนที่จะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น กลับต้องอยู่บนรถ เราต้องตื่นก่อนกี่ชั่วโมง เพื่อเผื่อเวลารถติด ป๊อปปี้ว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ ถ่วงดุลความเจริญของประเทศชาติมากๆ คนเราแทนที่จะเอาเวลาไปพัฒนานู่นนี่ วันๆ ก็ต้องอยู่บนถนนที่รถติด
ในฐานะที่เป็นตัวแทนชาวไทย คิดว่าจะแก้ภาพลักษณ์ “เมืองโสเภณี” อย่างไร?
จริงๆ แล้ว เราไปห้ามไม่ให้ต่างชาติมองเราอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ แต่เราสามารถออกมาลดปัญหาไม่ให้เขาแซวเราได้ คือเราต้องเริ่มจากการแก้ไขที่ตัวเราก่อน อย่างปัญหาเรื่องโสเภณี ถ้าฝรั่งมาเที่ยวแล้วไม่มีโสเภณี เขาจะมาแซวได้ยังไง แต่เพราะมันคือเรื่องจริงไงคะ เห็นกันเกลื่อนไปหมดเลย ยืนตามมุมนู่นนี่ ก็เลยคิดว่าเราคงทำอะไรไม่ได้ ถ้าเรายังไม่เริ่มแก้ปัญหาในประเทศของเราเอง เราคงไปบังคับคนอื่นให้มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องยอมรับค่ะ
ถ้าจะให้ป๊อปปี้แนะนำ ก็จะแนะนำให้คุณตำรวจไปตรวจตามซอกตามซอยค่ะ แต่ที่ไม่เห็นทำ เพราะเขาไม่สนใจเอง ป๊อปปี้คงไม่สามารถไปยืนบอกชาวโลกได้ว่าประเทศของฉันไม่ใช่ประเทศโสเภณี ทั้งๆ ที่ข้างหลังป๊อปปี้มีโสเภณีเต็มไปหมด ป๊อปปี้พูดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เราต้องแก้ปัญหาให้ได้ก่อนค่ะ
แล้วก็อาจจะชูโรงเรื่องดีๆ ขึ้นมาทดแทนให้เขาเห็นว่าเมืองไทยไม่ได้มีภาพลักษณ์ติดตาแค่เรื่องนั้นนะ บ้านเรายังมีเรื่องวัฒนธรรม เรื่องอาหาร การท่องเที่ยวที่น่าดึงดูดมากๆ และจริงๆ แล้วคนมองประเทศไทยในมุมบวกมากกว่าลบนะคะ ยกเว้นเฉพาะพวกฝรั่งหัวงูที่จะคิดถึงแต่เรื่องนั้นอย่างเดียว ที่เคยเจอเพื่อนชาวต่างชาติ พอเราบอกว่ามาจากเมืองไทย เขาก็บอกทันทีเลยว่าอยากไปเที่ยว อยากมาดูทะเลสวยๆ บ้านเรา หรือบางคนก็พูด “สวัสดีค่ะ” ออกมาเลย เขาบอกเขาชอบประเทศไทยมาก รู้สึกเลยว่ายังไงก็ยังมีคนอีกมากมายรักประเทศไทยและอยากมาเที่ยวบ้านเราค่ะ
ที่ป๊อปปี้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดครั้งนี้ ก็อยากสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยค่ะ เราไม่ได้ตำแหน่งนี้มานานมากแล้ว พี่ๆ ที่เขาช่วยดูแล เขาก็หวังมาก ป๊อปปี้ก็อยากจะตอบแทนด้วยการคว้ามงกุฎกลับมา แล้วก็อยากทำหน้าที่โปรโมตประเทศเรา ให้เขารู้จักประเทศไทยกันมากขึ้น ยังไงวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ นั่งหน้าจอทีวี ฝากเชียร์ป๊อปปี้ด้วยนะคะ
---ล้อมกรอบ---
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : ป๊อปปี้-บุญยิสา จันทราราชัย
อายุ : 21 ปี
ส่วนสูง : 175 ซม.
น้ำหนัก : 55 กก.
การศึกษา : นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขา Business English มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ความสามารถพิเศษ : เต้นแจ๊ซ, ฮิปฮอป และ บัลเล่ต์
ผลงาน: นางเอกภาพยนตร์เรื่อง “คน-โลก-จิต”
ภาพโดย: ศิวกร เสนสอน
ข่าวโดย: ASTV ผู้จัดการ LITE