“จูบ” การแสดงออกอย่างหนึ่งถึงความรัก ที่คนฟังหลายคนอาจนึกไปไกลถึงเรื่องชวนสยิวใต้ผ้าห่ม แล้วยิ่งเดือนนี้เป็นเดือนแห่งความรัก กิจกรรมชวนมาโชว์รักล้นปรี่อย่างการแข่งขันจูบรัก มาราธอนก็กลับมาอีกเป็นครั้งที่ 3 แต่ที่ปีนี้ฮือฮาเป็นพิเศษ ก็เพราะได้ที่ปรึกษาชั้นดีอย่าง รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา กับเจ๊จอมจวก ระเบียบรัตน์ พงษ์พาณิช ออกมาเชิญชวนแข่งขันประกบปากข้ามวันข้ามคืน เลยโดนชาวเน็ตรุมประณามว่า อุ้ยตาย!! ความคิด (ไม่) สร้างสรรค์
ชาวเน็ตจวก ไม่ใช่เรื่องเหมาะสม
หลังออกมาเชิญชวน สนับสนุน กิจกรรมรับวันวาเลนไทน์ “จูบรัก มาราธอน” เพื่อทุบสถิติกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ประกาศศักดาว่า “คนไทยจูบนานกว่าใครในโลก” จากข่าวที่ทางทีมข่าว Super บันเทิง ได้นำเสนอไปเมื่อวันก่อนนั้น ก็ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ประชดประชัน เสียดสี ผู้หลักผู้ใหญ่อย่าง รศ.ดร. เสรี วงษ์มณฑา และ ระเบียบรัตน์ พงษ์พาณิช ว่าไม่น่าหาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัว กับกิจกรรมที่ไม่ได้ช่วยจรรโลงสังคมไทยเลยสักนิดเดียว
“ไม่แข่งมีเพศสัมพันธ์มาราธอนด้วยล่ะ แล้วบอกว่าเป็นการแสดงออกเรื่องความรัก”
“งั้นอาจารย์เสรีจูบกับเจ๊เบียบก่อนเลย ผมแค่อยากบอกว่า จูบกันได้ครับ แต่ไม่ใช่ในที่สาธารณะ ปู่ย่าตายาย ท่านบอกไว้ว่ามันบัดสีบัดเถลิง ของแบบนี้จะยังเอามาสร้างสถิติโลกอีก”
“ขนาดบางประเทศในยุโรปเอง ยังออกกฎหมายห้ามจูบในที่สาธารณะเลย เพราะไม่เหมาะสม ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธแท้ๆ มีวัฒนธรรมอันดีงามมาช้านาน แล้วอยู่ดีๆ อ.เสรี กับเจ๊เบียบ ไม่มีอะไรทำเหรอ ว่างมากนักหรือไง ถึงได้ลุกขึ้นมาทำเรื่องไร้สาระได้ขนาดนี้”
“ดร.เสรี ไม่น่าเลย แต่ก่อนชอบดูรายการอาจารย์ถกเรื่องปัญหาสังคม อะไรทำให้อาจารย์มาสนับสนุนกิจกรรมทำนองนี้ การยืนจูบปากกันให้นานที่สุดมันเป็นการพิสูจน์ความรักได้ตรงไหนกัน สู้หาคู่รักอายุยืน หรือคู่รักที่ฝ่าฟันปัญหาเศรษฐกิจ, โรคร้าย ฯลฯ และยังอยู่ด้วยกันน่าจะดีกว่า”
“เด็กไทยยังเสื่อมไม่พอหรือไง ทำอย่างนี้อีกหน่อย วัยรุ่นมันก็จูบกันให้ดูเกลื่อนถนน แล้วมันก็บอกว่ารักกันแสดงความรักได้ไม่ผิด”
เจ็เบียบ-เสรี ยันจูบปากไม่แปลก
วัฒนธรรมการจูบกันเป็นการแสดงออกซึ่งความรักความเสน่หา โดยในแต่ละวัฒนธรรมนั้นก็มีความหมายที่แตกต่างกันไป โดยมากจะนึกถึงในเชิงเสน่หา ความรัก ความใคร่ แต่บางวัฒนธรรมการจูบเป็นเพียงการทักทาย แสดงความเคารพนับถือ หรืออวยพรให้พบแต่ความโชคดี ส่วนในประเทศไทยนั้น การจูบอาจไม่ใช่เรื่องคุ้นชินเสียเท่าไหร่ สำหรับภาพการประกบปากจูบกันของคู่รักทั้งหลาย
การแข่งขันจูบรัก มาราธอน เลยกลายเป็นกิจกรรมประหลาดที่จะต้องมาอดทนยืนเอาปากติดกันเป็นชั่วโมงๆ แต่สองที่ปรึกษางานครั้งนี้ก็ยืดอกบอกว่า การจูบนั้นไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด แถมยังสนับสนุนให้คนมาจูจุ๊บแสดงความรัก เลยเป็นที่มาของการโดนชาวเน็ตติติงกันแบบสาดเสีย เทเสีย อย่างที่เห็น ซึ่งส่วนตัวระเบียบรัตน์เองยังไม่ทราบ และดูไม่สะทกสะท้านกับคำวิจารณ์เหล่านี้สักเท่าไหร่ หลังบอกว่าเรื่องแบบนี้ไม่สามารถไปบังคับให้ใครเขาคิดเหมือนดั่งที่เราคิดได้
“มันก็ต่างคน ต่างมุมมองค่ะ ไม่มีใครจะคิดเหมือนกันไปทุกเรื่อง เรื่องนี้ก็ได้เรียนให้ทราบไปหลายครั้งแล้วว่ากิจกรรมครั้งนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่เราจะแสดงออกถึงความรักด้วยการจูบกัน มันไม่ได้ผิดศีลธรรมตรงไหน”
ส่วน ดร.เสรี ก็แสดงความคิดเห็นว่า ถึงแม้การจูบอาจไม่ใช่วัฒนธรรมของบ้านเรา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสักหน่อย โดยก่อนจะตอบ ดร.เสรี หัวเราะอย่างอารมณ์ดี หลังทีมงาน Live กล่าวถึงฟีดแบ็กที่ค่อนไปทางลบ รวมถึงคำตำหนิ ให้ฟัง
“คือมันไม่ใช่วัฒนธรรมไทย แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย ก็มีตั้งหลายอย่างที่ไม่ใช่วัฒนธรรมไทย อย่างการจับมือเช็กแฮนด์ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายไง คือถ้ามันเป็นเรื่องเลวร้ายเราก็คงไม่ให้ทำ
แล้วรู้มั้ย ผู้ชายที่ไปเที่ยวซ่อง เที่ยวโสเภณีเนี่ย เขาจะมีเพศสัมพันธ์โดยไม่จูบปากกัน เพราะฉะนั้นการจูบมีความสัมพันธ์กว่าเรื่องเพศ คนเราไม่รักกันจริงๆ ไม่จูบปากกันหรอก เพราะฉะนั้น อย่าไปมองเรื่องจูบเป็นเรื่องเพศ มันเหนือกว่าเรื่องเพศเยอะเลย”
ทั้งสองท่านก็แสดงจุดยืนให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้วว่า การจูบเป็นเรื่องดีที่จะได้แสดงออกถึงความรักต่อกัน ส่วนเรื่องการแข่งขันจูบรัก มาราธอน ที่กำลังจะเกิดขึ้น ระเบียบรัตน์ก็บอกอย่างภูมิใจว่า นี่แหละเป็นการโปรโมตประเทศของเราได้อีกทางหนึ่ง
“กิจกรรมนี้มันก็เหมือนช่วยโปรโมตประเทศไทยนะ ตามต่างประเทศอื่นๆ ก็มี ซึ่งการแข่งขันก็มีหลักเกณฑ์ของเค้า ไม่ได้ว่าให้มาจูบกันมั่วๆ จูบกับใครก็ได้ เค้ามีกฎ กติกา เป็นแบบแผนสากล ว่าต้องมีทะเบียนสมรส ต้องอยู่ด้วยกันมาแล้วกี่ปี แล้วการจูบมันก็เป็นภาษากายที่จะแสดงออกถึงความรัก มันก็เป็นธรรมเนียมสากล
อีกอย่างถ้าคนสองคนไม่รักกันเค้าจะมาจูบกันหรอ พี่เลยว่ากิจกรรมครั้งนี้จะช่วยให้คู่รักผูกพันกันมากขึ้น สร้างความสัมพันธ์ที่ดี เพราะมันต้องใช้ความอดทนนะเป็นชั่วโมงๆ”
ด้าน ดร.เสรี เอง ก็ไม่แคร์คำคน เพราะไม่เห็นว่าการแข่งขันจูบครั้งนี้เป็นเรื่องน่าเสียหายตรงไหน โดยจบการสนทนาไว้ที่ว่า ก็ไม่ได้ยุให้คนไปจูบปากเรี่ยราดที่ไหนสักหน่อย “ถ้าเกิดเราเอาอวัยวะเพศมาโชว์ในที่สาธารณะ นี่แหละถึงเรียกว่าไม่ดี แต่นี่มันแค่ริมฝีปากอ่ะ เราก็เห็นอยู่ทุกวันไม่ใช่หรอ อีกอย่างเราก็ไม่ได้ไปทำเรี่ยราดที่ไหน เราทำอยู่ในพื้นที่จำกัดตรงนี้ เราก็คงไม่ได้ไปยุยงส่งเสริมให้คนไปจูบปากกันในที่สาธารณะหรอก”
จากคำพูดเชิญชวนจากปากของระเบียบรัตน์ที่ว่า “ปีนี้อยากจะเห็นหญิงรักหญิงมาด้วย จะได้มีครบ เพราะปีแรกชายหญิง ปีสองชายชาย” ที่แสดงออกว่าสนับสนุนเรื่องรักไม่จำกัดเพศ พร้อมอยากให้คู่รักร่วมเพศอย่าง หญิง-หญิง มาร่วมการแข่งขันจูบมาราธอนครั้งนี้ด้วย ก็ทำเอาผู้คนประหลาดใจอยู่ไม่น้อยว่า เดี๋ยวนี้ระเบียบรัตน์เปลี่ยนแนวมาเห็นชอบสนับสนุนเรื่องแบบนี้ไปแล้วหรือ
“พี่มองว่าไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ก็เป็นความรักที่บริสุทธิ์ทั้งนั้น โลกนี้ไม่ใช่ต้องรักกันได้แค่ชาย-หญิงเท่านั้น แล้วไปมองคู่ชาย-ชาย, คู่หญิง-หญิง ว่าเค้าเป็นพวกวิปริต อันนี้สังคมต้องทำความเข้าใจกันใหม่นะ ไม่ว่าจะเพศไหนก็มีสิทธิ์รักกันได้หมด อย่าไปจำกัด”
การแข่งขันครั้งนี้จะกลายเป็นการชี้โพรงให้กระรอกหรือไม่ แล้วไม่กลัวหรือว่าเยาวชนจะมองการจูบเป็นแค่เรื่องธรรมดา คำถามสุดท้ายที่ฝากถึงระเบียบรัตน์ ก่อนเธอจะตอบด้วยน้ำเสียงแหลมสูงเจือด้วยความขบขันว่า “โอ้ย!! ไม่ต้องเป็นเยาวชนหรอกค่ะ ผู้ใหญ่ทุกวันนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นแย่ๆ ก็มีอยู่เยอะแยะ”
‘จูบ’ อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
เรื่องที่น่าเป็นห่วงนอกไปจากการเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตก อย่างการจูบที่กลายเป็นความคุ้นชิน หลายคนมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา อาจกลายเป็นเรื่องที่ต้องทบทวนกันใหม่ เพราะว่าการประกบปากแลกน้ำลายอาจเป็นช่องทางแพร่กระจายเชื้อโรคต่างๆ จากอีกคนไปสู่อีกคนได้ นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ก็เคยออกโรงเตือนมาแล้วครั้งหนึ่งว่า น้ำลายของคนเราจะเจือปนไปด้วยเชื้อโรคอย่าง ไวรัสที่ทำให้เป็นหวัดก็สามารถติดต่อส่งผ่านกันด้วยการจูบได้
“เวลาจูบกันอาจจะมีโรคบางอย่าง เช่น สมมติว่าคนที่เราจูบด้วยมีโรคในช่องปาก หรือง่ายๆ เลย ถ้าเขาเป็นหวัดก็ติดต่อกันได้ การเป็นหวัดเจ็บคอ ติดต่อกันได้แน่ๆ แต่ถ้าเป็นโรคอื่นๆ อย่างที่หลายคนถาม เช่น เอดส์ นี่จูบกันติดต่อได้ไหม ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแผลในปาก ต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง”
อีกหนึ่งโรคที่มาจากการแลกน้ำลาย เพียงแค่ได้ยินชื่อก็น่าหวาดผวาแล้วอย่าง โรคจูบมรณะ หรือ Kissing disease ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ “อินเฟ็กเชียส โมโนนิวคลีโอซิส (Infectious mononucleosis)” โดยจะทำให้มีไข้ ปวดเมื่อย ปวดหัว เจ็บคอ ผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต ไปจนถึงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และในอนาคตก็อาจจะกลายพันธุ์เป็นวายร้ายอย่างมะเร็งในลำคอได้
ถือเป็นเรื่องที่อันตรายพอควร เมื่อการจูบแบบแลกน้ำลายเพียงครั้งเดียวอาจทำให้ติดโรคอย่างง่ายดายและไม่ทันรู้ตัว ส่วนโรคอื่นๆ ที่อาจเล็ดลอดมาอยู่ด้วยหลังแลกน้ำลายก็ เช่น โรคปอดบวม โรคไวรัสตับอักเสบ หรือแม้กระทั่งโรคเริมที่ปาก ซึ่งนายแพทย์สมศักดิ์ก็ย้ำว่า “ก่อนจะจูบกับใคร อาจจะต้องสำรวจตัวเองนิดนึงว่า เรามีโรคอะไรไหม เป็นหวัดรึเปล่า เจ็บคอรึเปล่า ก็ให้ระวังเรื่องพวกนี้ด้วยครับ” ดังนั้น ก่อนจะจูบปากแลกน้ำลายกับใครก็พึงระวังไว้ให้ดี อย่าได้ริไปจูบกับใครง่ายๆ เชียวล่ะ
** ล้อมกรอบ **
การแข่งขันจูบรัก มาราธอนครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 โดยพิพิธภัณฑ์ริบลีส์ บีลีฟอิทออร์นอท พัทยา อันมีวัตุประสงค์เพื่อเป็นการสนับสนุนให้คู่รักได้มีกิจกรรมดีๆ ร่วมกันในวันพิเศษ และเสริมสร้างความรักความสัมพันธ์ในสถาบันครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งในปีนี้คาดหวังว่าจะทุบสถิติเดิมปีที่แล้ว หลังคู่ชายรักชายจูบกันแบบยาวนานต่อเนื่องถึง 50 ชั่วโมง 25 นาที 1 วินาที
กฎของการแข่งขันนั้น สงวนสิทธิ์เฉพาะผู้สมัครที่เป็นสามี-ภรรยา, คู่รักชาย-ชาย และคู่รักหญิง-หญิง ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือมีหลักฐานยืนยันการใช้ชีวิตร่วมกันเป็นระยะเวลา 1 ปีขึ้นไปเท่านั้น และต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป โดยกฎและกติกาที่ใช้ในการแข่งขันครั้งนี้ เป็นกติกากลางที่ทางกินเนส เวิลด์ เรคคอร์ด เป็นผู้กำหนด ซึ่งระบุว่าริมฝีปากของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคู่จะต้องสัมผัสกันตลอดเวลา
ส่วนการแข่งขันในปี 2556 นี้จะเริ่มตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันที่ 12 ก.พ.จนถึงเวลา 14.00 น. ของวันที่ 14 ก.พ. ที่พิพิธภัณฑ์ริบลีส์ บีลีฟอิทออร์นอท พัทยา ชั้น 2 ศูนย์การค้ารอยัล การ์เด้น พลาซ่า พัทยา
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live