xs
xsm
sm
md
lg

กล้าแบนก็กล้าแฉ!! ดร.เสรีชำแหละ “เหนือเมฆ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตรงจุด ชัดเจน โดนใจ!! เรียกได้ว่าทุกถ้อยคำที่ออกมาจากปาก รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา ดุเด็ดเผ็ดมัน เกาถูกที่คันเสียจนต้องมอบพื้นที่ให้ท่านได้ปล่อยของกันแบบเต็มๆ อีกที เพื่อให้คนที่พลาดงานเสวนา “ถก!! เหนือเมฆ 2: บทบาทและความรับผิดชอบของสื่อต่อสังคม” ไม่พลาดความจริงอีกมุมหนึ่งในประเด็นร้อนๆ ตอนนี้
ซึ่งเป็นมุมลับๆ ที่รู้ๆ กันอยู่ แต่ไม่มีใครกล้าออกมาพูด นอกจากอาจารย์ที่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน ออกมาแฉแหลก จนคนที่ถูกกล่าวถึงต้องสะอึกแล้วสะอึกอีก และอาจทำให้มือมืดผู้บงการตัดจบละครในครั้งนี้ อยากจะลุกขึ้นมาแบนทุกบรรทัดต่อจากนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป!!



สิ่งที่สังคมอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้คือ ใครเป็นคนแบน?
คำถามที่ถามมาเนี่ยนะ จนกระทั่งพวกเราทั้งหมดในประเทศไทยตายไป ก็ไม่มีวันจะได้คำตอบหรอก (ผู้เข้าร่วมงานเสวนาปรบมือกันเกรียวกราว) การแบนเหนือเมฆ 2 มันก็เหมือนการแอบลักลอบได้เสียกันนั่นแหละ (เสียงหัวเราะกระหึ่ม) คือถ้าเราไม่ได้ไปเจาะรูดูเขาเนี่ย เราไม่มีวันรู้เลย ยังไงเขาก็ไม่มีวันเล่าในสิ่งที่เขาแอบไปได้เสียกันให้เราฟังหรอก เขาต้องปิดเรื่องนี้ให้เป็นความลับต่อไป
แล้วเราเองก็ไม่มีทางจะได้รู้ว่าเขาโทร.หากันหรือเปล่า หรือไปได้เสียกันอีท่าไหน และต่อให้เค้นคอถามยังไงก็ไม่ได้คำตอบ และในเมื่อไม่มีใครให้คำตอบเราได้ เราก็ต้องลองใช้สมองของเราคิดเอาเอง คิดจากตรรกะของเหตุและผลที่เห็นๆ กันอยู่นี่แหละ
 

เอาอย่างนี้แล้วกัน ที่อาจารย์เสรีมาพูดตรงนี้ บอกได้เลยว่ารู้อะไรมากกว่าที่พูด แต่ให้พูดทั้งหมดไม่ได้ เพราะในแง่ของกฎหมาย ถ้าเกิดเขาฟ้องร้องว่าเราหมิ่นประมาท เราโดนแน่นอน เพราะไม่มีใครจะเอาข้อเท็จจริงมาพูดยืนยันหรือเป็นพยานให้กับเราได้ ข้อเท็จจริงบางเรื่อง บางคนเจอ บางคนไม่เจอ นั่นเพราะมีบางคนไปรู้ความจริงในมุมลับๆ และไม่สามารถออกมาเปิดเผยได้
เพราะเป็นคำพูดจาที่พูดกันในที่ลับ ตอนไม่ได้ออกแถลงข่าวให้สัมภาษณ์ แต่เผอิญเรื่องที่เรารู้กันมา ดันมีคนชังฟังอยู่ด้วย บางที คุยกันในภัตตาคารแล้วไม่ไล่บ๋อยออก บ๋อยก็เอาไปนินทาต่อ บางอย่าง เราได้แค่ตั้งสมมติฐาน แต่บางอย่าง เราได้ความจริงเชิงประจักษ์ ซึ่งมันเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ แต่พูดออกมาโต้งๆ ไม่ได้เท่านั้นเอง
  

แล้วความจริงที่อาจารย์เห็นคืออะไร?
ช่อง 3 นำเสนอละครในลักษณะละครสต็อก นั่นหมายความว่าไม่ได้ถ่ายไป-ออกอากาศไป ก็แปลว่า ประการแรก การตรวจบทก่อนถ่ายทำก็ต้องมีแล้ว ทำไมยามนั้นจึงไม่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม, ประการที่สอง เมื่อถ่ายทำเสร็จแล้วก็ต้องได้ดู แล้วทำไมยังตัดสินใจนำเสนออีก
ประการที่สาม ถ้าช่อง 3 จะทำละครเรื่องอะไร จะมีการทำนิตยสารขึ้นมาเล่มหนึ่งเกี่ยวกับละครเรื่องนั้นออกมา ซึ่งจะทำหนังสือเล่มนั้นได้ ก็ต้องเอาคีย์ซีนหรือฉากสำคัญขึ้นมาเลือกว่าอยากเสนอภาพไหนบ้าง-ประเด็นใดบ้าง แล้วคนที่จะทำนิตยสารเล่มนั้นได้ ถ้าไม่รู้รายละเอียดของละคร ทำไม่ได้ จะต้องมีความกระจ่างถ่องแท้ในบทละครมากๆ แล้วทำไมยังไม่เห็นว่าไม่เหมาะสม
  

ประการที่สี่ ละครช่อง 3 มีทั้งละครเย็นและละครหลังข่าว ซึ่งละครหลังข่าวขายโฆษณาได้ดีกว่า ดังนั้น โดยหลักการ ทางช่อง 3 น่าจะเลือกละครที่ดีกว่าเอาไว้ในตอนกลางคืน จะได้ขายโฆษณาได้สตางค์เยอะๆ นาทีละตั้ง 5 แสน แต่การที่เหนือเมฆ 2 ถูกเลือกให้ไปฉายในตอนกลางคืน แสดงว่าผู้บริหารช่อง 3 เห็นแล้วว่าละครเรื่องนี้ดีกว่าละครอีกหลายๆ เรื่อง
  

และในบรรดาละครหลังข่าวเองก็ยังแบ่งออกเป็น สล็อตจันทร์-อังคาร, พุธ-พฤหัสฯ และ ศุกร์-อาทิตย์ ซึ่งละครในสล็อต ศุกร์-อาทิตย์ จะได้เปรียบ เพราะเป็นสล็อต 3 คืน แล้วการที่เหนือเมฆ 2 ได้ฉายในสล็อต 3 คืน แสดงว่าผู้บริหารพิจารณาเห็นแล้วว่าน่าจะมีโอกาสทำเงินได้มากกว่า จึงให้อยู่ในสล็อต 3 คืน
  

ทั้งหมดนี้คือตรรกะที่ทำให้เรามองเห็นว่า มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยว่าละครเรื่องนี้จะมีเนื้อหาไม่เหมาะสม ทั้งการได้ลงสล็อตกลางคืน 3 คืน แล้วผ่านการพิจารณามาแล้วถึง 3 ช่วง คือช่วงอ่านบท, ช่วงถ่ายทำ มาจนถึงช่วงทำนิตยสารละคร
ฉะนั้น ถ้ามันมีจุดที่ไม่ดีจริงๆ ก็ต้องเห็นแล้ว มันไม่ใช่การไปหารูมอดรูมดนะคะ จะได้หายาก คือถ้ามันมีจุดไหนไม่เหมาะสม เขาต้องเห็นแล้ว แต่นี่ ทำไมจู่ๆ ฉายไปตั้ง 9 ตอน เกิดมีวิญญาณบรรพชนเข้าสิงเหรอ? ดูมาแล้วตั้งไม่รู้กี่ตอน เกิดลางสังหรณ์อันใดว่า อุ๊ย! ไม่เหมาะสม
  

แต่ช่อง 3 ก็ออกมายอมรับแล้วว่าเซ็นเซอร์ตัวเอง ไม่มีใครสั่งแบน
ต้องถามว่าทำไมเขาต้องออกมาชี้แจง ก็เพราะกระแสมันแรงมาก ถ้าตัดต่อให้จบภายในคืนหนึ่งหรือสามคืน มันก็คงไม่มีปฏิกิริยาที่แรงขนาดนี้ แต่นี่แบนโดยไม่ปล่อยให้มีตอนจบเลย จึงต้องบอกว่าเป็นการกระทำที่ “โง่” (เน้นเสียง)
  

ย้อนกลับไปตั้งแต่เช้าวันศุกร์ที่ 4 ม.ค. เปิดเฟซบุ๊ก ได้รู้ข้อมูลว่าจะมีการแบนละครเรื่องนี้ ก็ไม่รู้ว่าข่าวมันเล็ดลอดออกมาได้ยังไง แต่บอกว่าละครมีอยู่ 3 ทางเลือก ทางเลือกที่หนึ่งคือ ตัดต่อใหม่ให้จบคืนวันศุกร์ที่ 4, ทางเลือกที่สอง ตัดต่อใหม่ให้จบในคืนวันอาทิตย์ที่ 6 ตามสล็อตศุกร์-อาทิตย์ และทางเลือกที่สาม แบนไปเลย
จากนั้นประมาณ 5 โมงเย็น ข่าวก็มาทันทีว่า เอ้อ! เย็นนี้ไม่มีแล้วนะ ก็แปลว่าเขาเลือกทางเลือกที่สาม เขาแบนทันที ทำให้กระแสในโซเชียลมีเดียแรงมาก แรงจนกระทั่งรัฐบาลซึ่งถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการแบนรู้สึกสั่นสะเทือน ทำให้ต้องออกมาบอกช่อง 3 ให้ชี้แจง
  

คุณวราเทพ (รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) บอกให้ช่อง 3 ออกมาชี้แจงสิ เพราะเป็นเรื่องของสถานี รัฐบาลไม่เกี่ยวอยู่แล้ว แล้วช่อง 3 ก็ออกมาชี้แจงจริงๆ พี่บริสุทธิ์ (บูรณะสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ไทยทีวีสีช่อง 3) ออกมาอ้างว่างดฉายเพราะคำว่า “ไม่เหมาะสม” ซึ่งคำนี้ เป็นสรณะที่นักการเมืองใช้เป็นข้ออ้างมาตลอด ย้ายคนนั้นมา-ย้ายคนนี้ไป เพราะไม่เหมาะสม แต่ไม่เคยอธิบายเลยว่ามันไม่เหมาะสมยังไง ไม่เคยนิยามเลยว่ามันหมายถึงอะไร
  

คนส่วนใหญ่จะพุ่งไปที่คุณวราเทพก่อน สงสัยว่าเป็นมือมืดสั่งแบน
ส่วนตัวคิดว่าเราอาจจะถูกสับขาหลอกก็ได้นะที่เราไปจ้องที่คุณวราเทพ ซึ่งเป็นคนคุมช่อง 9 ซึ่งเป็นเจ้าของสัมปทานของช่อง 3 เพราะจริงๆ ตัวละครที่แท้จริงอาจจะไม่ใช่เขาก็ได้ คิดดูสิ ถ้านักการเมืองอยากทำอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้คนที่มีอำนาจโดยตรงเลย
  

อันนี้สมมตินะ สมมติว่าถ้าเกิดเป็นรัฐมนตรีกระทรวงอื่นหรือว่าเป็นแกนนำคนอื่น แค่ปรารภออกไป แล้วคนนั้นมีตำแหน่งเป็นคนควบคุมช่อง 9 หรือดูสัมปทานอยู่ ถามว่านักธุรกิจที่เขาไม่อยากมีปัญหาเนี่ย เขาจะฟังคำปรารภนั้นไหม เขาต้องฟัง หรือแม้แต่คำปรารภของคนไม่ได้มีตำแหน่ง เป็นคนอยู่นอกรัฐบาล เพียงแค่เป็นแกนนำสายนั้นพูดขึ้นมา เขาก็ต้องกลัวแล้ว
แต่จริงๆ แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เราจะมานั่งถามว่าใครเป็นคนทำ เราควรจะคิดให้ฉลาดขึ้นมากกว่า ลองนั่งคิดในกระบวนการดูซิว่าอะไรมันเกิดขึ้นบ้าง
  

แล้วจะคิดยังไงให้ฉลาดขึ้น?
ทุกอย่างเป็นไปตามเกม และรัฐบาลนี้ เขาก็เก่งมากเรื่องการเล่นเกมเอ็กซ์-โอ เขาเป็นคนขีดเอ็กซ์ให้คนขีดโอ ยังไงเขาก็ชนะ เพราะเขารู้ว่าต้องขีดเอ็กซ์แบบไหน พอขีดเอ็กซ์ไว้ ช่อง 3 ก็ขานรับโอ ออกมาพูดว่าไม่เหมาะสมเพราะขัดมาตราที่ 37 เลยไม่อนุญาตให้ฉาย เมื่อพูดอย่างนี้แล้ว ถ้ามีการเรียกร้องให้นำกลับมาฉายใหม่ ถามหน่อยเถอะว่าเขาจะเอามาฉายใหม่ไหม ถ้าฉายใหม่ก็เท่ากับถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเองสิ พูดไว้ถึงขนาดที่ว่านอกจากไม่ให้ฉายแล้ว ยังไม่ลงยูทูป ไม่ทำซีดีขายด้วย ประกาศชัดเจนขนาดนี้ ถ้าจะกลืนน้ำลายตัวเองกลับลงไปก็คงทำได้ยากมาก
  

พอรัฐบาลเห็นว่าช่อง 3 กลับคำไม่ได้แล้ว เขาก็เดินหมากของเขาต่อ บอกให้ช่อง 3 ฉายสิ เราไม่ได้ว่าอะไรนะ ตามสบายเลย แม้แต่คุณโอ๊คอ๊าคก็ยังบอกว่าฉายสิๆ เพราะเขารู้เกมแล้วว่า เมื่อช่อง 3 ได้ถ่มน้ำลายนั้นออกไปแล้ว ไม่มีวันเลียกลับคืนแน่นอน ต่อให้ยุให้ตายยังไง ช่อง 3 ก็คงไม่กล้าเอามา และช่อง 3 ยังประกาศให้เรารู้ด้วยว่า ไม่ต้องไปเรียกร้องจากฉัตรชัย ไม่ต้องไปเรียกร้องจากสินจัย เพราะเขาเป็นคนจ่ายเงินให้ผลิต ลิขสิทธิ์จึงเป็นของช่อง 3 เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของฉัตรชัยที่จะตัดสินใจ แต่เป็นหน้าที่ของช่อง 3 ว่าจะเผยแพร่หรือไม่
  

เพราะฉะนั้น รัฐบาลก็ลอยตัวเลย ไม่เคยห้าม บอกแล้ว ฉายสิ... ฉาย (ทำน้ำเสียงอ้อนวอน) เขาไม่เคยห้ามไม่ให้ฉายจริงๆ นั่นแหละ แต่เขายุให้ฉายหลังจากที่ช่อง 3 ออกมาประกาศชัดเจนว่าจะไม่ฉายไม่ว่ารูปแบบใดทั้งสิ้น เพราะได้บอกแล้วว่ามันขัดกับมาตราที่ 37 เขาย่อมไม่นำเสนอ ไม่ว่ารูปแบบใด
 

ตกลงมันขัดกับมาตรา 37 จริงหรือเปล่า?
ไหนดูซิที่บอกว่าขัดมาตรา 37 มันขัดตรงไหน? มันทำลายความมั่นคงของรัฐหรือเปล่า? ดูแล้วรัฐจะล่มจมเพราะละครเรื่องนี้หรือเปล่านะ เอ... รัฐคงไม่ล่มจมหรอก แต่ถ้าเป็นรัฐบาลน่ะ ไม่แน่ (ยิ้มกริ่ม) เพราะรัฐกับรัฐบาลคนละเรื่องกัน เราเองก็สงสัยว่ามันขัดมาตราตรงไหน? มันไปทำลายความมั่นคงตรงไหน? มันทำให้รัฐล่มจมตรงไหน? มันเป็นการล้มล้างการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตรงไหน? มันทำลายศีลธรรมอันดีงามตรงไหน? ดูมา 9 ตอน ไม่เห็นมีเลย มีแต่ชี้ให้เห็นว่าอีคนเลวคือใคร!!
เราไม่เคยเห็นเขายุให้เราทำเลวเลย มีแต่บอกว่า เฮ้ย! เงินเนี่ย ถ้าจะใช้ ต้องใช้ให้คุ้มนะ ต้องเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มาก แม้ว่าจะเห็นด้วยกับโครงการใด แต่ในยามนี้ ปากท้องประชาชนสำคัญกว่า เพราะฉะนั้น โครงการบางอันเอาไว้ก่อนดีไหม หรือบทที่พูดว่า มีอำนาจแล้วไม่ใช้ ไม่เรียกว่าโง่แล้วเรียกว่าอะไร คนตอบก็ตอบกลับมาว่า เรียกคนดีไง (ทำหน้านิ่งๆ ล้อเลียน) มันแทงใจเยอะมากๆ ไหนจะคำพูดที่ว่า ทำงานการเมืองต้องมีท่อน้ำเลี้ยง อ๋อ... ท่อน้ำเลี้ยงของ ดร.เมฆา คือคะแนนความนิยมจากประชาชนไง
แล้วก็พูดเรื่องตัดถนน บอกว่าตัด 8 เลนในวนอุทยานแห่งชาติ รบกวนสัตว์ ทำลายต้นไม้ ถ้าสมองไม่ฝ่อกว่าสัตว์เนี่ย คิดไม่ได้หรอก (น้ำเสียงกระแทกกระทั้น) มันแรงนะ หรือถ้าไม่รู้จักคุณธรรม-จริยธรรม ไม่รู้จักความเป็นคน ก็ไม่ควรเล่นการเมืองเพราะจะทำให้การสภาสกปรก!!... คือทนไม่ได้ใช่ไหมกับบทพูดเหล่านี้
ลูกไม่ได้อธิษฐานขออะไรเลย นอกจากขอให้ความดีปกปักรักษาคนที่เป็นคนดี ขอให้ความดีนั้นปกปักรักษาคนที่ทำประโยชน์ต่อประเทศชาติด้วยใจที่ซื่อสัตย์เสรี ขอให้ความชั่วนั้น พ่ายแพ้ต่อบารมีของความดีที่ปกปักรักษาประเทศไทยในยามนี้ เพราะไม่ว่าจะนานเพียงใด ความดีต้องชนะความชั่ว... ทนไม่ได้ใช่ไหม? ที่ความดีจะชนะความชั่ว ไม่ว่าวันนี้หรือวันใดก็ตาม ทนไม่ได้ใช่ไหม? ที่เราอธิษฐานบารมีแห่งความดีปกปักรักษาประเทศไทย เพราะฉะนั้น ตรงนี้แหละที่ให้เราใช้สมองคิดเอา ว่าสรุปแล้วใครเกี่ยว-ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้

เหมือนกับเวลามีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนั่นแหละ สื่อมวลชนชอบไปถามเขาว่า ทักษิณเกี่ยวไหม? ก็ไม่รู้จะไปถามทำไม เขาก็ต้องบอกว่าไม่เกี่ยว แต่ให้เราคิดเอง เราก็คิดว่าเกี่ยว (ทำหน้าปลงๆ) ก็ไม่ต้องไปถามหรอก จะไปถามเปิดโอกาสให้เขาโกหกตอแหลเพื่ออะไร เก็บน้ำลายไว้ละลายฮอลล์ในปากจะดีกว่า
 

เหมือนฟันธงไปแล้วว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอำนาจมืด?
ถ้าเราฉลาดเพียงพอ เพราะเรากินข้าวไม่ได้กินหญ้า บางคนกินข้าวกล้องด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าใช้ตรรกะและสมองพิจารณาย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ที่เหนือเมฆ 2 ถูกแบน สรุปเอาด้วยสมองได้ว่า มีผู้มีอำนาจเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน ส่วนจะเป็นใครก็แล้วแต่
และช่อง 3 เองก็น้ำท่วมปาก เพราะอยู่ในฐานะนักธุรกิจที่ไม่อยากจะมีปัญหากับนักการเมือง ก็เลยต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ ต้องออกมาเป็นแพะ เป็นหนังหน้าไฟ ให้โดนด่าโดนว่า เพราะจะทำยังไงได้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้
 
การเป็นธุรกิจสัมปทานนั้นไม่ต่างจากทาส เพราะการทำอะไรก็ตาม ไม่มีวันที่เราจะสะอาดบริสุทธิ์จนไร้แผล ถ้าหากเขาอยากให้เราหลุดจากสัมปทาน เอาแค่จุดเล็กๆ มาอ้างก็ได้ หาเรื่องมายกเลิกสัมปทานให้มันเป็นประเด็นในการไต่สวน ถามว่าหายากไหม ถ้าคนมันตั้งใจจะหา ยังไงก็หาเจอ ดังนั้น
อีกมุมหนึ่ง ช่อง 3 ก็น่าเห็นใจ เพราะเขาต้องเลือกระหว่างจะยอมถูกรุมประณามโดยพวกหน้ากากขาว-คนในโซเชียลมีเดีย ที่ออกมาประท้วงหน้าตึกมาลีนนท์ตอนนี้ หรือจะเลือกให้ธุรกิจถูกสั่นคลอน และเขาก็เลยเลือกถูกคนด่า ดีกว่าธุรกิจต้องสั่นคลอน

พูดเหมือนเห็นใจ เข้าข้างช่อง 3
การพิจารณาช่อง 3 อยากให้มอง 2 มุม เพราะสื่อมวลชนเป็นองค์กรทางธุรกิจและองค์กรทางสังคม ถ้าในมุมของธุรกิจแล้ว เราตอบได้เลยว่าเราเข้าใจ แต่เราไม่ได้ชอบใจนะ คือถ้าใช้สมองคิดเนี่ย เราเข้าใจ แต่ถ้าใช้ใจวัด เราไม่ชอบใจ ส่วนถ้าพิจารณาในเชิงสังคม ยังไงก็รับไม่ได้ เพราะสื่อมวลชนไม่ได้แค่มีหน้าที่ทำเงินอย่างเดียว แต่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ สื่อมวลชนทุกรายคือครูของสังคม เพราะสิ่งที่สื่อทำนั้น มีคนอ่าน มีคนดู มีคนฟัง มีคนเห็นและคิดตาม มีผลต่อความคิดของคนทั้งนั้น ดังนั้น เราต้องมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นครู 
 
ฉะนั้น สิ่งที่ช่อง 3 ทำเพื่อปกป้องธุรกิจของตัวเองอาจจะเป็นการกระทำที่ลืมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไป เพราะจริงๆ แล้วถ้าช่อง 3 ลองมองให้ดี การสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจที่ช่อง 3 ถูกกระทำ มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะถูกกระทบอยู่คนเดียว เพราะถ้าหากช่อง 3 โดนกลั่นแกล้ง ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของคลื่นตัวจริงคงไม่ทนอยู่นิ่งเฉยหรอก ช่อง 3 อย่าคิดว่าตัวเองเดียวดายสิ ถ้าคิดจะรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ในฐานะสถาบันทางสังคมแล้ว แต่บังเอิญว่าช่อง 3 อาจจะคิดว่าต้องต่อสู้เพียงลำพังในกรณีจะโดนผลกระทบ ก็เลยเลือกวิธีนี้ แต่เชื่อเถอะว่าถ้าช่อง 3 แสดงตนว่าเป็นสื่อที่มีศักดิ์ศรีแล้วโดนอะไรขึ้นมา พวกเราก็ไม่ปล่อยนิ่งเฉยอยู่แล้ว จริงไหม
 

มีคนมองว่าทำไมต้องเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะแค่ละครโดนแบน ที่ผ่านมาก็มีทั้งหนังสือและหนังถูกแบน ไม่เห็นเป็นประเด็น
อย่างในเฟซบุ๊ก มีคนเข้ามาบ่นว่าคุณมานั่งพูดเรื่องเหนือเมฆ ติดละครมากเหรอ มานั่งทวงละคร ทำไมไม่คิดไปทวงเขาพระวิหารบ้างล่ะ แต่คนตอบตอบเก่งมากนะคะ บอกว่าอย่าคิดตื้น ที่ทำอยู่ ไม่ใช่แค่ทวงละครคืน ละครไม่ได้ดูไม่เป็นไร แต่สิ่งที่ทวงคือเสรีภาพซึ่งอาจจะกลายเป็นบทเรียนครั้งต่อๆ ไป นี่คือการที่เราคิดไปไกลกว่านั้น

ส่วนเรื่องที่หนังสือเล่มหนึ่งถูกแบน อีกเล่มไม่ถูกแบน ละครเรื่องนี้ถูกแบน เราสนใจ แต่หนังอีกเรื่องถูกแบน เราไม่สนใจ ก็เพราะเราฉลาดเพียงพอที่จะดูบริบท มีคนชอบหลงประเด็น หาว่าเลือกปฏิบัติ-สองมาตรฐาน ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่สองมาตรฐาน แต่มันคือสองกรณี ในเมื่อมันต่างกรณีจะให้ตัดสินเหมือนกันได้ยังไง เช่นเดียวกัน ละครเรื่องนี้ เราดูแล้วคิดว่าดี มันถูกแบน เราจึงเดือดร้อน แต่กับหนังบางเรื่อง หนังที่ด่าในหลวงถูกแบน เราไม่สนใจ แบนไปเลย เราชอบใจมากที่แบน

และหนังกับทีวีก็เป็นคนละกรณี-คนละบริบทกัน เวลาจะดูหนัง คนจะต้อง Willing to pay คือต้องจ่ายแล้วไปดู ฝ่ายเซ็นเซอร์หนังจึงปล่อยได้มากกว่าละคร เพราะหนังต้องจ่ายตังค์และเสียเวลาไปดู แต่ทีวีดูฟรีอยู่ที่บ้านจึงต้องเข้มงวดกว่า จำนวนคนไปดูหนัง บางรอบมีแค่ร้อยคนเท่านั้นเอง แต่ละคร คนที่นั่งดูอยู่เป็นล้าน เพราะฉะนั้น ผลกระทบที่มีต่อสังคมมันสูงกว่ามาก
และใครก็ตามที่ทำอะไรแล้วไม่เคยคิดว่า ผลกระทบจากการกระทำของตัวเองจะเป็นเช่นไรนั้น เป็นคนที่ไร้คุณธรรม เห็นแก่ตัว เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางอย่างเดียว คนเหล่านั้นไร้จิตสาธารณะ อยู่ที่ไหนก็ล่มจม
 

สรุปแล้วประชาชนทั่วไป ควรรับมือยังไงกับประเด็นเหนือเมฆดี?
เราทุกคนมีคำว่า “บทบาท” และ “หน้าที่” เราก็ทำตามบทบาทและหน้าที่ของเรา คือถ้าสปอนเซอร์คิดว่าช่อง 3 ทำไม่ถูกต้องก็ถอนโฆษณาซะ ถ้าเราเองคิดว่าช่อง 3 ทำไม่ถูกต้อง ก็ไม่ต้องไปดูช่อง 3 และต้องไม่ซื้อสินค้าที่สนับสนุนช่อง 3
ถ้าเป็นอาจารย์ทางด้านสื่อสารมวลชน ก็อาจจะต้องมีการจัดอภิปรายอะไรแบบนี้ เพื่อให้ความคิดแก่เด็กๆ แล้วถ้าเกิดเป็นสมาคมสื่อ อาจจะต้องลุกขึ้นมาทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อกระตุ้นเรื่องจริยธรรมในกรณีนี้ ทุกคนต้องถามตัวเอง ถามว่าด้วยบทบาทและหน้าที่ในตอนนี้ เราทำอะไรได้บ้าง

อย่างเช่น อาจารย์เสรีเป็นสื่อด้วย เป็นครูทางด้านสื่อสารมวลชนด้วย ป่านนี้ก็ยังเห่าไม่หยุด เพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องเห่าต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าประชาชนจะเข้าใจในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ แล้วก็ไม่ได้เห่าอย่างเดียว แต่เสนอแนะด้วย ถ้าใครไปอ่านในเฟซบุ๊กจะเห็นว่า เราขอให้ทุกคนได้แสดงให้ช่อง 3 เห็น ให้เขาได้รู้สึกในสิ่งที่ทำ
 

แค่เราไม่ดูช่อง 3 คนเดียว จะไปทำอะไรได้ หลายคนอาจจะคิดอย่างนี้
เวลาเราคิดอะไรพวกนี้ ขอร้องอย่าดูถูกตัวเอง บางคนชอบดูถูกตัวเองว่าแค่ฉันไม่ดูช่อง 3 แค่คนเดียว ประเทศมันจะไปเปลี่ยนแปลงได้ยังไง มีคนดูเขาตั้งเยอะแยะ อย่าคิดอย่างนั้นนะ เพราะกำลังของคนหนึ่งคนก็เหมือนแรงเทียน 1 เล่ม อย่ากลัวกับการเป็นเทียนเล่มเดียวว่ามันจะไม่สว่าง เพราะถ้าเรายอมจุดเผาตัวเองเพื่อให้เกิดแสงสว่าง และถ้าเราทุกคนจุดพร้อมกันเป็นหมื่นเป็นแสน ความสว่างจะเหนือกว่าสปอตไลต์ใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ทุกวันนี้ที่เทียนมันจุดไม่ได้ เพราะพวกเราชอบคิดว่าเทียนดวงเดียวไม่มีผลอะไร แล้วถ้าเราคิดกันอย่างนั้นทุกคน ก็จะไม่มีใครจุดเทียนสักคน โลกก็จะมืดอยู่อย่างนี้แหละ เพราะเราคิดว่าเราเป็นเทียนเล่มเดียวที่ไม่จำเป็นต้องจุด และถ้าเราเองไม่ยอมเป็นเทียนที่เผาตัวเอง เราจะให้แสงสว่างแก่สังคมได้อย่างไร

มีคำแนะนำสำหรับช่อง 3 บ้างไหม?
ถ้าสมมติว่าช่อง 3 มองว่าปรากฏการณ์ครั้งนี้คือวิกฤต มันมีทฤษฎีอยู่ ถ้าปฏิบัติตามได้ ปัญหาก็จะหมดสิ้น นั่นก็คือ ทฤษฎี “5 A”
ข้อแรก “Acknowledge” ช่อง 3 ต้องรับรู้ว่าปัญหามันเกิดขึ้นแล้วนะ เขาไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติต่อไปได้อีกแล้ว มีคนต่อต้านเขา ไม่พอใจเขา, ข้อสอง เขาต้อง “Admit” คือยอมรับว่าตัวเองทำอะไรพลาดไป, ข้อสาม ช่อง 3 ต้อง “Apologise” ต้องขอโทษประชาชน
ข้อสี่ เขาต้อง “Amend” แก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูกต้อง และสุดท้าย ช่อง 3 จะต้อง “Aspire” มีความทะเยอทะยาน คาดหวังว่าต่อไปในอนาคตจะทำอะไรให้มันดีกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อไม่ให้วิกฤตนั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ถ้าช่อง 3 ทำตรงนี้ได้ ทุกอย่างจะสวยงามมาก และจริงๆ แล้วไม่ว่าใครเจอวิกฤต ก็เอาตัว A ทั้งหมดนี้ไปใช้ แล้วชีวิตจะไม่เผชิญกับความทุกข์ยากเลย
 

หลายคนหมดหวังกับเรื่องนี้ไปแล้ว ขอตัวไปนั่งสวดมนต์ที่วัดสุทัศน์ฯ ภาวนาให้ประเทศเหมือนในละครแทนดีกว่า
(ยิ้ม) ถ้าคุณมั่นใจว่าอะไรเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจต่อคุณ ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่จริง ถ้าทำแล้วสบายใจ ทำไปเถอะค่ะ สมัยอาจารย์เสรีเรียนหนังสือ จะมีปากกาด้ามหนึ่งที่หายแล้วร้องไห้เลย ต้องด้ามนี้เท่านั้นที่มั่นใจว่าจะตอบได้ มันเป็นกำลังใจ แล้วถ้าเกิดเราไปนั่งสวดมนต์ที่วัดสุทัศน์ฯ แล้วคิดว่าทำให้ประเทศชาติดีขึ้น ก็ทำเถอะ
เพราะว่ามันมีประวัติศาสตร์อยู่ว่า รัชกาลที่ 1 ไม่สวมฉลองพระบาท แล้วไปชะลอพระถึงที่วัดสุทัศน์ฯ และคำที่สินจัยสวดขอในละคร ก็คือคำที่ท่านเคยสวด เป็นพระราชดำรัสเมื่อครั้งที่ทรงสถาปนากรุงเทพฯ เพราะฉะนั้น จึงมีคนหลายคนเดือดร้อน เกรงว่าคำอธิษฐานตั้งแต่ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีจะเป็นจริง ในบทที่ว่า “จะนานสักเพียงใด ความดีก็จะชนะความชั่ว”

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LITE

คลิป ดร.เสรี แฉมือมืด แบน "เหนือเมฆ"


คลิป ประชด... เหนือเมฆ ผิดมาตรา 37 ตรงไหน?






โฉมหน้าผู้ร่วมเสวนาทั้งหมด

ผู้คนล้นหลาม มีเพียงเก้าอี้ว่างของช่อง 3 เท่านั้น
กลุ่มรณรงค์แบนช่อง3 กรณีถอดละครเหนือเมฆ 2 สนองคำสั่งนักโกงเมือง





กำลังโหลดความคิดเห็น