จิตตนาถ ลิ้มทองกุล
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คงไม่มีประเด็นอะไรในเมืองไทยที่จะร้อนแรงไปกว่า การวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่ช่อง 3 ได้ถอดละครเหนือเมฆ ภาค 2 จากผังอย่างกะทันหันโดยอ้างว่าเนื้อหาไม่เหมาะสม
โดยเฉพาะในโซเชียลเน็ตเวิร์ก มีการวิเคราะห์เนื้อหาของละครเรื่องนี้ที่ไปกระตุกต่อมร้อนตัวของผู้มีอำนาจในบ้านเราอย่างละเอียดเป็นช็อตๆ ชนิดที่ถ้าไม่เปิดดูว่าเป็นละครทีวีแทบจะนึกว่าเอาเรื่องจริงที่แสนอุบาทว์ของการเมืองไทยยามนี้มาทำเป็นฉบับละคร
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว สามารถนำมาวิเคราะห์สังคมไทยได้หลายมิติด้วยกัน ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี และในที่สุด เราก็จะได้ข้อสรุปที่น่าเจ็บปวดยิ่งนักที่จะนำมาชวนให้คิดกัน ภายหลังจากที่ชำแหละแต่ละมิติออกมาดังนี้
มิติช่อง 3
ต้องถือว่าวันนี้ ตระกูลมาลีนนท์ ที่บริหารสัมปทานช่อง 3 ได้แสดงธาตุแท้ออกมาอย่างแท้จริงแล้วว่าเลือกที่จะรับใช้ และเป็นเครื่องมือของรัฐบาลอย่างเต็มตัวในการช่วยแก้ต่างแก้ตัว ช่วยสร้างภาพปิดกั้นความจริง ปิดกั้นความคิด และมอมเมาคนไทยอย่างเต็มที่จากเนื้อหารายการต่างๆ ของช่อง 3 ที่เป็นช่องที่ได้รับความนิยมที่สามารถเรียกได้ว่าสูงสุดของประเทศไทยในยุคนี้
ตระกูลนี้เลือกที่จะอุ้มคนที่มีปัญหาคดีความยักยอกเงินค่าโฆษณาจาก อสมท อย่าง นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา (ที่มักจะใช้รายการข่าวของตัวเองเป็นเครื่องมือแก้ต่างให้กับรัฐบาล และโจมตีฝั่งตรงข้ามแทบจะตลอดเวลา เป็นเครื่องมือชั้นดีในการปกป้องนักการเมืองและกลุ่มทุนมากกว่าจะยืนข้างภาคประชาชน) แต่พร้อมจะเซ็นเซอร์ละคร หรือกล้าที่จะถอดออกกะทันหัน หากละครเรื่องใดไปจี้ใจดำรัฐบาล หรือพรรคการเมืองบางพรรค และคนบางคน อย่างที่เราเห็นชัดเจนจากกรณีสั่งระงับละครเหนือเมฆ 2 และการดูดเสียงบางข้อความจากละครยอดฮิตแห่งปี อย่างแรงเงา ที่ไปกระทบกระทั่งความเป็นจริงทางการเมืองไทยวันนี้
หากจะมองกันให้ลึกๆ วันนี้ช่อง 3 ได้แบ่งออกสองขั้วอย่างชัดเจนตามลักษณะของรายการยอดนิยม ซึ่งคือ ข่าว กับ ละคร วันนี้ชัดเจนว่า ผู้บริหารช่อง 3 เลือกที่จะถือหางบุคลากรสายข่าวที่ตอบสนองผลประโยชน์ของกลุ่มทุนของตนที่ผูกกับการเมืองอย่างเต็มที่
ขณะที่บุคลากรฝ่ายละครส่วนใหญ่ มีทัศนคติต่อชาติบ้านเมืองสวนทางกับตระกูลนี้ ส่วนใหญ่เป็นดารา ซึ่งถือเป็นบุคคลสาธารณะที่มีอิทธิพลต่อสังคมจะถูกกดดันอย่างหนัก ไม่สามารถแสดงความคิดดีๆ ออกมาสู่สาธารณะได้ จึงเกิดแรงบันดาลใจในการสร้างบทละครที่สะท้อนสังคมออกมาหลายครั้ง ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น นั่นแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้จะถูกกดดัน ถูกบีบ แต่เสรีภาพทางความคิด และความจริงก็ไม่มีวันถูกปิดกั้นได้
คนที่อยู่ในวงการจะรู้กันเป็นอย่างดี ว่า การทำงานของช่อง 3 นั้น ละครจะต้องถ่ายจนเกือบจบ บทละครเรื่องนั้นๆ มีการเรียบเรียงจนจบแล้ว ต่างจากบทของช่อง 7 ที่ถ่ายไปเขียนไปตามเรตติ้งละคร ดังนั้น ช่อง 3 ไม่มีทางจะเพิ่งมารู้ว่าบทไม่เหมาะสม เพราะถ้าเช่นนั้นจะต้องไม่อนุมัติให้มีการถ่ายทำไปจนจบ หรือเกือบจบดังเช่นละครเรื่องอื่นๆ ของช่องนี้
ที่ชัดเจนคือ แม้ในรายการข่าวยอดนิยมช่วงต่างๆ ของช่อง 3 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าช่วงต่างๆ ของนายสรยุทธ หรือข่าวสามมิติของ นายกิตติ สิงหาปัด กลับไม่มีการนำเอากรณีนี้มาออกข่าวแม้สักนิดเดียว ขณะที่โซเชียลเน็ตเวิร์กมีการพูดถึงกันอย่างมาก
การตัดสินใจของผู้บริหารตระกูลนี้ ถือว่าลุแก่อำนาจ ไม่ให้เกียรติในการทำงานของบุคลากรอันทรงคุณค่าของตน และที่สำคัญ ไม่ให้เกียรติเจ้าของฟรีทีวีคลื่นความถี่นี้ตัวจริง ซึ่งก็คือคนไทยทั้งประเทศ ทั้งๆ ที่ตัวเองแท้จริงแล้วเป็นแค่คนมาเช่าสัมปทานคลื่นสาธารณะไปบริหารหารายได้เท่านั้น หากยังจำกันได้กรณีศึกฟุตบอลยูโร ก็ช่อง 3 นี่แหละที่เป็นตัวตั้งตัวตีสมคบกับแกรมมี่ ทำให้ทีวีจอดำ
วันนี้ตระกูลมาลีนนท์ กำลังเดินตามรอยตระกูลบุนปาน ที่บริหารหนังสือพิมพ์มติชน ในการทำลายฐานผู้เสพสื่อของตัวเองที่เป็นคนชั้นกลาง มีการศึกษา รักความถูกต้อง
มติชนวันนี้สูญเสียความเป็นหนังสือพิมพ์คุณภาพของประเทศไปเป็นหนังสือพิมพ์เสื้อแดงเกรดเดียวกับเรดนิวส์ ช่อง 3 เองก็ค่อยๆ ทำให้ตัวเองต่ำลงไปอยู่ในระดับเดียวกับเอเชียอัปเดต หรือวอยซ์ทีวี ในรูปแบบแถมแพกเกจรายการบันเทิงนั่นเอง และก็ต้องจำกันให้ใส่ใจว่าถ้าสิ่งพิมพ์บิดเบือนก็ต้องมติชน ฟรีทีวีเอกชนบิดเบือนก็ต้องช่อง 3
มิติฝั่งรัฐบาล และ กสทช.
ยิ่งเป็นการตอกย้ำจุดยืน และแนวคิดของกลุ่มทุนพรรคเพื่อไทย ภายใต้ตระกูลชินวัตร กับแนวคิดทุนนิยมเผด็จการผ่านระบอบประชาธิปไตยได้อย่างชัดเจนที่สุด กับยุทธศาสตร์การใช้สื่อที่เป็นยุทธศาสตร์เดียวกับการเมืองที่พวกตนมักทำคือ ปิดกั้น บิดเบือน และมอมเมา
ละครที่ไม่ใส่สาระ เน้นแต่บันเทิงก็ไม่ต่างอะไรกับนโยบายประชานิยมที่พรรคการเมืองนี้นำมาใช้มอมเมาคนไทย ให้คนไทยเสพติดแต่ความบันเทิง หากแต่ละครเรื่องใดแฝงสาระแนวคิดสะท้อนความจริงทางการเมืองเข้าไปก็จะถูกปิดกั้น
การปิดกั้นที่ชัดเจนที่สุด คือ การปิดกั้นของภาครัฐไม่ให้มีการจุดพลุเฉลิมพระเกียรติ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา จนถูกสังคมจับได้ และล่าสุด ก็ปิดกั้นประชาชนจากความบันเทิงที่ไปจี้ใจดำโครงสร้างของอำนาจบริหารในครั้งนี้
ในกรณีนี้ถึงกับมีการตั้งข้อสังเกตในโซเชียลเน็ตเวิร์กกันอย่างน่าสนใจ ว่า กรณีหมิ่นสถาบันต่างๆ รัฐทำเป็นไม่สนใจ หรือหลับตาข้างหนึ่งดังเช่นที่ พลเอก ชัยสิทธิ์ ชินวัตร แอบอ้างถ้วยพระราชทานไปมอบรางวัลให้กับนักมวยไทยที่ไปชกที่บ่อนมาเก๊า ถ่ายทอดสดทางช่องหอยม่วง แต่อะไรที่หมิ่นชินวัตร หรือพรรคเพื่อไทย รัฐจะจัดการขั้นเด็ดขาด ทั้งทางเปิดเผยและการล็อบบี้ทางลับในทันที
ส่วนการบิดเบือนก็ใช้ กสทช.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระแต่ในนาม หากแต่ความเป็นจริงที่ผ่านมาก็ประจักษ์แก่สังคมว่าสนองต่อกลุ่มทุนและรัฐอย่างเต็มที่มาบิดเบือนว่า ช่อง 3 ไม่ผิด ละครเรื่องนี้ต่างหากที่ผิดมาตรานั้นมาตรานี้
ความไร้มาตรฐานของภาครัฐ และ กสทช.เห็นได้ชัดเจนที่สุด เมื่อมีการเปรียบเทียบระหว่างการปล่อยให้มีการถ่ายทอดสดนักโทษชายหนีคดีออกอากาศพูดแก้ตัวผ่านทางช่องรัฐ ว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของชาติ แต่กรณีละครเหนือเมฆ 2 ที่มีเนื้อหาสาระที่ดีนั้น กลับขัดกับกฎหมายบางมาตรา ซึ่งน่าจะเป็นกฎหมายของรัฐไทยใหม่หาใช่ประเทศไทยในปัจจุบันไม่
การกินปูนร้อนท้องของรัฐบาล คือ กรณีที่หลานสาวของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นผู้คุมวอร์รูมสื่อ ต้องรีบออกมาประกาศข่าวว่า นายกฯ ของเราไม่รู้จักละครเรื่องนี้ ไม่ได้มีการสั่งให้ดำเนินการใดๆ ไม่ต่างอะไรกับเมื่อครั้งที่ นางสาวหมากระเป๋าหัวตั้ง ประจำสำนักนายกฯเคยออกมาแก้ตัวข้างๆ คูๆ กรณีช่อง 11 มาเมื่อไม่นานนี้
ที่น่าสังเกตเป็นอย่างยิ่ง คือ การที่ นายพานทองแท้ ชินวัตร ที่หลังๆ พยายามจะทำตัวฉลาด พยายามแก้ต่างให้น้าสาว และบิดาตัวเองบ่อยๆ ได้ปิดปากเงียบสนิทในเรื่องนี้ อันขัดกับวิสัยอวดรู้อวดฉลาดไปทุกเรื่องของไอดอลแดงละอ่อนยุคใหม่อย่างน่ากังขา
มิติภาคประชาชน
การตื่นตัวของภาคประชาชนในครั้งนี้ เปรียบดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจคนที่รักความถูกต้อง ว่า อย่างน้อยสังคมไทยยังมีความหวัง ยังมีคนไทยอีกมากมายที่ไม่นิ่งดูดายถึงแม้ว่าสื่อกระแสหลักจะพร้อมใจกันบ่ายเบี่ยงที่จะนำเสนอเรื่องนี้
และนี่อาจจะเป็นก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวการเริ่มต้นจุดอารมณ์ร่วมของสังคมไปสู่ก้าวที่ใหญ่ขึ้นๆ ซึ่งสร้างความลำบากใจให้แก่ฝั่งผู้มีอำนาจไม่น้อย เพราะหลายครั้งความเปลี่ยนแปลงก็มาจากน้ำผึ้งหยดเดียว น้ำมันหยดเดียวแต่หากติดไฟเมื่อไหร่ หรือมีอะไรที่พอเหมาะพอดีกับเวลามาเป็นเชื้อฟืนเชื้อไฟ ทำให้ลุกลามไป อย่างกรณีค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นกำลังทำลายรากฐานธุรกิจขนาดกลาง หรืออย่างที่โครงการจำนำข้าวได้ทำลายระบบข้าวไทยไปหมดแล้วนั้น เมื่อหลายเรื่องมาประกอบกันจากการที่มีอารมณ์ร่วมในเรื่องเบาๆ บางเรื่องรวมกันค่อยๆ สะสมอยู่แล้วเมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเป็นตัวเร่งในให้อนาคตอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ
ปรากฏการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยคนไทยเริ่มตื่นกันแล้ว โดยเฉพาะพวกโลกสวย เริ่มปฏิเสธการเมืองไม่ได้แล้ว เพราะถึงแม้จะทำไม่รู้ไม่เห็นไม่สนการเมือง แต่ในที่สุดการเมืองก็ได้เข้าไปหาคนเหล่านั้นถึงหน้าจอทีวีทุกบ้าน รบกวนความสุข แม้แต่ในการรับชมละครในช่องปกติที่ไม่มีใครคาดคิด
อย่างไรก็ตาม เหรียญก็มีสองด้าน แม้การตื่นตัวของคนไทยในการที่ละครเรื่องเหนือเมฆ 2 โดนถอดออกจากผังช่อง 3 เพราะพิษการเมืองอย่างฟ้าแลบ จะเป็นเรื่องที่คนไทยทั้งประเทศจะพูดถึงกันอย่างมาก ขนาดมีการตั้งเพจเอาเหนือเมฆของกูคืนมาให้กดไลค์กันเป็นหมื่นเป็นแสน จะเป็นจุดสะท้อนการปกป้องสิทธิ์ของภาคประชาชน
แต่หากเอากรณีที่เรากำลังจะเสียดินแดนรอบเขาพระวิหาร จากการไปยอมรับอำนาจศาลโลก (ซึ่งต่างจากกรณีดินแดนข้อพิพาทระหว่างจีนกับญี่ปุ่นและจีนกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ที่ที่ทุกประเทศรัฐบาล ทหาร และประชาชนมีความตื่นตัวร่วมแรงร่วมใจกันปกป้องอธิปไตยเหนือดินแดนของตนไว้ ซึ่งเป็นคนละแนวทางกับที่พรรคการเมืองทุกพรรคของเมืองไทยที่กำลังขยิบตาให้เขมรเข้ามายึดพื้นที่ผ่านศาลโลก) เราจะพบว่าเรื่องนี้กลับแทบไม่มีการพูดถึงกันในโซเชียลเน็ตเวิร์กกันเลย
วันนี้เรารู้กันแค่ว่าเราเสียสิทธิ์ในการรับชมละครสะท้อนการเมืองดีๆ อย่างเหนือเมฆ 2 แต่มีใครรู้ไหมว่า พรุ่งนี้เรากำลังจะเสียพื้นที่รอบเขาพระวิหารให้เขมรผ่านศาลโลกจากฝีมือของรัฐบาลเฮงซวย ทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ อันจะนำไปสู่ผลที่ตามมา คือ มะรืนนี้เขมรจะอ้างสิทธิ์ที่เรารับรองตามมาตราส่วนแผนที่เขาเคลมพื้นที่ของเราไปอีกราว 1.8 ล้านไร่
เรื่องจริงที่น่าเศร้า คือ มันได้สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยหวงแหน และใส่ใจต่ออธิปไตยของประเทศตัวเองน้อยยิ่งเสียกว่าละครหลังข่าวเรื่องหนึ่ง ในขณะที่ความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศชาตินั้น มากมายมหาศาลจนประเมินค่ามิได้ ชนิดที่ว่าการที่ละครเหนือเมฆโดนถอดเปรียบเสมือนแค่เรื่องฝุ่นผงเล็กๆ เท่านั้นเมื่อเทียบกับหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้
เราจะมีบุญกันได้เห็นคนไทยหวงอธิปไตยของไทยอย่างที่ตื่นตัวกันกับละครเหนือเมฆ 2 กันบ้างไหม เราจะได้เห็นเพจเอาพื้นที่ประเทศไทยกูคืนมากันในเฟซบุ๊กบ้างไหม...
อย่าให้สิ่งที่ผมคิดเอาไว้ลึกๆ ในใจถูกเลยว่าคนไทยมีแต่เปลือก พยายามสร้างภาพว่าจิตอาสา มัวแต่บ้าอินสตาแกรม มีความรู้สึกฮึกเหิมรักประเทศไทยแรงกล้าเฉพาะเวลาดูบัวขาวตอนเปิดตัวจะขึ้นชกไทยไฟต์ หรือรักในหลวงก็แค่กดไลค์กันในเฟซบุ๊ก และเดือดร้อนกันที่สุดแค่คือละครที่โดนใจถูกถอดจากผัง เพราะพิษการเมือง...