เลื่อนอ่านอุทธรณ์ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย ฟ้องหมิ่น “สนธิ ลิ้มทองกุล” และพวก แฉปฏิญญาฟินแลนด์ไป 19 ก.พ.ปีหน้า เหตุจำเลยที่ 4 ยังไม่ได้รับหมายและเดินทางไปต่างประเทศ
วันนี้ (12 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณา 713 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำที่ อ.1747/2549 ที่พรรคไทยรักไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรค และอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ว.กทม., นายชัยอนันต์ สมุทวณิช, นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ และคอลัมนิสต์, บริษัทไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด ผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบดาวเทียม ASTV, นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล, นายพชร สมุทวณิช, นายขุนทอง ลอเสรีวานิช กรรมการ บ.ไทยเดย์ฯ, บริษัท แมเนจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ ผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ.แมเนเจอร์ (ศาลยกฟ้องในชั้นไต่สวน) และนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ ผู้ดูแลเว็บไซต์แมเนเจอร์ เป็นจำเลยที่ 1-11 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นด้วยการโฆษณา สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 24 - 25 พ.ค. 2549 พวกจำเลยจัดเสวนาเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ยุทธศาสตร์ครองเมืองของไทยรักไทย ซึ่งถ่ายทอดสดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ASTV และเว็บไซด์ผู้จัดการ หมิ่นประมาทโจทก์ว่าต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไปสู่การปกครองในระบอบทักษิณ โดยมุ่งหมายเข้าบริหารประเทศตามข้อตกลงปฏิญญาฟินแลนด์
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2549 นายสนธิได้ร่วมกับพวกจำเลยจัดเสวนาวิชาการ ณ หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ เรื่อง “ปฏิญญาฟินแลนด์ ยุทธศาสตร์การเมืองไทยรักไทย” ซึ่งมีการกล่าวพาดพิงทำนองว่า พรรคไทยรักไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ วางแผนยุทธศาสตร์ 5 ขั้นตอนในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองให้พรรคการเมืองพรรคเดียวจัดตั้งรัฐบาล โดยการเสวนาได้มีการเผยแพร่ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ ASTV และเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ ซึ่งล้วนเป็นเท็จ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ขอให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งหมดตามความผิด จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2552 เห็นว่า การเสวนาดังกล่าวไม่มีถ้อยคำใดยืนยันว่าโจทก์ทั้งสองได้ทำข้อตกลงที่เรียกว่าปฏิญญาฟินแลนด์กับบุคคลใดในการบริหารราชการแผ่นดิน และไม่มีถ้อยคำยืนยันว่าข้อตกลงดังกล่าวมีอยู่จริงหรือไม่ แต่เป็นการกล่าวถึงนโยบายบริหารราชการแผ่นดินของทั้ง 2 ส่วน ที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบราชการเป็นแบบซีอีโอ และมีนโยบายแบบรูปรัฐวิสาหกิจรวมทั้งการโยกย้ายข้าราชการซึ่งกลุ่มจำเลยไม่เห็นด้วย แม้ในการเสวนา พวกจำเลยจะใช้ถ้อยคำเกินเลยในการแสดงความคิดเห็นไปบ้าง แต่การกระทำของจำเลยซึ่งเป็นสื่อมวลชน นักวิชาการและนักคิดก็ได้แสดงออกถึงความรับผิดชอบที่จะแสดงความคิดเห็นนโยบายบริหารราชการแผ่นดินซึ่งพวกจำเลยเห็นว่า มีแนวโน้มที่จะกระทบต่อประโยชน์ของประเทศชาติ การกระทำของจำเลยทั้ง 11 ราย จึงไม่เป็นความผิด พิพากษายกฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลย
อย่างไรก็ตาม วันนี้ศาลได้แจ้งให้คู่ความทั้งสองฝ่ายทราบว่า เนื่องจากนายปราโมทย์ จำเลยที่ 4 ยังไม่ได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษา และได้เปลี่ยนสถานที่อยู่ จึงให้เจ้าหน้าที่ส่งหมายนัดจำเลยที่ 4 มาฟังคำพิพากษาอีกครั้งตามสถานที่อยู่ใหม่ ประกอบกับนายสนธิ จำเลยที่ 1 แถลงว่า สามารถติดต่อจำเลยที่ 4 ซึ่งเดินทางไปต่างประเทศได้ โดยทราบว่าจำเลยที่ 4 มีกำหนดจะเดินทางกลับมาประเทศไทยในวันที่ 16 ธ.ค.นี้ เห็นว่าจำเลยที่ 4 ไม่มีเจตนาหลบหนี จึงเห็นควรเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีกครั้ง วันที่ 19 ก.พ. 2556 เวลา 09.30 น.
ภายหลังนายสนธิให้สัมภาษณ์ว่า การเร่งเดินหน้าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2550 ของฝ่ายรัฐบาลถือเป็นสิทธิของพรรคร่วมรัฐบาล แต่ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยไว้แล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้น ไม่สามารถทำได้ ก็คงเหลือแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ที่ต้องแก้ไขผ่านรัฐสภา ซึ่งรัฐบาลจะแก้มาตราไหนก็ได้ แต่คาดว่าหากมีการลงมติวาระ 3 คงจะมีคนไปร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญแน่นอน ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ คงต้องดูตามสถานการณ์ แต่ถ้าหากมีแก้ไขใน 2 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และการล้างผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลุ่มพันธมิตรฯ ก็จะไม่ยินยอมและออกมาเคลื่อนไหวตามที่เคยได้ลั่นวาจาไว้แล้ว