อุทธรณ์ยืนยกฟ้อง “สนธิ ลิ้มทองกุล” หมิ่น “ทักษิณ-พรรคไทยรักไทย” เสวนาปฎิญญาฟินแลนด์ยุทธศาสตร์เปลี่ยนแปลงประเทศ ศาลชี้วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน และติชมโดยสุจริต จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
วันนี้( 12 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 713 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เวลา 09.30 น. ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1818 /2549 ที่พรรคไทยรักไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรค และอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย , นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ว.กทม. , นายชัยอนันต์ สมุทรวณิช , นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ และคอลัมนิสต์ , บริษัทไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด ผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบดาวเทียม ASTV , นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล, นายพชร สมุทวณิช, นายขุนทอ ง ลอเสรีวานิช กรรมการ บ.ไทยเดย์ ฯ , บริษัท แมเนจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด ( มหาชน), น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรงค์ ผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ.แมเนเจอร์ ( ศาลยกฟ้องในชั้นไต่สวน ) และนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ ผู้ดูแลเว็บไซด์ แมเนเจอร์ เป็นจำเลยที่ 1-11 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นด้วยการโฆษณา สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 24 - 25 พ.ค.2549 พวกจำเลยจัดเสวนาเรื่องปฎิญญาฟินแลนด์ยุทธศาสตร์ครองเมืองของไทยรักไทย ซึ่งถ่ายทอดสดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ASTV และเว็บไซด์ผู้จัดการ หมิ่นประมาทโจทก์ว่าต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไปสู่การปกครองในระบอบทักษิณโดยมุ่งหมายเข้าบริหารประเทศตามข้อตกลงปฏิญญาฟินแลนด์ ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
โดยโจทก์ทั้งสองนำสืบว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2549 พวกจำเลยจัดเสวนาวิชาการ ณ หอประชุมใหญ่ ม.ธรรมศาสตร์ เรื่อง “ ปฏิญญาฟินแลนด์ยุทธศาสตร์การเมืองไทยรักไทย ” โดยนายเจิมศักดิ์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินรายการ ส่วนนายสนธิ , นายชัยอนันต์ และ นายปราโมทย์ จำเลยที่ 1 , 3 และ 4 เป็นผู้ร่วมเสวนา ซึ่งกล่าวว่าโจทก์ทั้งสอง วางแผนยุทธศาสตร์ 5 ขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ การเป็นพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวจัดตั้งรัฐบาลและมีผู้นำคนเดียว , การเปลี่ยนแปลงระบบราชการเป็นแบบซีอีโอ , การแทรกแซงการโยกย้ายข้าราชการ ,การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การแปลงทุนให้เป็นสินทรัพย์ และ การทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ ซึ่งขณะที่มีการเสวนาจำเลยที่ 1 ก็เป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เคลื่อนไหวการขับไล่ทางการเมือง โดยการเสวนาของพวกจำเลยมีวัตถุประสงค์ต้องการให้เกิดการแบ่งฝ่ายในสังคม ที่กล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสอง คือกลุ่มที่คัดค้านการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งที่จริงแล้วในการประชุมพรรคของโจทก์ทั้งสอง ไม่มีการกล่าวถึงข้อตกลงปฏิญญาฟินแลนด์ และไม่เคยมีนโยบายตามข้อตกลงดังกล่าว แต่การที่เป็นพรรคการเมืองเดียวจัดตั้งรัฐบาล ก็เป็นตามรัฐธรรมนูญ ฯ พ.ศ.2540 ที่ต้องการให้ฝ่ายบริหารมีความเข้มแข้งในการบริหาราชการแผ่นดิน เนื่องจากที่ผ่านมามีการยุบสภาบ่อยครั้ง ส่วนเปลี่ยนแปลงระบบราชการก็เพื่อทำให้ระบบราชการที่เคยมีขนาดใหญ่ มีขนาดเล็กลงเพื่อให้ความสะดวกรวดเร็วการบริการประชาชน และการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนเพื่อแก้ปัญหาความยากจนของประชาชน รวมทั้งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในต่างประเทศก็ได้ปฏิบัติมาแล้วเพื่อให้เกิดการแข่งขันเสรีโดยโจทก์ทั้งสองไม่เคยมีเจตนาในการคัดค้านสถาบันกษัตริย์
ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า การจัดเสวนาของจำเลย ไม่ได้ยืนยันว่าข้อตกลงปฏิญญาฟินแลนด์ดังกล่าวมีจริงหรือไม่ เพียงแต่กล่าวถึงการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการบริหารเท่านั้น จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ต่อมาโจทก์ทั้งสองยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ประชุมตรวจสำนวนและปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า การเสวนาของจำเลยที่1-4 นั้นไม่ได้ให้ความสำคัญหรือยืนยันว่าข้อตกลงปฏิญญาฟินแลนด์มีจริงหรือไม่ แต่มุ่งวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์ทั้งสองในฐานะนายกรัฐมนตรีและพรรคการเมืองที่มีอำนาจในการบริหารประเทศ ซึ่งจะมีผลกระทบกับประชาชนและประเทศชาติ โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โจทก์ที่สอง ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือเป็นบุคคลสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปจะแสดงความคิดเห็น หรือ ติชมโดยสุจริตได้ ขณะเดียวกันโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าข้อตกลงปฏิญญาฟินแลนด์นั้นไม่มีอยู่จริง ส่วนการเผยแพร่บทความเกี่ยวกับปฏิญญาฟินแลนด์ก่อนหน้านั้น ก็เป็นเพียงการนำเสนอเพื่อให้การเสวนาน่าสนใจเท่านั้น ไม่อาจฟังได้ว่าเป็นการทำลายล้างทางการเมืองหรือมุ่งโจมตีโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท และเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 - 4 ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท การกระทำของจำเลยที่ 5-9 และ 11 ก็ไม่เป็นความผิดด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายกฟ้อง