xs
xsm
sm
md
lg

“ใบเฟิร์น” ต้นนี้ ยิ่งโตยิ่งน่ารัก แฟนคลับล้นทะลักทั้งไทยและเทศ!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เธอปรากฏตัวอีกครั้งบนปกนิตยสารแฟชั่นด้วยลุคแปลกตาไปมาก จากเด็กสาวโก๊ะ เปิ่น แสนซน ภาพที่หลายๆ คนจดจำได้จาก “สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก” และภาพนางเอกสาวหวาน เรียบร้อย จากช่องมากสี ถึงวันนี้ กลับกลายเป็นสาวสะพรั่ง น่ารักปนเซ็กซี่ ชวนให้รู้สึกว่าหลายสิ่งหลายอย่างช่างเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วเสียจริงๆ
 
บทสนทนาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จึงเป็นผลพวงจากความสงสัยว่า “พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์” หรือ “ใบเฟิร์น” ต้นเล็กๆ ที่แฟนๆ เคยคุ้นตานั้น เติบโตไปในทิศทางไหนแล้วกันแน่? กระทั่งนั่งลงพูดคุยจึงได้คำตอบว่า เวลากว่าสองปีบนเส้นทางบันเทิงที่ผ่านมา นอกจากจะขัดเกลาให้เด็กสาวคนหนึ่งสวยงามอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว ยังเผยให้เห็นมุมที่น่าสนใจเอาไว้ มุมเล็กๆ อีกหลายๆ มุมที่เกิดจากการถามมาตอบไปอย่างจริงใจ ไร้การปรุงแต่ง


หนูเป็นสาวแล้ว
ช่วงหลังๆ ดูเปลี่ยนลุคให้เป็นสาวขึ้น เซ็กซี่มากขึ้น?
ไม่นะคะ ไม่ (เธอปฏิเสธด้วยสีหน้างงๆ) นั่นคือการถ่ายแฟชั่น ตัวเฟิร์นเองก็ไม่ได้มองว่าเราจะต้องโป๊หรือเซ็กซี่อะไรนะ แต่มองว่าถ้าเราถ่ายแฟชั่นมันก็คือแฟชั่น ส่วนเรื่องการแสดงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งค่ะ ละครคือการที่แสดงเราได้รับบทอะไรแล้วเราแสดงให้ดี แต่แฟชั่นคือเราต้องเป็นแบบที่เขากำหนดไว้ให้ตามสไตล์นั้น แต่ก็ต้องมีการคุยกันก่อน ผู้จัดการหนูก็จะช่วยดูให้ว่ามันไม่ได้โป๊เกินไปแน่นอนค่ะ แต่ถ้าในละครจะมีบทเลิฟซีนบ้าง นั่นก็ต้องดูความเหมาะสมค่ะ เท่าที่ผ่านมา หนูก็เคยเล่นจูบจริงเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้มากขนาดนั้น จะเป็นไปตามที่ทางช่องเห็นว่าเหมาะและไม่เกินวัยเรามากกว่า
 
เอาจริงๆ นะ ทุกวันนี้หนูยังเขินมากอยู่เลยค่ะเวลามีบทเลิฟซีน เคยพูดบทผิดๆ ถูกๆ จนทุกคนล้อกันทั้งกองเลย แต่ยังไงมันก็เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ของนักแสดงนะ ก็ต้องแล้วแต่ความเหมาะสม ที่ผ่านมาก็เลยไม่เคยเป็นปัญหาเลย เพราะมีคนสกรีนมาแล้วส่วนหนึ่ง และหนูก็เป็นแค่อีกหนึ่งตัวละครหนึ่งในเรื่อง เขาคงไม่อยากให้อะไรมันออกมาดูไม่ดีเหมือนกันนะหนูว่า
 

นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูโตขึ้น คิดว่าใบเฟิร์นในวันนี้ เปลี่ยนจากวันก่อนที่คนรู้จักยังไงบ้าง?
ถ้าเป็นเรื่องการทำงาน การใช้ชีวิต หนูว่าหนูก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างมากขึ้นเหมือนกันนะคะ ก่อนหน้านี้อาจจะติดนิสัยฟันธงไปเลยว่าสิ่งที่เราคิดมันต้องเป็นอย่างนี้ๆ นะ แต่เดี๋ยวนี้ เราใจกว้างที่จะรับความผิดหวังได้มากขึ้น เมื่อก่อน เรื่องอะไรนิดหน่อยเข้ามาก็จะรู้สึกเสียใจมาก เคยโดนข่าวว่าหยิ่งบ้าง เหวี่ยงบ้าง แค่นี้ก็เสียใจแล้ว คิดว่า เฮ้ย! ทำไมข่าวมันถึงออกมาอย่างนี้ พี่ๆ นักข่าวเขาต้องเกลียดหนูแน่ๆ เลย (ยิ้มบางๆ) เฟิร์นทำอะไรไม่ดีลงไปหรือเปล่านะ ต้องแก้ยังไงดีนะ แต่ตอนนี้พอมองย้อนกลับไป รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ใจเรากว้างพอที่จะรับความเจ็บปวดได้มากขึ้นแล้ว
  

หลังๆ หนูมองว่าพี่ๆ เขาอาจจะอยากพูดถึงหนูก็ได้ เพียงแต่เขาไม่รู้จะพูดถึงหนูเรื่องอะไร ถึงจะมีคนเขียนด่าเราไป แต่หลังจากนั้น เขาก็ให้โอกาสหนูได้ออกมาแก้ตัวว่ามันไม่จริงนะคะ ก็แสดงว่าคงไม่ได้เกลียดหนูมากเท่าไหร่ (หัวเราะ)
  

ด้านการแสดงล่ะ รู้สึกพัฒนาขึ้นบ้างไหม เห็นว่าเรียนเอกการแสดงมาด้วย?
ช่วยได้เยอะนะคะ เวลาเรียน เราจะเอาบทละครเรื่องหนึ่งมานั่งวิเคราะห์กันเลยว่าบทนี้ให้อะไร คนเขียนต้องการจะบอกอะไร ตัวละครแต่ละตัวเป็นยังไง อยากใช้คำว่า เราเรียนกันที่ "จิตวิญญาณการเป็นนักแสดง" กันจริงๆ การเป็นนักแสดงที่ดีทำยังไง แต่ของหนูจะเน้นละครเวทีเลยค่ะ แสดงสดๆ บนเวที ทุกอย่างจะต้องจริงมาก ณ โมเมนต์นั้น เพราะถ้าโกหก คนดูจะรู้ทันที ไม่มีการคัต ไม่มี 5-4-3-2 เริ่มใหม่ หนูว่าเรียนตรงนี้แล้วมันช่วยปลูกฝังการเป็นนักแสดงจริงๆ นะ ไม่ได้สอนว่าจะต้องเป็นดาราอยู่หน้ากล้อง ต้องมีชื่อเสียง มีงานอีเวนต์ มันไม่ใช่เลย สิ่งที่เราทำอยู่ก็แค่แสดง ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
  

การแสดง ไม่จำเป็นต้องเรียน มาเรียนรู้เอาหน้ากองก็ได้ คิดยังไงกับความคิดเห็นนี้?
ใช่ค่ะ (พยักหน้ารับ) คนส่วนใหญ่จะชอบคิดแบบนั้นจริงๆ แต่เฟิร์นคิดว่าไม่มีห้องเรียนห้องไหนที่ไม่ให้อะไรกับเรานะ เพราะฉะนั้น ไม่อยากให้คนอื่นตัดสินว่า สาขาวิชาไหนดีกว่าอีกสาขาวิชาหนึ่ง เพราะมันก็เป็นความถนัด เป็นความรักของแต่ละคน เราเอาอะไรมาตัดสินว่าเด็กเรียนนิเทศ จะประสบความสำเร็จได้น้อยกว่าเด็กเรียนบริหาร คุณเอาอะไรมาตัดสิน เงินเหรอ? สำหรับเด็กนิเทศ เด็กเอกการแสดง เงินอาจจะไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตเขาก็ได้ ความสุขของคนเรามันต่างกันค่ะ
  
คือหนูไม่ได้บอกว่าเงินไม่สำคัญนะ อีเวนต์ก็เป็นอีกงานหนึ่งที่ช่วยต่อยอด ใช้เวลาแป๊บเดียว ได้แต่งตัวสวยๆ ก็ได้เงินมาแบบไม่ยาก แต่ความสุขของหนูมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินเสมอไปค่ะ ความสุขจริงๆ ของหนูคือการแสดง หนูชอบที่จะได้อยู่กองถ่าย อยู่กับละคร ถ่ายหนังเฉยๆ มากกว่าที่จะขึ้นไปบนเวที ถ่ายรูป ร้องเพลง ความสุขมันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ชื่อเสียงหรือการมีคนมายอมรับเรา แต่ชื่อเสียงก็เป็นแรงผลักดัน เป็นกำลังใจสำคัญ ทำให้หนูได้ทำในสิ่งที่หนูมีความสุข



ยินดีต้อนรับ แฟนคลับหลากเชื้อชาติ
ได้ข่าวว่ามีแฟนคลับในจีนเยอะมาก ตอนนี้ลามไปถึงฟิลิปปินส์ด้วยแล้ว?
ตอนแรกที่ “สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก” ไปฉายที่จีนก็มีแฟนๆ ในจีนเป็นหลักค่ะ แต่ตอนหลัง ไปฉายที่ฟิลิปปินส์ด้วย ตอนนี้ก็เลยมีแฟนคลับที่นั่นด้วย นี่ก็มีหนังเรื่อง “Suddenly It's Magic” ฉายอยู่นะ เขาเชิญหนูไปเล่นเป็นตัวประกอบ (ยิ้มตาหยี) ตัวเอกเป็นพี่โอ้ (มาริโอ้ เมาเร่อ) กับนางเอกที่นู่นค่ะ ก็รู้สึกดีใจเหมือนกันที่หนังของเรามีโอกาสไปฉายต่างประเทศและมีคนติดตาม (อมยิ้ม) ต้องบอกก่อนว่าแค่แฟนคลับในประเทศไทย เล่นหนังเรื่องหนึ่งแล้วมีคนชอบ เฟิร์นก็ดีใจมากแล้ว แต่พอได้ไปฉายที่จีน ประเทศเขาใหญ่มาก เว็บแฟนคลับของหนูที่นั่นก็เลยมีคนตาม ตอนนี้ประมาณ 9 แสนคนแล้ว ซึ่งมันเยอะมากสำหรับหนู (น้ำเสียงตื่นเต้น)
 

ตอนที่มีคนเข้ามาบอกว่าสิ่งเล็กๆฯ เป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ได้ไปฉายถึง 6 พันโรงที่เมืองจีน เราก็ เฮ้ย! อำปะเนี่ย (ยิ้ม) จนเขา Capture ภาพในเว็บมาให้หนูอ่าน หนูก็...นี่มันจริงเหรอเนี่ย! พอถึงวันที่ต้องเดินทางไปเปิดตัวรอบสื่อจริงๆ หนูยังงงๆ อยู่เลยค่ะ นั่งเครื่องไปงงๆ ถึงที่จีนแบบงงๆ มีคนที่นู่นมารับ มีแฟนคลับคนจีนมารับที่สนามบินด้วย เราก็แบบ...(แววตาเป็นประกาย) โห! ดีใจมากที่เขาชอบ ถึงจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง ก็ได้แต่ยิ้ม ทำภาษามือคุยกัน แล้วโรงหนังบ้านเขาจะกระจายอยู่ตามต่างเมืองเยอะมาก ต้องนั่งรถเข้าเมืองบ้าง ออกเมืองบ้าง ตะลอนไปทั่วเลยค่ะ ทำให้ได้เจอแฟนคลับหลายกลุ่มมากๆ
  

ไปที่นู่น หนูได้ใส่ชุดกี่เพ้าของจีนด้วยนะคะ (ยิ้มหวาน) ใส่เอาใจเขา ที่รู้สึกประทับใจมากๆ คือมีคนขึ้นมาบนเวทีเลยแล้วบอกเราว่า คนที่จะใส่กี่เพ้าได้สวยจะต้องเป็นคนสวยนะ แล้วเขาก็พูดชื่นชมเรื่องการแสดงของเราด้วย มีบางคนเอาหยกมาให้หนูด้วย ซึ่งมันเป็นของมีค่าของเขา หนูเองก็พยายามสื่อสารกับพวกเขาบ้าง แต่พูดได้ไม่กี่ประโยคเองค่ะ ประมาณว่า “หว่ออ้ายจงกั่ว” แปลว่า “ฉันรักเมืองจีน” และที่พูดบ่อยมากๆ เลยคือ “หว่อเจี้ยวใบเฟิร์น” แปลว่า “ฉันชื่อใบเฟิร์น” (ยิ้ม) เวลาหนูพูดประโยคนี้ทีไร เขาก็จะยิ้มกันใหญ่ เพราะเขาก็รู้อยู่แล้วว่าหนูชื่อใบเฟิร์น แล้วเราก็ยังจะพูดประโยคนี้อีก (หัวเราะแก้เขิน) เอ๊ะ! ยังไงเนี่ย พอตอนลาก็ “เซี่ยๆ” พูดได้แค่นี้จริงๆ
  

แล้วแฟนคลับคนไทยล่ะ มีเรื่องประทับใจบ้างไหม?
เยอะมาก (หันไปมองคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งคอยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ประมาณ 10-15 คน บ้างกำลังพูดคุย บ้างกำลังถ่ายรูปใบเฟิร์นเก็บไว้) เลือกเล่าไม่ถูกเลย อย่างแรกเลย เฟิร์นไม่คิดว่าตัวเองจะมีแฟนคลับที่จริงจังมาก่อน พอหนังเรื่องแรกฉายปุ๊บ ก็คือคนกลุ่มนี้แหละค่ะที่เดินเข้ามาหาหนู ประมาณ 10-20 คน หลังจากนั้น พอมีงานโชว์ตัวที่ไหนพวกเขาก็จะไปพร้อมป้ายไฟ มันกลายเป็นความประทับใจไปแล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหน หนูจะมองหาพวกเขาก่อนแล้วว่า เฮ้ย! อยู่ไหนกัน ทุกวันนี้สนิทกันเหมือนเพื่อนไปแล้ว ต้องมองหาว่ามาหรือยัง มาแล้วก็อุ่นใจแล้วว่า เอ้อ! เรามีเพื่อนแล้วนะ
  

จากปกติหนูจะเป็นคนขี้เขิน แต่พอเรามีเพื่อนมาเชียร์ มาให้กำลังใจ ก็เหมือนเราอยู่ด้วยกันตลอด เห็นแล้วก็สบายใจทุกครั้งเวลาทำอะไร เหมือนเป็นครอบครัวเรา เป็นกำลังใจเรา รู้ว่าไม่ว่าจะทำอะไร เขาก็อยู่ข้างหนูตลอด ไม่ว่ารางวัลนั้น หนูจะได้หรือไม่ได้ ก็มีเขาอยู่ข้างๆ (น้ำเสียงของเธอไม่หวาน-ไม่เลี่ยน แต่รับรู้ได้ว่าพูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ) บางครั้งหนูมีงานต่างจังหวัด เขาไปไม่ได้ ก็จะมาส่งเราที่สนามบินตลอด หนูว่าเป็นอะไรที่สุดยอดมากจริงๆ ค่ะ
  

แต่หลายๆ คนในสังคมก็มองว่าการเป็นแฟนคลับมันไร้สาระ
โอ้! เฟิร์นไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะ เฟิร์นคิดว่ามันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก จะมีใครสักคนหนึ่งที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เพื่อนมาก่อน ไม่ใช่พี่น้อง ไม่ใช่ครอบครัว แต่รักเรา แล้วก็หวังดีกับเราเหมือนเป็นครอบครัว มันเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่มากโดยที่เขาไม่เคยคิดเลยว่า เขาต้องได้อะไรตอบกลับจากเฟิร์น แค่วันหนึ่งเราได้เจอกัน ได้แกล้งกัน หัวเราะกัน แค่นั้น เขาก็มีความสุขแล้วอะ (พูดด้วยแววตาปลื้มปริ่ม)
เคยมีเหมือนกันนะ บางคนเป็นทนาย เขาบอกเราว่าเขาไม่เคยเป็นแฟนคลับใครเลย ไม่เคยรู้สึกว่าชอบใครหรือต้องตามใคร เคยมองว่าการเป็นแฟนคลับมาไร้สาระ แล้วเขาก็เพิ่งมารู้ว่าบางทีการได้ทำอะไรให้ใครที่เขารักเนี่ย มันทำให้เขามีความสุขแล้ว หนูเองก็รู้สึกทึ่งมากๆ นะคะ จะมีใครที่มานั่งเฝ้าเราได้เป็นวันๆ เสร็จงานก็ได้เจอกันแวบๆ แต่เขาก็เต็มใจมา
  

หนูว่าคนที่ไม่เคยรักใครมากขนาดนี้อาจจะไม่เข้าใจหรอก เหมือนความรักที่พวกเขาให้เฟิร์นมา วันนี้หนูได้รับจนหนูรู้สึกว่ามันมากพอ จนทำให้หนูรักพวกเขากลับ อยากให้ประคับประคองกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ เวลาเขามีปัญหา มาพูดกับเฟิร์น เฟิร์นก็ช่วยเขา ให้กำลังใจเขา เหมือนกับที่เขามาคอยตามงานเฟิร์น มันเป็นความรักความผูกพันอีกรูปแบบหนึ่งที่อยากให้หลายๆ คนลองเปิดใจ ลองมองอย่างเข้าใจเหมือนกัน
  

กับแฟนคลับเด็กๆ เคยดุเคยเตือนบ้างไหม เวลามาตามมากเกินพอดี?
เคย (น้ำเสียงหนักแน่น) บางคนยังประถมอยู่เลยค่ะ มัธยมก็มี เฟิร์นเข้าใจนะ แต่ละคนก็เรียนหนัก บางคนบอกอยากเป็นหมอ อยากเป็นนั่นนี่ บอกพี่เฟิร์น ช่วยเขียนให้กำลังใจหน่อยสิ หนูก็บอก เอ๊า! ทำไมไม่ไปเรียน (ย่นคิ้ว ทำหน้าดุนิดๆ) ไม่กลับบ้านไปอ่านหนังสือล่ะ บางคนมาส่งหนูที่สนามบินตั้งแต่เช้า บอกขอถ่ายรูปก่อนได้ไหมจะไปเรียนไม่ทัน เราก็โอ้โห! (ถอนหายใจนิดๆ) เห็นเขาพยายามแล้วบางทีก็ห้ามเขาไม่ได้ที่จะไม่ให้เขามา ในเมื่อเขามาแล้ว อะไรที่เฟิร์นทำได้ในส่วนของเฟิร์น เฟิร์นก็ทำ ก็เตือนเรื่องเรียนบ้าง พยายามบอกน้องๆ ให้รีบไปเรียนนะ ตั้งใจเรียนบ้าง อย่าโดดมาหาเรา อย่าโดดบ่อย
 
ส่วนคนที่โตแล้วจะไม่ค่อยดุเขาค่ะ ส่วนใหญ่ออกแนวแซวๆ มากกว่า ประมาณว่า เฮ้ย! มาครั้งหน้าเขาไล่ออกแล้วนะ (หัวเราะ) เขาก็ เฮ้ย! เฟิร์น พูดอย่างนี้ได้ยังไง



 

มากกว่าคำว่า “น้ำเน่า”
สังเกตดู งานละครส่วนใหญ่ที่เฟิร์นรับ จะออกแนวสะท้อนสังคมตลอด ตั้งใจหรือเปล่า?
จริงๆ แล้วก็เป็นประเด็นหลักๆ ที่หนูคิดเหมือนกันนะ แล้วเรื่องนี้ตัวบทก็ดีด้วย (เธอหมายถึงละครเรื่อง “ลูกไม้หลากสี” ที่กำลังถ่ายทำอยู่ แต่ยังไม่มีกำหนดฉายที่แน่นอน) อ่านบทแล้วรู้สึกว่ามันสะท้อนสังคมเยอะมาก รู้สึกว่าหนูโชคดีที่ได้เป็นเยาวชนคนหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการสะท้อนสังคม สะท้อนปัญหา แล้วบทเรื่องนี้นี่โหดมาก (เน้นเสียง) โดยเฉพาะบ้านของหนู นางเอกในเรื่อง เดี๋ยวพ่อตบพ่อตี พูดถึงการเลี้ยงลูกที่เข้มงวดเกินไป หนูว่าถ้าหนูได้ถ่ายทอดละครดีๆ แบบนี้ บทที่คนเขียนตั้งใจจะบอกอะไรกับสังคม มันก็น่าจะดี หนูเองก็อยากทำออกมาให้ดีที่สุด อยากให้บทที่คนเขียนตั้งใจจะสื่อสารกับสังคม มันไปถึงจริงๆ
 

แต่ก็ไม่ได้คิดมากขนาดว่าจะเล่นละครเรื่องนี้ เพราะมันต้องให้อะไรกับสังคมซะทุกครั้งนะคะ ก็ดูเรื่องเวลาบ้างว่าตรงกับเวลาเรียนไหม และหนูก็คิดว่าละครทุกเรื่องมันมีแนวคิดที่ซ่อนอยู่ที่อยากจะให้ผู้ชมได้รับอยู่แล้ว แต่ละเรื่องก็มีสิ่งดีๆ ที่อยากนำเสนอแตกต่างกันไป ทุกครั้งที่ได้รับบทเป็นตัวละครตัวไหนก็ตาม หนูยังรู้สึกเลยว่าเราได้เรียนรู้จากตัวละครเยอะมากจริงๆ (กวาดตาไล่ความทรงจำสักพัก เธอจึงเริ่มยกตัวอย่างให้ฟัง)
  

อย่าง “น้ำ” ในเรื่อง “สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก” ก่อนเลยค่ะ ตัวละครสอนให้รู้ว่าถ้าเราตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง เราสามารถเอาความรู้สึก เอาพลังของเรามาพัฒนาตัวเราไปในทางที่ดีได้ ไม่ว่าจะเป็นพลังอะไรก็แล้วแต่ อย่างในเรื่องนี้ อาจจะพูดถึงพลังแห่งความรัก แต่ถ้าเป็นความเป็นจริง หนูว่าอาจจะมีพลังอีกหลากหลายรูปแบบ พลังจากความผิดหวัง-ความเสียใจที่เราได้รับ เราสามารถแปรเปลี่ยนเอามาเป็นพลังให้ชีวิตได้ อยู่ที่ว่าเราจะคิดกับมันยังไง
 

ถ้าเป็นเรื่อง “อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว” ได้แสดงเป็นแม่มดซนๆ ถึงตัวละครจะดูน่ารักๆ ออกแนวคอมเมดีหน่อย แต่จริงๆ แล้วก็ทำให้คิดได้เยอะเหมือนกันนะคะ ได้เรียนรู้เรื่องความจริงใจค่ะ เพราะละครแนวคอมเมดีไม่ใช่แค่ต้องเล่นให้ตลก แต่เราต้องพยายามรู้สึกกับมันจริงๆ มาจากข้างใน เวลาตัวละครรู้สึกอะไร ตัวนี้ก็จะบอกออกมาเลยว่าฉันเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วไม่พอใจนะ แสดงออกมาโดยไม่ต้องเสแสร้ง โดยเฉพาะสังคมทุกวันนี้ คุณสมบัติแบบนี้ก็อาจจะหายากหน่อย สอนให้แสดงความจริงใจออกมาให้อยู่ในกรอบที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เป็นคนคนหนึ่ง เป็นความจริงใจในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ต้องผ่านการประดิษฐ์เลย หนูว่าคนแบบนี้น่ารักดี
 

เรื่องล่าสุดนี่ยิ่งได้เยอะเลยค่ะ “ลูกไม้หลากสี” ตัวละครเป็นเหมือนเยาวชนทั่วๆ ไปในสังคมเลยค่ะ หนูรู้สึกว่ามันไม่ได้แค่สะท้อนสังคมนะ ขนาดตัวหนูเอง หนูเล่นเอง หนูอ่านบท เห็นนางเอกพูดกับพ่อแม่อย่างนี้แล้วพ่อแม่เสียใจ มันทำให้กลับมามองตัวเองเลยว่า เฮ้ย! เราก็เคยพูดแบบนี้เหมือนกันนี่ แม่ก็ต้องเสียใจเหมือนกันใช่ไหม
 

อย่างเวลาเราเถียงออกไปโดยคิดว่าความคิดของเราถูก แต่บางทีเราลืมคิดไปว่า ความรู้สึกของคนที่รับฟัง ความรู้สึกของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ก็เจ็บปวดเหมือนกัน มันทำให้หนูกลับไปย้อนดูตัวเองว่าหนูเองไม่ควรทำแบบนี้ แล้วถ้าเกิดหนูเล่นให้ดี เล่นให้ทุกคนเข้าใจ เด็กๆ รุ่นหนูก็ต้องเข้าใจเหมือนกัน
 

สะท้อนสังคมขนาดนี้ แต่ก็ยังถูกมองบ่อยๆ ว่าละครเป็นเหมือนนิยายประโลมโลก
มันก็แล้วแต่มุมมองคนนะ แต่หนูมองว่าละครทุกเรื่องให้อะไรกับสังคมค่ะ เวลาที่เราดูชีวิตในละคร เราก็จะสะท้อนเห็นชีวิต เมื่อเราเห็นชีวิต เราก็จะรู้ว่าชีวิตเขาเป็นยังไงและสะท้อนชีวิตเราแบบไหน การที่คนบางส่วนอาจจะมองว่าละครเป็นแค่สิ่งประโลมโลก คงเป็นเพราะเขายังไม่เปิดใจรับหรือเขายังไม่ได้ตั้งใจดูสิ่งที่ละครต้องการจะนำเสนอมากกว่า

หนูยังเชื่อเสมอว่าสิ่งที่ทำอยู่มีคุณค่า มีประโยชน์แน่นอน แค่กับตัวหนูเอง เวลาอ่านบท-เล่นละครเรื่องนึง มันยังสะท้อนให้เห็นหรือเปลี่ยนแปลงทัศนคติได้หลายๆ อย่างเลย หนูก็เชื่อว่าคนที่ได้ดู ถ้าเปิดใจกว้างจริงๆ เขาต้องได้อะไรจากละครแน่นอนค่ะ อย่าไปเหมารวม หนูไม่ได้บอกว่าละครทุกเรื่องดีทั้งหมด อาจจะมีส่วนที่ไม่ดี ส่วนที่ไม่เหมาะสมบ้าง เราก็ดูว่ามันไม่ดียังไง ไม่เหมาะกับชีวิตเราตรงไหน มันอยู่ที่คนดู อยู่ที่ผู้รับมากกว่า



นักแสดง หรือ ดารา
เป็นนางเอกเต็มตัวครั้งแรกก็ดังเปรี้ยงปร้าง มาแสดงละครก็เป็นที่นิยม คิดว่าตัวเองโชคดีไหม?
มีคนมาพูดกับหนูประโยคนี้บ่อยมากค่ะ ยังอายุน้อยอยู่เลยก็ได้เป็นนางเอกแล้ว คนอื่นจะคิดว่าหนูดวงดี โชคดี ซึ่งจริงๆ แล้วหนูรู้สึกว่ากว่าหนูจะได้มา มันไม่ใช่ง่ายๆ อย่างที่คนอื่นมองเลยนะ หนูต้องไปนั่งแคสต์งาน เคยไปมา 6-7 งานติดๆ กันแล้วไม่ได้เลยก็มี ต้องไปแข่งกับคนเป็นร้อยๆ เด็กแคสต์งานจะรู้เลยว่ากว่าจะได้แต่ละงานมันลำบากจริงๆ
 

หนูเริ่มไปแคสต์หน้ากล้องตั้งแต่ตอนประมาณ ป.5-ป.6 ได้ค่ะ แต่ช่วงนั้นก็ไม่ได้จริงจังมาก เล่นบ้าง-ไม่เล่นบ้าง ก็ไม่ได้ซีเรียส แต่พอเริ่มโตขึ้น ก็แคสต์เยอะขึ้น แล้วมันก็ไม่ได้มีแค่เราแล้ว ยังมีคุณพ่อคุณแม่อีกที่คอยเป็นกำลังใจ เวลาผิดหวังแต่ละทีมันก็ไม่ได้เสียใจแค่เราแล้ว ยังมีพ่อกับแม่ที่ความรู้สึกเขาจะมากกว่าเราเป็นไหนๆ เวลาเห็นแววตาคุณแม่ตอนมีคนโทร.มาบอกว่า ไม่ได้อีกแล้วนะ แม่ก็จะหันมาแล้วแบบว่า (ทำหน้านิ่งๆ) เฟิร์นหยุดปะ พอไหม แม่เป็นห่วงเรา เราก็ยิ่งสะเทือนใจ แต่ก็ต้องบอกว่าเฟิร์นยังไม่อยากพอเลยแม่ เฟิร์นยังอยากลองอีก แม่ก็สู้นะ ไปนั่งรอเป็นเพื่อนหนูตลอด เรายิ่งต้องพยายามมากขึ้นไปอีก พอผลประกาศออกมาว่าเราไม่ได้อีกแล้ว ก็ต้องหันไปมองหน้าแม่แล้ว แม่จะเป็นยังไงบ้างเนี่ย

รู้มาว่าเคยเป็นนักยิมนาสติกมาก่อนด้วย งานในวงการทำให้เราทิ้งความฝัน?
(ส่ายหน้า) หนูเลิกเป็นนักยิมนาสติกก่อนที่จะเข้าวงการนะ เพราะว่ามันไม่ใช่ความฝันของเฟิร์น มันเป็นความหวังดีของแม่มากกว่า (ยิ้มบางๆ) เพราะแม่คิดว่าการเป็นนักกีฬามันจะช่วยเรื่องโควตา ช่วยให้ได้มีโอกาสดีๆ เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ตอนนั้นหนูใช้ชีวิตช่วงเย็น หลังเลิกเรียนทุกวันอยู่ในโรงยิม และยิมนาสติกเป็นอะไรที่เจ็บมาก (เน้นเสียง) ร้องไห้จะตายอยู่แล้ว ครูยังไม่ปล่อยเลยค่ะ ครูก็ดัดแข้งดัดขาเรา มีความสุขของครูไป หนูก็ร้องไห้ไป (หัวเราะ)
ฝึกนานแค่ไหนแม่ก็ไปนั่งเฝ้า หนูก็เลยทุ่มเททุกอย่างให้กับมัน และยิมนาสติกเป็นกีฬาที่ค่าใช้จ่ายสูง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้าแพงๆ ถึงวันหนึ่งยิ่งเราไม่ได้ชอบมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เราเลยยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่
 

แต่หนูเป็นเด็กขี้เห่ออะค่ะ อะไรใหม่ๆ มาหนูชอบจะเรียนรู้ตลอด แล้วยิ่งพอทำได้ดี เราก็ยิ่งตั้งใจ ใส่ใจ ซ้อมหนัก แม่ก็เอาแล้ว ลูกฉันใช่แน่ นักกีฬา ครูก็บอกว่ามีพรสวรรค์ มาถูกทางแล้ว แม่ก็เลยยิ่งส่งเสริมเข้าไปอีก หนูเอง พอมีคนชมก็มีความสุข เหมือนกับเด็กที่สนุกกับการได้เล่นนู่นเล่นนี่ไป พอวันหนึ่งความฝันมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าสิ่งนี้มันไม่ใช่ ก็ต้องบอกแม่ แม่ร้องไห้เลยค่ะ เพราะเขาคาดหวังมาก รู้สึกผิดจนถึงวันนี้เลย (น้ำเสียงของเธอบ่งบอกความรู้สึกชัดเจน) หลังจากนั้น พอมีโอกาสได้ลองแสดง เล่นละครเวทีตอนเด็กๆ ก็เริ่มรู้สึกว่ามันใช่ ค้นพบว่ามันคือความสุขของเราจริงๆ
 

แล้วมองยังไงกับวัยรุ่นที่อาจจะไม่ได้ชัดเจนว่ารักการแสดงเหมือนเรา แต่แค่อยากเข้าวงการ?
มองยังไงเหรอคะ (น้ำเสียงอ่อนลง) หนูว่าใครๆ ก็สามารถเป็นดาราได้ แต่การจะเป็นนักแสดง มันต่างกันนะ อย่างตัวหนูเอง หนูไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นดารา แต่รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักแสดง เพราะการเป็นดารามันเป็นอะไรที่ไม่ยั่งยืน เป็นแค่ความนิยมชั่วครู่ แต่นักแสดงเป็นอีกหน้าที่หนึ่งของหนู นอกจากการมีหน้าที่เป็นนักศึกษา หน้าที่ของลูก หน้าที่นักแสดงก็ต้องมีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา มีระเบียบวินัย
 คุณอย่าเข้ามาถ้าคุณคิดว่าอยากจะเข้ามาเพื่อเป็นดารา ถ้าคิดแบบนั้น คุณอาจจะเข้ามาได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วก็ออกไปให้คนเรียกว่าเป็นดารา แต่ถ้าคุณเป็นนักแสดง มันก็จะเป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่คุณต้องรับผิดชอบและทำมันออกมาให้ดี ถ้าคุณทำได้ดี คุณก็จะเป็นนักแสดงที่ดีและอยู่ในวงการนี้ได้นานๆ แม้ว่าคนอื่นจะมองคุณว่าเป็นดาราก็ตาม
 
หนูว่าการจะเป็นนักแสดงมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องใจรักจริงๆ บางทีต้องมารอเป็นวันๆ กว่าจะได้ถ่ายสักซีน บางซีนต้องถ่ายนานมาก ช่วงละครออนแอร์ ไม่ได้นอน ไม่ได้เรียนเลย 2 อาทิตย์ก็มี ต้องอยู่กองถ่ายตลอด เพราะเราต้องถ่ายไปออนแอร์ไปด้วย นอนรอบท ถ่ายบ่ายนั้น และคืนนั้นออนแอร์เลย มันโหดมาก (ยิ้มเนือยๆ) ห้ามตาย ห้ามป่วย ห้ามอะไรทั้งสิ้น ของแบบนี้อยู่ที่ใจรักจริงๆ ค่ะ ต้องถามว่าคุณมีใจรักหรือเปล่า ก็เหมือนอย่างอาชีพอื่น ถ้าคุณจะไปทำ คุณก็ต้องรักอาชีพนั้นจริงๆ คุณถึงจะทำมันออกมาได้ดี ไม่อย่างนั้นคุณก็จะแค่มาแป๊บๆ ได้ในสิ่งที่คุณต้องการ หรืออาจจะยังไม่ทันได้ด้วยซ้ำ คุณก็หมดความอดทนก่อนเพราะไม่มีแรงใจอะไรจะไปสู้กับอุปสรรคที่เข้ามา
 

ความรู้สึกแบบไหนที่ช่วยให้เราฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ทุกวันนี้?
หนูรู้สึกว่าหนูมีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านบท ได้แสดง ทุกครั้งที่เล่นจบ ไม่ว่าจะเป็นซีนดรามาหรืออะไรก็ตาม จะรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำ การแสดงมันคือการเล่นออกมา คำว่าเล่น เราก็ต้องมีความสนุก มีความสุขที่จะเล่น และการที่จะได้เล่นในสิ่งที่หนูรักแบบนี้ไปเรื่อยๆ แปลว่าหนูต้องทำมันออกมาได้ดี มีคนยอมรับด้วย
เวลาหนูได้เล่นเรื่องหนึ่งแล้ว หนูจะไม่รู้สึกเหนื่อยกับสิ่งที่ทำเลยค่ะ เพราะกว่าที่หนูจะได้มาแต่ละอย่าง หนูว่าหนูได้มายากนะ กว่าจะไปแคสต์งานแต่ละครั้ง กว่าจะได้หนังมาสักเรื่องหนึ่ง กว่าจะถ่าย กว่าคนจะชอบ กว่าคนจะรัก กว่าคนจะยอมรับจนทุกวันนี้ หนูรู้สึกว่าได้มายาก แล้วถ้าเกิดแค่นี้หนูเหนื่อยแล้วหนูต้องเสียทุกสิ่งที่หนูทำมา ตื่นเช้ามา พอคิดแบบนี้ คิดว่ากว่าจะมีวันนี้ หนูหายเหนื่อยเลย คิดว่าจะทำยังไงให้ดีให้ได้โอกาสที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองรักต่อไปเรื่อยๆ ดีกว่า
 

เฟิร์นเชื่อว่าทุกคนสามารถเป็นในสิ่งที่อยากเป็นได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเขาอยากเป็นนักแสดงหรือดารา เขาก็เป็นได้ อยู่ที่ความเหมาะสม ความตั้งใจ ถ้าตั้งใจทำเต็มที่แล้ว หนูก็เชื่อในความฝันของทุกคน ไม่อยากให้ใครทิ้งความฝัน เธอเป็นไม่ได้หรอกดารา เขาอยากเป็นกันตั้งเยอะตั้งแยะ (ทำน้ำเสียงเลียนแบบคนอื่น) เฟิร์นจะไม่พูดอย่างนั้น เพราะความฝันคือสิ่งที่ทำให้เราทำความจริงทุกวันนี้ให้ออกมาดีที่สุด เพื่อที่จะไปถึงความฝัน และชีวิตเขาก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ เหมือนอย่างที่หนูบอกว่าอยากให้เอาอะไรสักอย่างมาเป็นพลังทำให้ชีวิตดี พลังของความฝันก็เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่ง และถ้าเขาเข้ามาในวงการนี้ได้ หนูก็อยากให้รักษาโอกาสตรงนี้ให้ดีที่สุด คิดแบบหนูก็ได้ค่ะ คิดว่าในเมื่อมันไม่ได้ได้มาง่ายๆ ก็จะทำให้เราอยากจะรักษาสิ่งที่เรามีอยู่ให้ดีที่สุด

อย่างทุกวันนี้ คนอื่นก็อาจจะมองว่าก้าวของหนูก็เป็นแค่ก้าวเล็กๆ เหมือนกัน ถ้าเทียบกับคนในวงการคนอื่น ยังมีคนที่ดังกว่า โตกว่าอีกเยอะ แต่สำหรับหนู ถึงมันจะเป็นก้าวเล็กๆ แต่มันก็เป็นก้าวที่กว่าจะได้มาก็ยาก และถ้าหนูอยากจะมีก้าวต่อไปที่มั่นคง ที่ดีขึ้น หนูก็ต้องรักษาก้าวเล็กๆ นี้เอาไว้ และทำก้าวเล็กๆ นี้ให้ดีที่สุดก่อน อยากให้ทุกคนคิดแบบนี้ค่ะ และทำทุกวันนี้ให้มันดี จะได้มีความฝันที่ดีและได้ความฝันมาอย่างที่ต้องการ




 

---ล้อมกรอบ---
ใจบุญเหมือนคุณแม่
นอกจากจะเป็นนางเอกในจอแล้ว เฟิร์นยังเป็นนางเอกนอกจอด้วย เพราะติดนิสัยใจบุญมาจากคุณแม่ซึ่งเป็นนักสังคมสงเคราะห์

ปกติหนูจะนิสัยเหมือนคุณพ่อนะ คุณพ่อขี้เล่น ขี้อำ ขี้แกล้ง ส่วนคุณแม่จะเป็นคนที่ขำอะไรก็จะตามไม่ทัน (พูดไปยิ้มไปอย่างเอ็นดู) เป็นคนซีเรียส จริงจัง แต่นิสัยที่ได้มาจากคุณแม่คือ คุณแม่เป็นคนรักสัตว์มากค่ะ แล้วก็จะชอบช่วยเหลือคนอื่น ใจกว้างมากๆ บางทีหนูยังคิดเลยว่า โห! แม่ทำได้ยังไง
คุณแม่จะทำงานเกี่ยวกับช่วยเหลือเด็กผู้หญิงที่โดนข่มขืน เป็นโรคเอดส์ เป็นนักสังคมสงเคราะห์ประจำเขต คุณแม่ก็จะต้องออกพื้นที่ดูว่าใครมีความเป็นอยู่ที่แย่ยังไงบ้าง คุณแม่ก็จะเข้าไปพูดคุย ช่วยด้านจิตวิทยาด้วย หนูเองก็เคยไปกับคุณแม่เหมือนกันค่ะ คุณแม่ชวนให้ไปดูน้องๆ ที่ถูกข่มขืน เอาตุ๊กตาไปเยี่ยม เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งไป

จริงๆ แล้วหนูเคยไปตั้งแต่ตอนเด็กๆ เลยค่ะ ทุกครั้งที่หนูได้เงินมาจากอะไรก็ตาม แม่จะให้แบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้ปล่อยสัตว์ ปล่อยปลาด้วย เพราะเหมือนเราได้งาน ได้เงินมา เราก็ควรช่วยชีวิตคนอื่นบ้าง แล้วทุกวันบนโต๊ะอาหาร คุณแม่ก็จะเล่าให้ฟังตลอดว่า เธอรู้ไหมว่าวันนี้คนไข้ฉันเป็นยังไงบ้าง อยากให้เฟิร์นรู้ตลอด พูดถึงเรื่องเลือดเรื่องป่วยเต็มไปหมด หนูก็แซว โหย! แม่ จะกินลงไหมเนี่ย (ยิ้มเหมือนเด็กดื้อ) ก็จะถูกแม่ตอบกลับตลอด แหม...แค่นี้ทำเป็นกินไม่ลง รู้ไหมชีวิตเธอมันสบายแค่ไหนแล้ว คนอื่นเขาลำบากกว่าเธอแค่ไหน
 

หนูจะโดนเทศน์มาตั้งแต่เด็กจนโตเลย ซึ่งมันก็ดีนะ ทำให้หนูรู้สึกว่าชีวิตเราทุกวันนี้มันสบายมาก อยากจะกินอะไรก็ได้กิน อยากทำอะไรก็ได้ทำ แต่ชีวิตคนอื่นเขาลำบากกว่าเราอีกเยอะ เยอะมากๆ (ย้ำอีกครั้ง) แล้วเด็กที่คุณแม่พาไปเยี่ยม น้องบางคน 6-7 ขวบก็ถูกข่มขืน ยังเด็กมากๆ จริงๆ โห! ชีวิตน้องต้องเจอกับอะไรบ้างก็ไม่รู้

เราเองก็พยายามไปช่วยพูดคุยกับน้อง แต่จะไม่พูดถึงเรื่องนั้น ก็ไปคุยเล่นกับน้องว่าดีขึ้นหรือยัง เอาตุ๊กตาไปให้ บอกเดี๋ยวได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ น้องก็ดีใจ เห็นเราเขาก็จำได้ เรียกพี่ใบเฟิร์น น้องเขาก็มีกำลังใจค่ะ (ยิ้มกว้าง) บางทีก็ไปที่ทำงานคุณแม่ ไปแวะเยี่ยมผู้สูงอายุด้วย พอเราไป คุณป้าคุณน้าเขาก็จะดีใจ คุยกับเราน่ารักมากค่ะ บอกน้องเฟิร์น ละครสนุกมาก (ยิ้มเย็นๆ) เราก็ไปให้กำลังใจเขาค่ะ ทำเท่าที่ทำได้ ว่างเมื่อไหร่ก็ไปค่ะ”



 
คำถามที่เบื่อที่สุด
ขึ้นชื่อว่าเป็นดารา-นักแสดง ก็ต้องเจอกับนักข่าวเป็นประจำ ต้องถามและตอบกันอยู่อย่างนั้นจนอาจเบื่อหน้ากันไปไปข้างหนึ่งเลยก็มี เมื่อถามว่าตัวเธอเองเบื่อคำถามไหนมากที่สุด เธอนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งแล้วบอกว่า ถ้าเป็นช่วงหลังๆ นี้คงหนีไม่พ้นคำถามที่ว่า “ทำศัลยกรรมมาหรือเปล่า?” นั่นเอง
“บางทีก็แอบอยากให้ถามคำถามอื่นเหมือนกันนะ (หัวเราะแก้เก้อ) ถามว่าเฟิร์นเรียนเป็นยังไง ช่วงนี้ทำงานเหนื่อยไหม แต่ก็เข้าใจค่ะ แต่ก่อนตอนดูข่าว ตอนที่ยังไม่ได้เข้าวงการ ก็จะเห็นพี่ๆ ในวงการถูกถามด้วยประโยคเดียวกันนี่แหละ ศัลยกรรมหรือเปล่า ก็คงเป็นเรื่องธรรมดาเนอะ บวกกับเราอาจจะไม่ได้เห็นหน้ากันนาน เห็นอีกทีก็หน้าเปลี่ยนแล้ว แต่หนูว่าหนูก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากนะ บางคนบอกขาวขึ้น คงเพราะหนูไม่ได้มีงาน หนูอยู่มหาวิทยาลัยตลอด ไม่ได้ทำอะไร ออกงานแต่ละครั้งก็ชุดไม่เหมือนกัน อาจจะดูหน้าเปลี่ยนไป เฟิร์นเป็นคนที่ถ้าเปลี่ยนทรงผม แต่งหน้าเข้มหน่อย ก็จะกลายเป็นอีกคนแล้ว แต่งหน้าอ่อนก็เป็นอีกคนนึง

แต่จริงๆ แล้วหนูมองเป็นเรื่องธรรมดานะกับคำถามนี้ มันคงเป็นข่าวที่คู่กับวงการบันเทิงบ้านเราไปแล้วค่ะ เป็นเรื่องปกติ ก็ดีกว่าพี่ๆ เขาไม่ถามอะไรหนูเลย (ยิ้มกว้างอย่างไม่มีอะไรแอบแฝงจริงๆ)”
 

อีกหนึ่งคำถามที่ฮอตฮิตไม่แพ้กันคือเรื่องหัวใจ โดยเฉพาะข่าวคราวว่า “แอบคบคนนอกวงการ” เรื่องนี้เธอให้คำตอบอย่างชัดเจนเอาไว้ว่า “ถ้ามีแฟนจริงๆ หนูก็ต้องดูว่าหนูแน่ใจแค่ไหน ถ้าเกิดแน่ใจเมื่อไหร่ก็คงบอกค่ะ แต่หนูชอบข่าวประเภทข่าวจิ้นนะ ข่าวจับคู่กันเองระหว่างพระเอกกับนางเอก หนูว่ามันช่วยโปรโมตละครดีค่ะ จับคู่เฟิร์นกับพี่บอส พอเป็นข่าว คนก็จะได้มาถามเราว่าจริงหรือเปล่า เราจะได้ตอบไปว่านี่เรื่องลูกไม้หลากสีนะ อาจจะทำให้คนอยากดูละครขึ้นมานิดนึง เผื่อเรตติ้งจะได้ดีขึ้น (หัวเราะ)”

ส่วนเรื่องสเปกนั้น เธอทิ้งท้ายสั้นๆ เอาไว้ว่า “ไม่มีเรื่องหน้าตาเลยค่ะ แต่ชอบผู้ชายที่ดูสุภาพ คุยเก่ง ดูฉลาด ก็พอแล้ว” หนุ่มๆ ทั้งหลาย ทราบแล้วเปลี่ยน!



 
อนาคต...ผู้กำกับสาวมั่น
เห็นมุ่งมั่นกับเบื้องหน้าขนาดนี้ ใจจริงลึกๆ แล้วใบเฟิร์นก็แอบสนใจงานเบื้องหลังอยู่มากๆ เช่นกัน ถึงกับวาดฝันเอาไว้ว่า อยากเป็น “ผู้กำกับ” เลยทีเดียว
 

“หนูรู้สึกว่าผู้กำกับเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่และได้ทำอะไรเพื่อสังคมมากๆ ขนาดเราเป็นนักแสดงตัวเล็กๆ ในเรื่องนี้ ยังได้รับบทบาทให้มีส่วนเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนในสังคม ผู้กำกับเป็นเหมือนคนที่ต้องวางทุกอย่างเอาไว้และควบคุมมันออกมาให้ดีที่สุด มันเป็นหน้าที่ที่สำคัญและน่าภูมิใจมาก
 

ถามว่ายากเกินไปไหมสำหรับผู้หญิงเล็กๆ คนหนึ่งกับหน้าที่นี้ เธอตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดว่า “ไม่มีอะไรยากเกินไปเลยค่ะสำหรับเฟิร์น ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย หนูว่าทำได้เหมือนกันหมด อยู่ที่ว่าเราจะทำได้แค่ไหน ถ้าเราบอกตัวเองว่ามันจะเป็นไปได้ไหม มันก็คงเป็นไปได้ยากตั้งแต่แรก ก็อยากให้ทุกคนเชื่อว่าทุกอย่างมันเป็นไปได้ ถ้าตั้งใจจะทำและพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น วันหนึ่งก็น่าจะทำได้ค่ะ
เฟิร์นเป็นคนจริงจังมากนะ อย่างงานที่มหาวิทยาลัย เวลาทำอะไรก็ต้องเป๊ะนะ ต้องตรงเวลา เพื่อนก็จะบ่นว่า โอ๊ย! จะซีเรียสไปไหนเนี่ย มุมมองเพื่อนกับเราก็จะต่างกัน เพราะเขาอาจจะไม่ได้ทำงานเหมือนเรา ไม่เห็นความสำคัญว่าเวลาชั่วโมง 2 ชั่วโมงที่เขาเลทไป เสียอะไรไปบ้าง
 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เอาไว้ จึงปล่อยให้เธอทิ้งท้ายให้วัยเดียวกันได้คิดเสียหน่อย “เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่าวัยรุ่นไทยส่วนใหญ่ขาดวินัยค่ะ แต่เฟิร์นว่าจริงๆ แล้วคนไทย เด็กไทย เป็นเด็กที่ฉลาดนะ มีน้ำใจ หัวไว ทุกอย่างเรามีพร้อมหมดแล้ว เหลือแค่การจัดระเบียบชีวิต ถ้าทุกคนรู้จักหน้าที่ของตัวเองและทำมันให้ดี ประเทศชาติก็จะพัฒนาไปได้เยอะเลย

ตัวหนูเอง ทุกวันนี้ก็คาดหวังว่าจะได้ทำในสิ่งที่หนูรักต่อไปเรื่อยๆ เท่าที่มันจะมีโอกาสให้หนูทำได้ เล่นละคร เล่นหนัง แสดงละครเวที ถ้าวันหนึ่งหนูไม่ได้ทำหน้าที่แสดงอยู่เบื้องหน้าแล้ว หนูก็คงอยู่เบื้องหลัง อยู่ข้างๆ มัน เพราะมันคือสิ่งที่หนูค้นพบแล้วว่าหนูรักมัน ชอบที่จะวิเคราะห์บท ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดงแล้ว ก็ขอเป็นอะไรก็ได้ที่ยังผูกติดกับความเป็นละครต่อไปค่ะ” เธอประกาศเจตนารมณ์เอาไว้อย่างชัดเจน



 
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล: ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์
วันเกิด: 30 ก.ย.2535
ส่วนสูง: 165 ซม.
น้ำหนัก: 45 กก.
การศึกษา: นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการแสดงและการกำกับการแสดง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ความสามารถพิเศษ : เล่นเปียโน, วาดรูป
ผลงานสร้างชื่อ: ภาพยนตร์เรื่อง “สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก”, ละครเรื่อง “อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว”
ฉายา: ไอ้เหน่ง ไอ้เถิก (หัวเถิกตอนเด็กๆ) ไอ้โก่ง (ขาโก่ง)

ภาพโดย... ศิวกร เสนสอน
ขอบคุณภาพบางส่วน: เฟซบุ๊ก Pimchanok.Luevisadpaibul













เซ็กซี่นิดๆ ใน In Magazine



ครอบครัวพร้อมหน้า
พบปะแฟนคลับจีน
ภาพยนตร์ที่ทำให้แฟนคลับล้นทะลัก
สนิทสนมกับแฟนคลับ
กำลังโหลดความคิดเห็น