xs
xsm
sm
md
lg

วิพากษ์.. เหลิม กุมารทองคะนองศึก VS สมจิตต์ ศิษย์เจ็ดสี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไม่ใช่ครั้งแรกแต่ก็แรงไม่แพ้ครั้งใด วิวาทะแสบทรวง แลกหมัดอย่างดุเดือดระหว่างนักข่าวผู้คร่ำควอดในแวดวงการเมือง 'สมจิตต์ นวเครือสุนทร' จากช่อง 7 กับนักการเมืองผู้ทรงเกียรติผู้ครองตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี 'ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง' การยิงคำถามที่แรงและตรงประเด็นของเธอ มาเจอลีลาตอบคำถามแบบไม่ไว้หน้าใครของเขา ทำเอาวงแตกจนท่านรองฯ เหวี่ยง! ประกาศกร้าวงดให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทุกสังกัด

เรื่องของเรื่องนั้นเกิดขึ้นเมื่อวัน 15 พ.ย. ที่ผ่านมา บริเวณรัฐสภา ระหว่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลายสำนัก ขณะเดียวกันนักข่าวดอกไม้เหล็กจากวิกหมอชิตก็รัวยิงคำถามเกี่ยวกับเรื่อง พ.ร.ฏ. อภัยโทษ มุ่งประเด็นที่ประชาชนควรได้รับรู้เป็นเวลาหลายนาที สองฝ่ายโต้ตอบกันอย่างทันควัน

การะปะทะคารมณ์เริ่มร้อนแรงขึ้น รองนายกฯ เริ่มกล่าวหา สมจิตต์ ว่าฝักใฝ่ประชาธิปัตย์ ด้านนักข่าวก็ย้อนแย้งโดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม

ร.ต.อ.เฉลิม : 'ฝักใฝ่ประชาธิปัตย์' มากเกินไปถึงเป็นอย่างงี้
 
สมจิตต์ : ท่านกล่าวหาแบบนี้หนูฟ้องท่านได้
 
ร.ต.อ.เฉลิม : ให้นักข่าวสาวคนดังกล่าวไปฟ้องร้องที่ สน.ดุสิตได้

สมจิตต์ : ถ้าการที่ท่านกล่าวหาหนูว่าฝักใฝ่ประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การหมิ่นประมาท แล้วถ้าหนูเรียกท่านว่า 'ขี้ข้าทักษิณ' จะเป็นการหมิ่นประมาทหรือไม่

ร.ต.อ.เฉลิม : อย่างนี้หมิ่นประมาท

สมจิตต์ : ถ้าอย่างนั้นท่านก็สามารถใช้สิทธิแจ้งความที่ สน.ดุสิตได้เหมือนกับที่แนะนำให้หนูไปทำ

ต่อมาแว่วเสียง ร.ต.อ.เฉลิม ถึงกับประกาศกร้าวกลางทำเนียบรัฐบาล ของดสำให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนหากมีนักข่าวสังกัดช่อง 7 ผู้นี้อยู่ในกลุ่ม

ไอ๊ยะ! เข้าข่ายลิดรออดสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนเต็มๆ เกิดคำถามจากสื่อมวลชน นักวิชาการ และภาคประชาชนว่า ท่านรองผู้นำประเทศเหตุใดถึงขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ริดรอนสิทธิเสรีภาพผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน

ตำแหน่งสูงไม่ได้แปลว่า 'อีคิว' จะสูงไปด้วย
การแสดงออกถึงความไม่พอใจนักข่าว ช่อง 7 กระทั่งพาลงดตอบคำถามสื่อทุกสังกัด ดูจะสร้างภาพลักษณ์ด้านลบให้ท่านรองฯ เสียจนหมดความน่าศรัทธา บวกกับพฤติกรรมการให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมาก็แสดงความกร่างกลายๆ ผ่านสื่อหลายต่อหลายครั้ง

สอบถามไปยังนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ รศ.ตระกูล มีชัย อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านได้วิพากษ์ถึงพฤติกรรมงดให้สัมภาษณ์ต่อสื่อฯ ของบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งบริหารประเทศ

“คุณเฉลิมเป็นผู้บริหารประเทศ เป็นระดับรองนายกรัฐมนตรี คนที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีคุณมีภาระหน้าที่ในการบริหารประเทศ ขณะเดียวกันคุณก็มีหน้าที่ในการอธิบายให้ประชาชนได้รู้ว่าคุณทำอะไรในเรื่องอะไร ส่วนสื่อมวลชนทำหน้าที่ของเขา สื่อจะเป็นฝ่ายไหนก็แล้วแต่เขาก็มีสิทธิที่จะสอบถามข้อมูลเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ ฉะนั้นผู้ที่ทำหน้าที่บริหารประเทศคุณไม่มีสิทธิที่จะเลือกกลุ่ม

“คุณเฉลิมต้องปฏิบัติต่อสื่อทุกสำนักอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าสื่อนั้นจะเป็นฝ่ายสนับสนุนตนหรือเป็นฝ่ายตรวจสอบตนอยู่ คุณต้องให้ศักดิ์ศรีของความเป็นสื่อเท่าเทียมกันอย่างจำแนกแยกแยก อย่าเอาตัวเองเป็นตัวตั้งว่าคนนี้ได้เรื่อง คนนี้ไม่ได้เรื่อง คุณไม่ใช่ผู้ตัดสินเพราะไม่ใช่หน้าที่ของคุณ”

วิเคราะห์ถึงพฤติกรรมท่าทีที่ ร.ต.อ.เฉลิม ทั้งการแสดงออกท่าทีหรือการกล่าวหาว่าสื่อมวลชนอิงพรรคการเมืองใด นั้นเป็นสิ่งที่ที่ไม่ควรพูดอย่างยิ่งโดยเฉพาะคนระดับผู้บริหารประเทศควรยับยั้งคำพูดคำจาบ้าง

“สื่อทำหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริง คุณจะพอใจหรือไม่พอใจอย่างไรก็ต้องตอบ สิ่งที่คุณเฉลิมแสดงท่าทีผมคิดว่าเป็นความผิดพลาดซึ่งไม่ควรทำอย่างยิ่ง”

รศ.ตระกูล กล่าวว่า บุคคลระดับผู้บริหารประเทศที่ดีต้องกำหนดท่าทีของตัวเอง กำหนดบทบาทของตัวเองให้ถูกต้อง หากไม่มีการปรับท่าทีความน่าเชื่อถือในสถานะของผู้นำผู้บริหารประเทศจะเสื่อมถอยลง

รับผิดชอบต่อหน้าที่ รักษ์ศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพ
“วันนี้สื่อมวลชนจะต้องมีความอดทนสูงสำหรับการทำข่าว ทำข่าวด้วยความรับผิดชอบ บางครั้งการทำข่าวอาจกระทบกระทั่งกับคนนู้นบ้างคนนี้บ้าง ผู้สื่อข่าวจะต้องอดทน วันนี้งานของใครก็ทำงานของตัวเอง ผู้สื่อข่าวมีหน้าที่รายงานข่าว การทำงานพยายามอย่าให้เกิดการปะทะกัน” คำกล่าวของ เสด็จ บุนนาค อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

เขายังเปิดใจถึงกรณีงดให้สัมภาษณ์ของ ร.ต.อ.เฉลิม ผู้ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ ว่าการปฏิบัติเช่นนี้นอกจากกีดกัเนสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ยังเป็นการลิดรอนสิทธิการรับรู้ของภาคประชาชน

“ธรรมชาติของสื่อมวลชนไทยจะสัมภาษณ์กันเป็นกลุ่ม จะไปกันเขาไม่ได้ วงการสื่อต้องทำงานด้วยกัน การรายงานข่าวก็เข้าไปสัมภาษณ์ด้วยกัน ถ้าคุณปิดไม่ให้ข่าวกับสื่อแล้วภาคประชาชนก็จะไม่ได้รับข้อมูลนั้นๆ ด้วย มันไม่ใช่ลิดรอนตัวนักข่าวเท่านั้น แต่นั้นหมายถึงโอกาสการปิดกั้นการรับรู้ของประชาชน”

ด้านนักข่าวสาวผู้กำลังถูกจับตามอง ก็เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการปฏิบัติงานผ่านสถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส เอาไว้อย่างน่าภาคภูมิใจในฐานะสื่อมวลชน

“เราไม่หวั่นไหวกับการทำงานในอนาคต เพราะทุกคนมีหน้าที่ หากเราหวั่นไหวเพราะตกอยู่ในความหวาดกลัว สังคมก็คงอยู่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำหน้าที่สื่อมวลชน เรายิ่งต้องหนักแน่นมากกว่าคนอื่นในการทำงาน

“อยากจะบอกกับสังคมว่า ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย และจะไม่มีการทำผิดกฎหมาย หากแต่ละคนมีสติ ยังคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำ ผิดกฎหมายหรือไม่ โทษจะหนักหรือเบา ไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นคือ ไม่มีใครมีสิทธิทำผิดกฎหมาย ส่วนจะตัดสินว่า ใครถูกหรือผิดไม่ใช่ความรู้สึกของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของฝ่ายตุลาการศาลตัดสิน”

บางครั้งความแข็งกร้าวในการทำงานของ สมจิตต์ ในฐานะสื่อที่อาจสร้างความไม่พอใจกับแหล่งข่าวไปบ้าง แต่ข้อมูลที่ได้มานั้นสื่อเองก็เป็นตัวกลางเผยแพร่ต่อสาธารณชนอย่างตรงไปตรงมา อย่างไรก็ตาม รศ.ตระกูล กล่าวทิ้งท้ายถึง การทำงานของสื่อมวลชนว่าบางครั้งอาจเกินขอบเขตไปบ้าง พร้อมกับยกตัวอย่างกลวิธีการทำงานของสื่อในต่างประเทศเพื่ออธิบายภาพการทำงานในวิชาชีพสื่อมวลชน และฝากข้อควรปฏิบัติถึงเหล่าพิราบขาวผู้สยายปีกในสังเวียนข่าว

“นักข่าวบางคนอาจเกินเลยขอบเขตในเรื่องการถาม แต่ถ้าไปเปรียบกับนักข่าวต่างประเทศเขาจะให้เกียรติแก่ผู้ที่ถูกสัมภาษณ์ แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ย่อหย่อนของปมคำถาม จะเจาะให้ได้ข้อมูลที่แท้จริง การให้ความเคารพต่อผู้ที่ให้สัมภาษณ์เป็นสิ่งที่สำคัญ ผู้ถูกสัมภาษณ์ไม่ใช่จำเลย นักข่าวเองต้องเคารพ เคารพในสถานะของแต่ละฝ่าย แต่ไม่ใช่นักข่าวจะอ่อนข้อไม่กล้าถามในประเด็นที่เป็นหัวใจสำคัญ”

…..............................
'ลิ้นกับฟัน' กระทบกระทั่งกันฉันใด 'นักข่าวกับนักการเมือง' ก็คงเป็นไปตามวัฏจักรนั้น วิวาทะเผ็ดร้อนเร้าโทสะเป็นไปได้หรือไม่จะจบลงเมื่อสิ้นสุดประเด็นคำถาม ด้วยความเคารพ..การปฏิบัติงานอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน รู้จักหน้าที่ของตัวเองคงเป็นความอยู่รอดในย่างก้าวของสังคมระบบประชาธิปไตย์

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live



....................................................
 

จดหมายเปิดผนึกจาก สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าว ช่อง 7

ถึง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี


ก่อนอื่นคงต้องขอโทษเพื่อนสื่อมวลชนทุกสังกัดด้วยนะคะ ที่ตัวเองกลายเป็นเงื่อนไขทำให้การทำหน้าที่สื่อมวลชนอาจปฏิบัติได้ไม่เต็มที่ เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ประกาศว่าจะไม่ให้สัมภาษณ์ในวงที่มีสมจิตต์ รวมอยู่ด้วย ซึ่งจะทำให้เพื่อนสื่อพลาดโอกาสในการทำข่าวอย่างที่ไม่ควรจะเป็น

มีประเด็นที่อยากกราบเรียนถึง ร.ต.อ.เฉลิม ดังนี้ ค่ะ
1.ท่านรู้จักหนูมานานถึงขนาดบางครั้งก็หยอกว่าเป็นแฟนกัน และทักทายอย่างเอ็นดูทุกครั้ง(ในอดีต) ท่านเคยแก้ต่างให้หนูใน ครม.ว่านักข่าวคนนี้ตรงไปตรงมา ไม่มีนอกมีใน หนูยังรู้สึกขอบคุณท่านที่เข้าใจการทำหน้าที่ของสื่อ และอยากบอกว่านักข่าวที่ท่านเชื่อว่าเป็นคนตรงไปตรงมา ยังคงทำหน้าที่เหมือนเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าท่านจะกรุณามองย้อนกลับไป หนูเชื่อว่าท่านจะเข้าใจเหมือนที่ท่านเคยเข้าใจ เพราะเราไม่ใช่ศัตรูกัน เพียงแต่มีหน้าที่ต่างกันเท่านั้นเอง

2.แม้ว่าหนูจะเป็นสื่อมวลชนแต่อีกสถานะหนึ่งหนูก็คือประชาชนที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลที่มีท่านเป็นรองนายกรัฐมนตรี และเป็นรัฐบาลที่ประกาศว่าจะบริหารงานให้กับคนทั้งประเทศอย่างเท่าเทียมกัน การที่ท่านแบ่งแยกหนูจนไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ และยังกระทบไปถึงสื่ออื่นด้วยนั้น ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง

3.นักการเมืองกับนักข่าวก็เหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า พวกเราหาข่าวจากท่าน ส่วนท่านก็ใช้สื่อมวลชนในการสื่อสารกับประชาชน สิ่งที่ท่านทำจะทำให้รัฐบาลเสียโอกาสในการสื่อสารกับคนไทย ยกเว้นแต่ว่ารัฐบาลของท่านต้องการสื่อสารด้านเดียวโดยไม่พร้อมที่จะให้มีคำถามตรวจสอบ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเราจะเรียกรัฐบาลที่มีแนวคิดเช่นนี้ว่าเป็น "รัฐบาลประชาธิปไตยได้หรือไม่"

4.ท่านทำงานการเมืองมานานย่อมทราบดีว่าสถานการณ์ของบ้านเมืองอยู่ในสภาวะเช่นไร หากท่านมีหัวใจรักประชาชนจริง หนูเชื่อว่าท่านตอบได้ทุกคำถามเกี่ยวกับการดูแลความปลอดภัยให้กับคนไทยไม่ว่าจะออกจากปากนักข่าวคนไหนก็ตาม เว้นแต่ว่าท่านจะกลัวความจริง

5.สิ่งที่อยากเรียนให้ท่านรับทราบคือ คนเป็นสื่อมวลชนเมื่อเห็นแหล่งข่าวอยู่ตรงหน้า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่เข้าไปทำหน้าที่ตั้งคำถามเพื่อหาความจริงให้กับประชาชน ถ้าหนูพบท่านก็ต้องทำหน้าที่ แล้วท่านจะไม่ทำหน้าที่ของตัวเองหรือคะ

ท้ายนี้หนูกราบขอบพระคุณที่ครั้งหนึ่งท่านเคยเข้าใจการทำหน้าที่สื่อมวลชนของหนู แม้ว่าในวันนี้ความคิดท่าจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ตาม และขอย้ำอีกครั้งนะคะว่า เราไม่ใช่ศัตรูกัน อย่าผลักหนูไปอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลยนะคะ บ้านเมืองเราแตกแยกมามากพอแล้ว ประชาชน 15 ล้านเสียงที่เลือกพรรคเพื่อไทยเข้ามา ก็หวังที่จะให้พวกท่านช่วยสมานบาดแผลแผ่นดิน สร้างสุข สบายทุกข์ ไม่ใช่แบ่งแยกคนไทย

ข้อมูลจาก : Facebook Mata Vayu (สมจิตต์ นวเครือสุนทร)

กำลังโหลดความคิดเห็น