xs
xsm
sm
md
lg

“จ๊ะ คันหู” ถึง “หนูเอาอยู่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อู้...อ้าา..อู้...อ้าา...."คันหูไม่รู้เป็นอะไร๊ เอาสำลีมาปั่นก็ไม่หาย...” น้ำเสียงเซ็กซ์ๆ เอ็กซ์ๆ เหน่อนิดๆ เป็นเอกลักษณ์ บวกกับลีลาท่าเต้นยั่วยวน ทะลึ่งปนทะเล้น ทำให้ชื่อของ “จ๊ะ-นงผณี มหาดไทย” นักร้องกลางคืนคนนี้โด่งดังชั่วข้ามคืนจากคลิปวีดิโอ “จ๊ะคันหู” ที่เผยแพร่ผ่านทางยูทูบ ซึ่งกลายเป็นคลิปติดอันดับที่มีคนดูมากที่สุดในประเทศไทย ณ วันนี้ก็มียอดคนเข้าชมปาเข้าไปกว่า 17 ล้านวิวแล้ว เรียกว่ามากกว่าศิลปินเกาหลีเสียอีก
 
เธอดังเพราะดวงหรือสังคมชอบอะไรแบบนี้ กระแสของ “จ๊ะคันหู”ปลี่ยนชีวิตของเด็กสาวบ้านนอกจากอ่างทองไปอย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้เธอมีงานโชว์การแสดงตลอดแทบทุกวัน และยังมีค่ายเพลงชวนให้เธอทำอัลบั้มพร้อมกันถึง 2 อัลบั้ม ล่าสุดเธอปล่อยซิงเกิลเพลง “หนูเอาอยู่” ผ่านทางยูทูบขนาดไม่มีภาพมีแต่เสียงร้องกับชื่อเพลงแปะอยู่เท่านั้น เพียงไม่กี่วันก็มียอดเข้าชมพุ่งไปหลักแสน ที่น่าทึ่งคือเธอสามารถเก็บเงินจากการทำงานได้เป็นล้าน และสร้างบ้านด้วยเงินสดให้พ่อแม่อยู่ได้อย่างสบายๆ

เชื่อว่าหลายคนคงอยากรู้แล้วว่าเธอคนนี้มีของดีอะไรถึงได้ดังเร็ว รวยง่าย และเฮงขนาดนี้

“คันหู” ให้ชีวิตใหม่
เพลงคันหูส่งผลกับชีวิตหนูมาก ทำให้ชีวิตหนูดีกว่าเดิม เรื่องรายได้เปลี่ยนแปลงเยอะเลย เรื่องงานก็เปลี่ยนแปลงเยอะ จากค่าตัวครั้งแรกในชีวิตเลยนะ 300 บาท แล้วก็มา 500 บาท พอคลิปคันหูดังขึ้นมาก็ได้ 800 บาท ไปจนถึง2-3 พัน ล่าสุดนี่ได้ 5 พัน ถ้าตอนนี้ก็ถึงหลักหมื่นต้นๆ แล้ว

ช่วงนี้มีเดินสายเล่นคอนเสิร์ตทั่วประเทศเลย มีไปเหนือ แล้วอีกวันลงใต้เลย ไปเกือบทั่วประเทศแล้ว เหลือ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หนูชอบทุกที่ที่ไปนะ เจอคนดูที่ดีกับหนูมากเลย แต่ถ้าพูดถึงสถานที่เที่ยวหนูไม่ได้ไปเที่ยวเลยนะ ไปถึงก็นอนอย่างเดียว เวลานอนหนูก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้ว กลางคืนก็ทำงาน กลางวันก็นอน ไม่ได้เที่ยว

งานก็ถือว่าหนักนะ ส่วนมากจะหนักเรื่องการเดินทาง เวลาร้องเพลงก็ร้องแค่ชั่วโมงเดียว ไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ อย่างไปใต้เดินทาง 10 ชั่วโมง แล้วก็กลับมานอนที่สุพรรณฯ ก็เหนื่อยนะ เพราะหนูไม่ได้นอนที่กรุงเทพฯ หนูอยู่บ้านเช่าที่สุพรรณฯ เพราะว่าเรียนที่นู่น แต่บ้านหนูอยู่อ่างทอง อยู่ห่างกันแค่ 15-20 กิโลฯ ก็กลับบ้านบ่อย ขี่มอเตอร์ไซค์ฟีโน

เรื่องโกอินเตอร์ ถ้ามีให้ไปหนูก็ไปนะ แต่ตอนนี้ยังไม่เคยไปที่ไหนเลย เกิดมาหนูยังไม่เคยคิดว่าจะได้นั่งเครื่องบินเลย แต่ถ้าได้ไปหนูมีปัญหาเรื่องภาษาแน่นอน ภาษาไทยยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย แต่คิดว่าถ้าไปทำงานก็คงมีคนพาหนูไป มีคนดูแล

น้อยใจที่เกิดมาจน
ตอนเด็กๆ ไม่เคยคิดว่าอยากเป็นอะไร หนูเป็นคนอิสระ ชีวิตไม่ได้มีกำหนดว่าอยากเป็นอะไร คนอื่นจะมีว่าอนาคตอยากเป็นครู อยากเป็นอะไร แต่หนูไม่ แต่หนูก็อยากเรียนให้จบนะ ชีวิตหนูไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่อยากมีงานทำ อยากมีบ้าน อยากมีรถ แต่ก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ เพราะเราเกิดมาจากเราไม่มีอะไรเลยนะ บ้านหนูเกิดมายังไม่เคยมีรถยนต์เลย บ้านหนูก็คนจนน่ะ คนบ้านนอก ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีอะไร

บางคนก็อคติว่าเราทำอาชีพเต้นกินรำกิน แต่บ้านหนูก็เป็นลิเก คืออาชีพอย่างนี้ถ้าศิลปินดังๆ แน่นอนว่าเขาต้องรวยแน่ เพราะเงินมันดี แต่คนทำงานอย่างหนู หนูว่ามันไม่รวยนะ ทุกวันนี้ก็ได้เงินแต่ก็ไม่ถึงกับรวย

หนูไม่เคยคิดว่าจะมาถึงจุดนี้นะ ไม่เคยคิดว่าอยากเป็นนักร้อง แต่ที่บ้านหนูเป็นลิเก ก็ไปเล่นลิเกกันตั้งแต่เด็ก ไปกับพ่อกับแม่ และหนูต้องมาร้องเพลงเพราะว่าพ่อหนูไม่สบาย คนที่เป็นเจ้าของวงเขาเป็นเจ้าของปี่พาทย์ลิเก พ่อหนูเป็นหัวหน้าคณะลิเก ก็ทำงานร่วมกัน เขาเห็นหนูประกวดร้องเพลง ก็เลยชวนหนูไปร้องเพลง ก็เริ่มมาจากตรงนั้น แต่หนูก็ไม่ชอบร้องนะ ตอนแรกๆ อาย แกล้งหลับบนรถ ไม่อยากขึ้นร้อง แต่ตอนนี้เห็นไมค์ไม่ได้ ร้องคนเดียวเลย (หัวเราะ)

หนูเป็นคนขี้น้อยใจ หนูน้อยใจแบบว่า อย่างเพื่อนหนู บ้านมีฐานะทุกคนเลยนะ เวลามาหอพ่อแม่ก็ขับรถ 4 ประตู มาส่งกันงานก็ไม่ต้องทำ แต่เราเกิดมาไม่มีอะไรเลยนะ หอหนูอยู่ติดถนนใช่ป่ะ บางทีนั่งรถเมล์มาน้ำตาหนูไหลเลยนะ ทำไมไม่เกิดมามีตังค์บ้างวะ แต่ก็ไม่เคยคิดน้อยใจพ่อแม่นะ ไม่เคยขออะไรพ่อแม่หนูเลย เราก็พยายามทำนี่แหละ

แล้วหนูก็ไม่มีความคิดว่าจะมีวันนี้เลยนะ ทุกวันนี้ หนูว่าก็เหมือนฝันเหมือนกันนะ

ชีวิตหนูดีขึ้นเลยน่ะ อย่างน้อยๆ ก็ได้บ้านแล้ว ในอนาคตก็อาจจะมีรถ ขอมีเงินเก็บแค่ 3 ล้าน แค่นั้นหนูก็พอใจแล้ว สำหรับตัวหนูนะ เพราะเราเกิดมาจากไม่มีเลยใช่ไหม (จ๊ะย้ำ) หนูพอใจในสิ่งที่หนูเป็นตอนนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าหนูจะอยากรวยไปอีก ถ้าไม่ได้ร้องเพลง หนูอยากขายของ อยากเปิดร้านโชวห่วย

อยากให้พ่อแม่อยู่สบาย
แม่หนูจะสอนอย่างแรกเลยให้ใช้เท่าที่เรามี อย่างเรามี 10 เราจะไปใช้ 30 มันก็เป็นหนี้เป็นสิน มันจะเกินตัว แม่หนูจะบอกอย่างนี้

หนูจะออกรถตั้งนานแล้วนะ ตั้งแต่หนูยังไม่ดัง ยังไม่เป็นจ๊ะคันหู เพราะความที่เห็นคนอื่นมีนี่แหละ ตอนนั้นร้องวงดนตรีทั่วไปก็ต้องไปกับรถคนอื่น ก็กลับดึก ไปก็ไว เราก็เรียน มันก็ไม่ไหว หนูก็บอกแม่ว่าหนูจะออกรถ แม่หนูก็บอกว่าออกได้ ออกมือสองแสนกว่าบาท ดาวน์สัก 7-8 หมื่น แล้วผ่อนเนี่ยได้ แต่ใจหนูก็อยากได้มือหนึ่ง แม่ก็เลยสอนว่าถ้ามันเกินตัวมันก็จะเป็นหนี้เป็นสิน ก็ลำบากอีกน่ะ ก็เลยไม่ได้ออก

จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีรถเป็นของตัวเองเลย รถยนต์ยังไม่มี ทุกวันนี้กลับบ้านยังขี่รถเครื่องอยู่เลย ใครจะมาคิดนะว่าจ๊ะคันหู คิดว่าจะขับรถยนต์ แต่บ้านหนูที่อ่างทองกับบ้านพักที่สุพรรณฯ ห่างกัน 20 กิโลฯ หนูขี่รถเครื่องกลับ ฟีโน่ บิดสุดฤทธิ์

แถวบ้านหนูนี่สร้างบ้านมีรถ แค่นี้ก็รวยแล้วนะ คนอื่นก็มองหนูมีตังค์นะ (หัวเราะ) แต่จริงๆ ไม่มีหรอก สร้างบ้านหมดแล้ว

หนูเป็นคนที่งกมาก หนูร้องเพลงที่ดังมาประมาณ 6 เดือน หนูเพิ่งมาได้เงิน 5 พัน ประมาณเดือนหลังเนี่ย ก่อนหน้านี้หนูได้ 800-1,000 พันห้าถึงสองพัน แต่หนูเก็บเงินได้เป็นล้านเลยนะ สร้างบ้าน เพราะหนูไม่ใช้เลย

ซื้อบ้านเงินสดเลย บ้านนอกมันไม่เหมือนในกรุงเทพฯ ที่ค่าอะไรก็แพงหมดทุกอย่าง นี่ที่ดินก็ที่บ้านเรา ก็จ้างช่างมาเหมาสร้างบ้านให้พ่อแม่ที่อ่างทอง ยังไม่เสร็จนะ กำลังมุงหลังคา

รายได้ตอนนี้ก็หลักแสนต่อเดือน แต่เราก็ไม่คิดว่าจะมีรายได้แบบนี้ไปตลอดหรอก คิดว่าจะน้อยกว่านี้ เพราะคนเรามีขึ้นก็ต้องมีลงไง ก็เลยเก็บ แต่หนูไม่ซีเรียสนะ บางคนซีเรียสว่าดังแล้ว ถ้าไม่ดังจะทำยังไง แต่หนูไม่เครียด เพราะว่าจากเมื่อก่อนเราไม่มีอะไรเลยตอนเด็กๆ หนูคิดแค่ว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้นแหละ หนูเก็บเงินเก่ง งกน่ะ ตังค์หนูไม่เคยกระเด็นให้ใครเลย

ไม่เคยมีหนี้ มีหนี้ก็มีหนี้เรียนน่ะ กยศ. หนูกู้เรียน แต่ตอนนี้หนูก็เลิกกู้แล้ว กู้มาตอนปี 1-2 แต่ตอนนี้ขึ้นปี 3 ก็เลิกกู้แล้ว เจอเพื่อนหนูก็บอกนะให้เก็บเงิน ตอนยังไม่ดังหนูก็เป็นคนเก็บเงินนะ ตอนนั้นหนูก็มีงานทุกวัน แต่ได้วันละ 500 หนูก็เก็บเงินได้เป็นแสนนะ

บางคนแบ่งเงิน 4 ส่วน เข้าบัญชีธนาคาร 1 ส่วน แต่หนู 4 ส่วนเข้าบัญชีธนาคารหมดเลย เพราะหนูเป็นคนที่ร้องเพลงแล้วหนูได้ติ๊ปไง แล้ววันๆ หนูไม่ได้ใช้อะไร เสื้อผ้าหนูก็ไม่ได้ซื้อแพงๆ ใส่เสื้อผ้าตัวละ 1-2 ร้อย หนูไม่ค่อยได้ใช้เงิน

ดังแล้วแยกวง
แต่ก่อนหนูก็ไม่ได้ร้องประจำวงใครนะ เป็นนักร้องที่รับจ้างร้องเพลงทั่วไป เพลงคันหูที่ดังๆ นี่ไม่ใช่เพลงของหนูนะ ที่ดังขึ้นมาก็เพราะคลิปคือหนูไปเล่นงานโชว์ ตอนนั้นหนูก็ไม่ได้อยู่วงใครนะ มันเป็นคลิบที่ถ่ายแล้วก็เอามาลงเฉยๆ ไม่ได้วางแผนการว่าต้องเป็นอย่างนั้นนะ แล้วมันก็ดังขึ้นมา เพราะวงเทอร์โบเอาคลิปไปลง และช่วงนั้นหนูก็ไปงานกับวงเทอร์โบบ่อย ก็เลยเหมือนประจำ คนก็เลยคิดว่าเป็น “จ๊ะ เทอร์โบ” ไปเลย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่

ทำเพลง 2 อัลบั้มพร้อมกัน
จ๊ะกำลังทำเพลงอัลบั้มเต็มครั้งแรกกับค่ายอีวีเอส ตอนนี้ปล่อยออกมา 2 เพลงบนเว็บไซต์ยูทูบชื่อเพลง “หนูเอาอยู่” (4 แสนวิว) และ “อยากมีคนเอาใจ” (2 แสนวิว) แนวเพลงจะเป็นสไตล์หนู แนวโจ๊ะๆ มีเพลงเร็ว เพลงช้า ชื่อเพลงสองแง่สองง่ามนะ แต่เนื้อหาเพลงไม่ใช่ แล้วแต่คนจะคิด จริงๆ ทำ 2 อัลบั้ม อีกอัลบั้มคือของกรุงไทยออดิโอ กำลังจะออกตามมาเร็วๆ นี้ ชื่ออัลบั้ม “หนูชอบแรด” เป็นแนวแดนซ์อย่างเดียวเลย เปิดในผับ ในเธคอย่างนั้น ตอนนี้ก็ใส่เสียงเสร็จหมดแล้วทั้ง 2 อัลบั้ม เหลือถ่าย MV แล้วก็จะมีเพลงเก่าใส่ในอัลบั้มด้วย “เพลงคันหู” กับ “อย่าเอาหูหนี” เป็นคนละเวอร์ชัน

หนูไม่ได้เซ็นสัญญากับค่าย ถ้ามีค่ายมาจ้างให้หนูร้อง หนูก็รับร้องไปเลยจ้างเป็นอัลบั้ม บังเอิญช่วงนี้มี 2 ค่ายจ้างพร้อมกัน ก็จะมีพี่ที่คอยรับงานให้ ตอนรับงานหนูก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาจ้างเราทำ เราก็รับทำ

“หนูเอาอยู่” กระแสดีเกินคาด
พอมาทำงานเพลงของตัวเอง มันเปลี่ยนแปลงเยอะเลย อัลบั้มนี้มันมีการวางแผนการทำงานว่าจะต้องเป็นไปในรูปแบบไหน ก็ไม่ได้มีท่าแรงๆ แบบคันหู เน้นความสนุกสนาน เน้นเนื้อเพลงให้มันโดน ทีมงานก็จะรู้ใจกันว่าจะไปแนวไหน เพราะก่อนทำก็ต้องคุยกันก่อน แล้วก็ไม่ทิ้งสไตล์ความแรงของหนู แรงในเนื้อเพลง แต่ท่าเต้นหนูซอฟต์ลงนะ

เพลง “หนูเอาอยู่” ปล่อยในยูทูบไม่มีภาพนะคะ มีแต่เสียงอย่างเดียว คือไม่มีเวลาทำ MV เลย ก็เลยต้องปล่อยเพลงโปรโมตไปก่อน กระแสตอบรับดีมากเลย มีแต่คนชมว่าทำแนวนี้ก็ดีนะ สนุกดี ตอนที่ปล่อยหนูยังคิดว่าจะมีคนดูถึง 2-3 พันคนหรือเปล่า ก็มันไม่มีภาพน่ะ เป็นเราเปิดไปครั้งเดียว ก็ไม่เปิดแล้ว นี่ 3 แสนกว่าแล้ว หนูก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

แต่งหน้า ทำผม ท่าเต้น ทำเองหมด
จริงๆ หนูไม่ได้ชอบร้องเพลงนะ หนูเป็นคนชอบแต่งตัว ชอบเต้น ชอบเล่น อย่างที่เห็นเวลาร้องเพลงหนูจะเล่นอยู่แล้ว มันเป็นนิสัยด้วย หนูเป็นคนพูดเก่งและขี้เล่นด้วย ท่าเต้นหนูก็ไม่ได้ดูมาจากใครนะ แล้วก็ไม่ได้ซ้อมด้วย มันเป็นตามฟีลน่ะ เวลามีคนเล่นกับหนูหน้าเวทีหนูก็จะเล่นเต็มที่ ถ้าคนไม่เล่นเราก็ซอฟต์ลงมา ท่าหนูเลยออกมาแปลกๆ (หัวเราะ)

เรื่องชุดกับท่าเต้นเขาจะปล่อยให้เป็นเรื่องของหนู กับแดนเซอร์ 2 คน ก็จะเน้นเซ็กซี่ เป็นแค่เซ็กซี่ไม่ถึงกับโป๊ เวลาเลือกชุดก็เลือกที่ใส่แล้วคือตัวเรา บางชุดแดนเซอร์หนูไปซื้อให้ เขาจะรู้ใจเราเพราะอยู่ด้วยกันตลอด เขาก็จะส่งภาพมาทางบีบี หนูก็เลือกๆ ชุด “ตัวนี้ชั้นว่าลาวว่ะ” หนูเป็นคนที่ใช้ภาษาแบบตรงๆ เลย ไม่อ้อมค้อม ตัวนี้ไม่เวิร์กว่ะ ตัวนี้ไม่ชอบเลย กูไม่ใส่ได้ไหม อย่างเนี้ย

บางทีก็อยากดีไซน์ชุดเองนะ แต่หนูไม่มีช่าง ชุดหนูซื้อที่ประตูน้ำแบบสำเร็จเลย แล้วก็มาดูว่าเราจะใส่ยังไง เวลาแต่งตัวหนูก็ไม่ได้ตามแฟชั่นนะ ก็จะแต่งตามสไตล์หนู ตามสไตล์เพลงหนู เซ็กซี่คำเดียว ถ้าเพลงช้าก็จะแต่งหวานๆ ไปเลย ตลกหนูก็เล่นนะ มันเป็นการแสดงไง

คิดอยากจะเปลี่ยนสไตล์นะ แต่แค่ทำงานก็ไม่มีเวลาแล้ว คนอื่นเขาจะมีคอสตูมกัน หนูก็ยังไม่มีนะ หนูไม่รู้จักใคร แล้วหนูก็เป็นคนที่ทำงานง่ายๆ ด้วย จริงๆ ในอนาคตหนูก็อยากได้คอสตูมนะ เวลาทำงานจะได้ขึ้นร้องเพลงอย่างเดียวเลย แต่ก็กลัวไม่ถูกใจเราไง ทุกวันนี้ทำเองหมด หน้ายังแต่งเองเลย ทำเองทุกอย่างเลย เรื่องเงินด้วย ถ้าเราได้ค่าตัวสัก 3-4 หมื่นมันก็โอเคนะ มีเงินจ้างคนมาช่วยดูแลแต่งหน้าให้เรา ช่างแต่งหน้าก็ 2-3 พันแล้วต่องาน นี่หนูได้ค่าตัวหมื่นต้นๆ ถ้าหนูไปจ้าง หนูก็เหลือไม่เท่าไหร่

แดนเซอร์หนูจะมีสองคน รู้จักกันมาจากวงดนตรีนี่แหละ เป็นคนสุพรรณฯ อ่างทองกันหมด เมื่อก่อนเป็นแดนเซอร์ทีม ก็สนิทกัน เล่นกันมาตลอด พอเราคิดว่าอยากมีแดนเซอร์อยู่กับเราสักสองคน เพราะเวลาไปไหนเราจะได้เอาแดนเซอร์เราขึ้น เต้นเหมือนกัน หนูก็เลยเลือกสองคนนี้มา เขาเต้นดี และเอนเตอร์เทนได้ บางคนก็มองว่าแรงไปไหมบางคนก็ว่ากระดิ้ง (แปลว่าดัดจริตน่ะ จ๊ะอธิบาย) ทั้งสามคนเลย เหมาะกันมากบนเวที (หัวเราะ) แต่มันไม่ใช่ มันคือการแสดง ไม่ว่าจะแดนซ์กี่นาทีหนูก็จ้าง งานละพัน คืนหนึ่งขึ้นสามที่ก็ได้สามพันต่อคน

เวลาขึ้นโชว์อย่างแรกเลยหนูจะดูคนก่อน ถ้าเป็นงานในวัดหนูก็จะออกแบบให้แดนเซอร์ใส่ชุดแบบนี้นะ หนูกับแดนเซอร์ต้องใส่ชุดให้เข้ากัน แล้วก็จะเล่นอีกแบบหนึ่ง เพราะคนที่มาดูส่วนมากจะมีอายุ แต่ถ้าเป็นงานลานเบียร์ ในผับ ในเธคหนูจะใส่เต็มที่เลยนะ

สวยขึ้นเพราะศัลยกรรม?
ถ้าหนูไม่แต่งหน้า ไม่มีใครจำหนูได้หรอก เป็นคนละคนเลย เพราะหนูเป็นคนไม่แต่งตัวอยู่แล้ว ตอนไปออกรายการทีวีก็มีคนทักว่าจ๊ะทำไมหน้าเรียวขึ้น ไปฉีดคางมาแน่เลย จมูกก็โด่งขึ้น ต้องไปเสริมมาแน่ แต่จริงๆ แล้วหนูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ศัลยกรรมในตัวหนูนี่หนูไม่ทำเลย จมูกหนูก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว (บิดจมูกให้ดู) แต่หนูไปดัดฟัน ก่อนหน้านี้หนูดัดฟันแฟชั่นอยู่สองปีเต็มๆ สาวบ้านนอกเขาฮิตๆ กัน ดัดฟันเป็นรูปดอกไม้ แล้วพอหนูเอาออกฟันหนูเกไปเลย มันก็พูดไม่ชัด ร้องเพลงไม่ชัด ก็เลยต้องไปดัดจริง ต้องถอนฟันออก 5 ซี่ หน้าหนูก็เลยเข้า ตอนนี้ผอมลงด้วย 46 กิโลฯ เอง

หนูว่าถ้าจะดัดฟันแฟชั่น ดัดจริงไปเลยดีกว่า ถ้าหนูคิดได้ตอนนั้นนะ ตอนนี้ก็เอาออกได้แล้ว ตอนนั้นหนูเห็นเขาดัดฟันกัน แล้วหนูร้องวงดนตรีอิเล็กโทนตามงานบวช งานแต่ง หนูก็ไม่ได้คิดอะไร เห็นเขาดัดกัน หนูก็ไปดัดบ้าง ดัดกับหมอร้านทำฟันนี่แหละ 1 พันกว่าบาท แต่ถ้าดัดข้างนอกก็ 700-800 หนูว่าดูดีนะ ดูไฮโซ คนทัก “เอ้ย..ไฮโซว่ะ” ประมาณนี้ เป็นแฟชั่นไง

ล่าสุดก็มีพี่ในวงการ เขาเป็นนักร้องนี่แหละ เขาไปทำหน้าอกมา แล้วเขาก็ไปทำมาทั้งหน้าเลยนะ จมูก เขาก็มาบอกให้หนูไปทำ ใจหนูก็อยากทำนะ เขาจะให้หนูทำหน้าอกนี่แหละ หนูเป็นคนไม่มีหน้าอกเลย ถ้าหนูไม่ใส่เสื้อในหนูก็ไม่มีเลยน่ะ (มองหน้าอกตัวเอง) เขาก็อยากให้หนูไปทำ หนูก็อยากทำนะ หนูไม่แอนตี้นะเรื่องทำศัลยกรรม คนเราเกิดมาสวยครบมันก็ไม่ใช่ แต่เสียดายเงินนี่แหละ 8 หมื่นแน่ะ เกือบแสน ก็เลยไม่ไป

ถ้าคิดจะทำศัลยกรรมอย่างแรกที่คิดจะทำคือหน้าอกนี่แหละ แต่หน้าหนูยังไม่ทำ คิดว่าถ้าทำหน้าอก เวลาเราโชว์มันจะได้มั่นใจ ความคิดหนูนะ แต่ก็รู้ว่าถ้าทำไปแล้วครั้งหนึ่งมันก็จะติดเนอะศัลยกรรม มันก็ต้องมีอยากทำโน่นอยากทำนี่อีก ตอนนี้ก็ยังไม่คิดไปทำ

เวลาว่างชอบเล่นอินเทอร์เน็ต
เมื่อก่อนเล่นเน็ตบ่อยมาก facebook นี่ต้องเข้าตลอด หนูเล่นเองนะ แต่มันก็มีปลอมเยอะมาก หนูก็ไม่รู้เจตนาว่าเขาทำเพื่ออะไร ทำ facebook ปลอมของหนู แล้วก็เอารูปผู้หญิงยืนกลางร่ม อีกมือดึงกระโปรงขึ้นมาแล้วเห็นกางเกงใน แต่มองไกลๆ คล้ายๆ หนูนะ แต่มันไม่ใช่หนูไง หนูก็ไม่รู้ว่าเขาทำเพื่ออะไร แล้วก็ไปโพสต์ด่าคนโน้นคนนี้ หนูคิดอะไรก็อัปขึ้นหมดน่ะ หิวข้าวหนูก็อัปแล้ว (หัวเราะ) อย่างตอนเดินทางรถติดหนูก็อัปเลย ใช้บีบี แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเล่นเลย น้อยมาก บีบีก็เล่นกับแดนเซอร์สองคน เดี๋ยวนี้พอนั่งเฉยๆ ก็อยากจะหลับแล้ว ง่วงน่ะ

แกร่งเหมือนเด็กผู้ชาย
ตอนเด็กไม่ชอบแต่งตัว ไม่ชอบร้องเพลง จะชอบเล่นอะไรแบบเด็กผู้ชาย ชอบเล่นเสี่ยงทาย ที่ขายแถวบ้าน เด็กคนอื่นจะเล่นขายของอะไรใช่ไหม แต่หนูไม่ หนูชอบเล่นปืน เล่นทายลูกเต๋า แถวบ้านหนูมีแต่เด็กผู้ชาย ไม่ค่อยมีเด็กผู้หญิง พ่อแม่หนูก็เลี้ยงแบบลุยๆ เลย ตัวหนูนี่มีแต่รอยแผลเป็นนะ

พี่สาวหนูจะเรียกหนูว่า “อีแป้น” เพราะหนูพูดเก่ง แล้วคนแถวบ้านหนูมีคนชื่อแป้น เขาพูดเก่ง แล้วเขาก็บ้า (หัวเราะ) พี่ก็เลยเรียกว่าอีแป้น

บ้านหนูเลี้ยงแบบไม่ตามใจนะ ตั้งแต่โตมาหนูมีของเล่นชิ้นเดียว ไอ้เป็ดลอยน้ำสีเหลืองๆ น่ะ ตัวใหญ่ๆ ที่มันเป่าลมเข้าไปได้ มีชิ้นเดียว หนูเป็นเด็กที่อยู่ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่เป็นคนที่แกร่ง คล้ายๆ ผู้ชาย

พ่อแม่ไม่ว่าเรื่องการทำงานของเรา แต่เขาจะสอนว่าให้ไม่หยิ่ง ไม่ใช่ดังแล้วลืมตัว พ่อแม่หนูจะสอนอย่างนี้ เจอใครไม่ว่าจะเป็นตากล้อง หรือจะเป็นคอนวอยที่ทำเวที หนูก็ไหว้หมดนะ หนูเป็นคนเป็นกันเอง คุยเก่ง

พ่อแม่หนูไม่ใช่เป็นคนเซาะแซะ เขาจะพูดครั้งเดียวว่าไม่ว่าจะทำอะไรมันคือสิทธิ์ของเรา ของๆ เรา ตัวของเรา ถ้าเราไม่รักตัวเราใครจะรัก ต่อไปอยากสบายก็ต้องทำตัวดีๆ น่ะ เรื่องผู้ชายก็สิทธิ์ของเราน่ะ ถ้ารักใครชอบใครเขาก็ไม่อะไรหรอก

(แม่ดุไหม) โอ้โห...ตีน่ะ ตัวหนูยังเป็นรอยหวายอยู่เลย บ้านหนูทำหวายใช่ป่ะล่ะ พ่อหนูตี เรื่องเล่นไพ่ ตอนเด็กๆ เล่นเอาภาพ เขากลัวเราจะติด แต่หนูก็ติดนะ (หัวเราะ)

เข้ามหา'ลัยหนูก็ยังเล่นอยู่นะ แต่เล่นตาละ 1-2 บาท โตมาเขาก็ไม่ตีแล้ว แต่ก็ด่านะ คนบ้านนอกน่ะ ใช้ศัพท์อะไรแรงๆ ด่าเลย

มีความสุขง่ายๆ
ความสุขหนูก็คือความง่ายๆ ความเป็นกันเอง อยากเที่ยวนะ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาเลย อยากเที่ยวจริงๆ ไม่ได้อยากไปต่างประเทศนะ อยากไปน้ำตก ทะเล คิดไว้แค่นี้ ไปรีสอร์ต นอนค้างกับครอบครัว

ถ้าคนที่คิดไปต่างประเทศมันคนอีกระดับไง เขามีตังค์ เขามีงบ เขาถึงอยากไปอย่างนั้น แต่หนูถึงมีตังค์หนูก็ไม่คิดนะ
หนูว่าเกิดจากสิ่งแวดล้อมแล้วก็ตัวหนูด้วย บ้านหนูเป็นบ้านนอกน่ะ บ้านนอกจริงๆ ก็เลยไม่คิด อย่างหนูไม่เคยคิดว่าจะได้ขึ้นเครื่องบินน่ะ ก็ได้ขึ้น บางทีไปใต้ก็ได้ขึ้นเครื่องบินไป

ไม่มีวันทิ้งเรื่องเรียน
พอเรียนจบ ม. ปลายมา หนูก็ดร็อปเรียนไป 1 ปี หนูก็คิดอยากเรียนต่อนะ แต่ทำยังไงได้ เราก็ไม่มีทุน แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเรียนมหาวิทยาลัยต้องใช้เงินเท่าไหร่ ชีวิตก็ลำบากนะ แล้วก็คิดว่าจะเอาตังค์ที่ไหนไปเรียน แต่หนูก็คิดนะว่าถ้าหนูไม่เรียนบ้านหนูต้องลำบากแน่ๆ เลย บ้านหนูก็ไม่มีอะไรเลย ใช้ม๊า คิดว่าเรียนไปดีกว่า อย่างน้อยมันยังมีวุฒิไง พอเพื่อนหนูมาชวนเรียน หนูก็เลยไป ไปวันแรกหนูไม่มีจุดมุ่งหมายเลยนะ ว่าต้องเรียนคณะอะไร เพื่อจะทำอะไรต่อไปในอนาคต แต่หนูไม่มีเลย ไปถึงทะเบียนบอกพี่ อะไรที่เรียนง่ายที่สุด (หัวเราะ) เขาก็บอกว่าไม่มีนะหนูเรียนง่ายน่ะ แต่ที่คนเรียนเยอะก็คือการจัดการทั่วไป บริหารน่ะ หนูก็ถามอีกว่าจบง่ายใช่หรือเปล่า เขาก็บอกไม่ง่ายนะ

หนูก็ยังคิดว่าการเรียนมหาวิทยาลัยก็เหมือนเรียนมัธยมนะ เรียนๆ เล่นๆ แต่พอมาเรียนจริงๆ โอ้โห! ราชมงคลที่นี่มันเรียนยากจริงๆ เชื่อไหมว่าหนูทำงานทุกวันนี้ กลับตี 4-5 ตอนเช้าหนูไปเรียนนะ บางคนคิดว่าเราสร้างภาพหรือเปล่า ไปเรียนจริงเหรอ ไหวเหรอ แต่หนูยืนยันได้ว่าหนูไปเรียนจริงๆ ทนไม่ไหว จะหลับ หนูก็ไปเรียน ไปเช็กชื่อก็ยังดี หนูเรียนดีกว่าเพื่อนหนูอีกนะ เกรดเฉลี่ยหนูได้ 2.8 ทั้งๆ ที่หนูก็ทำงานนะ

ตอนนี้งานเข้ามาเยอะเขาก็ให้หนูดร็อปเรียนนะ แต่หนูก็ไม่ดร็อป ยังไงหนูก็ต้องเรียนให้จบ เพราะสิ่งที่ทำทุกวันนี้ การร้องเพลงหนูก็ไม่รู้ว่ากระแสมันจะไปยังไง ดีไม่ดีเดือนหน้าดับ วุฒิก็ไม่มีจะทำยังไง

คนพูดว่าจ๊ะ งานกำลังรุ่ง พูดได้สิมันเป็นแค่คำพูด อนาคตเราก็ไม่รู้ ถ้าลำบากมาใครจะมาเลี้ยงเรา สู้เราเรียนไปมีวุฒิ จบไปสมัครงานเงินเดือน 8-9 พันก็ยังดี

คนกรุงเทพฯ เห็นแก่ตัว
หนูไม่เคยคิดว่าจะมาเรียนกรุงเทพฯ เลยนะ หนูว่าคนกรุงเทพฯ เห็นแก่ตัว มากรุงเทพฯ แต่ละทีหนูเบื่อมาก คนเห็นแก่ตัวก็เห็น อย่างที่กลับรถยังไม่ให้กลับกันเลย ถ้าเป็นบ้านนอกเขาก็มาดูรถให้ และก็เรื่องความแออัด หนูไปเดินประตูน้ำนะ ก็รู้ว่าคนน่ะรีบ แต่คนอื่นก็รีบเหมือนกัน ลากของมาโดนขาคนอื่นอย่างเนี้ย ความเห็นแก่ตัวมันดูกันง่ายๆ หนูก็ไม่อยากมาอยู่ และรถก็ติด อะไรหลายๆ อย่าง ไม่เคยคิดว่าอยากมาอยู่เลย

ยังไงหนูก็ไม่ชอบกรุงเทพฯ เรื่องความเห็นแก่ตัวนี่ชัดๆ เลย แล้วเขาแยกระดับกันนะ ถ้าไม่แต่งตัวก็ไม่มีใครรู้ว่าหนูเป็นจ๊ะคันหูหรอก แล้วหนูก็แต่งตัวได้โสโครกมาก (หัวเราะ) ตัวจริงหนูน่ะ ใส่กางเกงขาสั้น เสื้อยืดธรรมดา รองเท้าอีแตะ ไปเดินประตูน้ำ บางคนมองหัวยันเท้าอย่างนี้ เราก็รู้นะสายตาคน ก็ไม่ชอบอย่างนี้ ชอบอยู่บ้านนอกมากกว่า ปิดเทอมนี่เขาเช่าบ้านให้หนูอยู่ที่กรุงเทพฯนะ หนูยังไม่มาอยู่เลย หนูยังยอมนั่งรถไปกลับสุพรรณฯ อยู่น่ะ

ขอร้องอย่าด่าพ่อแม่หนู
ใครจะด่าอะไรหนูนะ หนูรับได้หมดเลย แต่ไม่ชอบให้มาด่าพ่อแม่หนู รับไม่ได้ บางคอมเมนต์เขียนว่า “พ่อแม่มันทนได้ยังไง ไม่อายเหรอ” ถ้าจะด่าคือให้มาด่าหนูไง เพราะหนูเป็นคนทำ ไม่ใช่พ่อแม่หนู จะมาด่าพ่อแม่หนูทำไม หนูไม่ชอบไง พ่อแม่ใคร ใครก็รักใช่ไหม หรือคุณไม่รักพ่อแม่คุณ หรือจะให้หนูด่ากลับไปไหม คุณจะพอใจไหม หรือคุณจะดีใจนั่งยิ้ม ถ้าชั้นด่าพ่อแม่คุณเนี่ย หนูอยากให้คิดกันอย่างนี้ ถ้าไม่ชอบหนูก็คือจบ หนูก็ไม่ได้ไปอ้อนวอนให้คุณมาชอบนะ

คนเราไม่ชอบจะให้มาชอบมันก็เป็นไปไม่ได้ไง คนเรามันหลายความคิด ถ้าออกรายการไหนหนูก็จะบอกเลยว่าไม่ชอบให้ใครมาด่าพ่อแม่หนู

คำแรงๆ หนูก็รู้สึกนะ อย่างแรงๆ เลยนะ กะหรี่อย่างเนี้ย ถ้าหนูเป็นกะหรี่จริงๆ หนูจะมาร้องเพลงทำไม ไม่คิดวะ ใช่ไหม พูดมาได้ไงกะหรี่ อย่างคำนี้ก็ไม่น่าจะพูดออกมา

คนมันก็มีสองประเภท ประเภทที่รับไม่ได้จริงๆ กับประเภทหนึ่งก็แรงกว่าหนูแต่มาอิจฉา ประมาณนี้นะที่หนูคิด แล้วหนูคิดยังไงหนูก็พูดเลย หนูเป็นคนตรง หนูคิดอย่างนี้จริงๆ

ทุกวันนี้โลกเราก็เป็นไปเยอะ ยุคปัจจุบัน แต่เขารับไม่ได้ เขาไม่มองความจริงกัน บางทีหนูไปเล่นงาน โชว์หนูจบ แล้วก็มีนางแบบ 4 คน มาเดินแบบแคตวอล์กในผับ แก้ผ้าหมดเลยทุกชิ้น เห็นนม เห็นหมดเลยทุกอย่าง หนูยังคิดในใจว่าดีนะเนี่ยให้หนูเล่นก่อน (หัวเราะ) ไม่งั้นคนไม่ดูหนูแน่ นี่แหละปัจจุบันก็เป็นแบบนี้

หวานไม่เป็น
เรื่องหวานนี่เป็นไปไม่ได้ จะให้พูดหวานๆ นะ ไม่มีน่ะ เจอกันครั้งแรกหนูก็พูดอย่างนี้ ไม่รู้สิ หนูพูดไปคนก็จะหาว่าดัดจริต พูดอย่างนี้ใครจะมาชอบใช่ป่ะ แต่หนูพุดอย่างนี้จริงๆ

เราเป็นคนพูดห้วนๆ อย่างผู้ใหญ่ก็จะบอกนะว่าขอร้องล่ะ ให้พูดมีคะ ขา บ้างเถอะ มันจะได้น่าฟัง หนูบอกพี่ หนูอยากพูดนะ แต่มันไม่ใช่ตัวหนู เดี๋ยวนี้หนูพัฒนามาขึ้นเยอะแล้วนะ เมื่อก่อนหนูพูดกระโชกโฮกฮากกว่านี้อีกน่ะ

คนเห็นหนูครั้งแรกไม่ชอบหรอก เพราะหนูเป็นคนพูดไม่หวาน ไม่มีหางเสียง เดี๋ยวนี้เริ่มมีค่ะ แล้ว เมื่อก่อนไม่มีเลย

หนูไม่ได้แอนตี้นะ แต่หนูพูดไม่เป็นไง บ้านหนูไม่มีไง สิ่งแวดล้อมแบบนี้ คนเรามันเป็นที่สิ่งแวดล้อม ตอนเรียนหนูเรียอาจารย์ อาจ๊าน อย่างเนี่ย อาจารย์เขายังว่าเลย นงผณีปรับตัวไปได้ขนาดนี้เลย เขาก็สอนหนูนะ ไม่ใช่ไม่มีใครสอน สอน แต่หนูทำไม่ได้ ไม่รู้ทำไม มันไม่ใช่ตัวหนู

คนมองว่าแรด...แรง
คนมองว่าสังคมกลางคืนมันแรง แต่หนูเป็นคนใน บางทีหนูก็ไปเล่นที่เลานจ์ เราก็จะเห็นว่ามีคนที่แรงกว่าเรา ตอนนี้สังคมมันเป็นแบบนี้จริงๆ แต่บางคนก็ไม่ยอมรับ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นมานานแล้วนะ ไม่ต้องมาเต้นอย่างหนูหรอก แค่งานกินเลี้ยงก็มีแล้วทุกวันนี้ แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับ ความคิดคนเรา เราไปห้ามก็ไม่ได้ แต่อย่างหนู ใครจะคิดยังไง หนูก็ไม่สน มันคืองานที่หนูทำจริงๆ

เรื่องบุหรี่เหล้ามีแน่นอน แต่หนูเป็นคนไม่กินเหล้านะ แต่ถ้ามีงานใหญ่ๆ ก็กิน อย่างงานปีใหม่ แต่ตอนร้องเพลงหนูไม่กิน เพราะหนูเป็นคนไม่กินเหล้า หนูว่ามันอยู่ที่ใจเรามากกว่า ถ้าเราไม่กิน เราไม่ดูด ใครก็จะมาบังคับให้เราทำไม่ได้ หนูไม่ชอบอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้อคตินะ

หนูก็ไม่ได้อยากให้คนมองว่าเป็นนางฟ้า ดีเลิศอะไรนะ มันคงเป็นไปไม่ได้ แต่หนูอยากให้มองถึงหลักความจริง มองตัวหนูเลยว่า หนูเป็นอย่างนี้ ไม่อยากให้คิดไปก่อนว่าหนูไม่ดี อยากให้เปิดโอกาส ลองสัมผัสตัวหนูว่ามันคือใคร มันเป็นมายังไง ไม่อยากให้มองว่ามันมาเต้นอะไร หนูไม่อยากให้คิดอย่างนั้น

ภายนอกหนูดูแรงจริงๆ แต่ตัวหนูนะ เวลาจะทำอะไร หนูจะคิดถึงพ่อแม่ก่อนเลยว่าถ้าทำไปแล้ว เขาจะด่าพ่อแม่กูหรือเปล่าวะเนี่ย ซึ่งมันเป็นตัวของเราจริงๆ แต่ความลำบากก็ตกที่พ่อแม่อีก ก็ต้องลำบากใจอะไรอีก

ด้วยความที่หนูเป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนปัญหาเยอะมาก ถึงขั้นมีเรื่องมีราวเลย หนูเป็นคนไม่หาเรื่องใครนะ แต่ชอบมีเรื่อง เพราะด้วยสายตาหนู เวลามองคนหนูก็ไม่ละเลยนะ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่มองไม่ละ เหมือนตาหาเรื่อง ก็เลยเกิดเรื่องเกิดราว มาจากเราเป็นคนแรง ไม่ยอมคน ถ้าด่าหนูก็ด่ากลับเลยล่ะ เป็นคนอย่างนี้

หนูเป็นคนตรง คนจะชอบพูดว่าถ้าเราไม่ชอบเราก็เก็บไว้ในใจซะ เขาก็สอนนะ แต่มันไม่ได้ เวลาคนสอนเราก็รับคำ แต่พอจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ มันเก็บไว้ไม่ได้ ขอพูดเลย ขอด่าเลยได้ไหม หนูรู้สึกยังไงหนูก็ด่าเลย ทุกวันนี้หนูก็ยังเป็นนะ

โดนลวนลามบ่อยจนชิน
เรื่องนี้แน่นอน เพราะคนที่เข้ามาก็มีคนหลายประเภท มีคนที่ชอบเราจริงๆ อีกประเภทหนึ่งก็เป็นผู้ชายที่คิดเรื่องนี้ แล้วก็มีผู้หญิงที่คิดว่า มันจะสักแค่ไหน คืออคติแต่อยากเข้ามาดูว่ามันจะเป็นยังไง หนูก็เลยต้องมีโชว์หลายอย่าง มีทั้งความเซ็กซี่ และก็ความอ่อนหวานให้เขารู้ว่ามันคืองานจริงๆ เขาจะได้เข้าใจ มีเล่นตลกด้วยเขาเข้ามาเขาก็ขำ

ส่วนมากเวลาเห็นตาหนูเขาก็ไม่ลวนลามแล้วนะ เพราะหนูเป็นคนตาดุ เขาก็จะไม่ค่อยเล่นด้วย ส่วนมากเป็นคนเมาที่จะลวนลามหนู ปกติหนูเป็นคนที่เซฟตัวเองอยู่แล้ว เวลาเล่นหน้าเวที จับมือก็คือจับมือ แต่ตัวหนูจะอยู่ห่างๆ

เคยมีมากกว่าจับมือ ตอนนั้นเล่นงานกลางแจ้ง คนนี้วิ่งมาจากไหนไม่รู้ กระโดดขึ้นมาเลยจะจับข้างล่างหนูน่ะ แต่ไม่โดนนะ หนูก็แซวอายเลย หนูหยุดร้องเลย บอกนักดนตรีหยุด หนูก็แซวแรงๆ เลย “โอ้โหพี่ขา ถ้าหน้าตาดีๆ หนูก็จะแอ่นไปนะคะ หน้าตาอย่างนี้ยังทำนิสัยอย่างนี้อีก” หนูด่าจนเขาอายเลย มันไม่ควรไง แต่เขาก็เมาด้วยล่ะ สร่างเลยเจอหนูพูด คนก็โห่

โรคจิตมาเจอโรคจิตกลับ
แฟนไม่มีนะ แต่มีคนคุยนะ คนคุยนะมีแน่นอน จะให้พูดว่า “ไม่มีคนคุยค่ะ ไม่มีแฟน” (ทำเสียงแบบดารา) มันไม่ใช่ตัวหนู มีก็คือมี มีคนคุยแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้เปิดตัวเป็นผัวเมีย อย่างนั้นไม่ใช่ ไม่มี เพราะหนูทำงานเยอะ และก็อยู่ไกลกันคนละที่ ก็คุยกัน

หนูก็มีคุยกับคนโน้นคนนี้ ใครโทร.มาหนูก็คุยหมดแหละ (หัวเราะ)

คนมาจีบก็มีนะ แต่บางคนมันไม่ได้จีบด้วยความบริสุทธิ์ใจ บางคนจีบแบบลามกมาเลย แล้วมาเจอหนู หนูเป็นคนที่มึงลามกมา หนูก็แรงไปเลย แรงแบบสุดยอด หนูเป็นคนที่พูดแรงจริงๆ นะ เคยมีโรคจิตโทร. มาหาแดนเซอร์หนู “น้องถึงหอหรือยังเนี่ย พี่เงี่ยนมากเลย” พวกนั้นก็เครียด ด่า ไอ้เหี้ย! ไอ้สัตว์! แต่หนูขอโทรศัพท์มาเลย “พี่ค่ะ เสี้ยมมาเลยค่ะ หนูก็จะถึงแล้ว” แล้วหนูก็โทร. ไปย้ำอยู่อย่างนั้นนะ แทนที่โรคจิตจะโทร. เข้ามา โทร. ไปทุกวันนี่แหละ จนมันเปลี่ยนเบอร์ไปเลย ขนาดโรคจิตยังเปลี่ยนเบอร์เลย (หัวเราะ)

หนูจะไม่ด่านะ มึงอยากได้ใช่ไหม หนูถลุงเข้าไปเลย โรคจิตกลับไปเลย “ของพี่แค่ไหนค่ะ อย่าเล็กนะคะ” กวนตีนไปเลย นี่คือตัวหนูเลย

สเปกหนูเป็นคนชอบคนสูง และก็ตามใจเรา แค่ตามใจเรามันก็จะง่ายทุกอย่างเลยนะ ชอบคนที่ตามใจ ไม่ชอบคนที่มาขัดใจและก็เรื่องมาก อย่างเราทำงานอย่างนี้ บอวก่าห้ามแต่งโป๊นะ เคยมีนะ แต่หนูบอกเลยว่าตอนที่มึงเห็นกูครั้งแรก ก็เพราะร้องเพลง แล้วพอมาคบกันจะไม่ให้ร้องเพลงมันเป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม หนูก็พูดเลย แล้วก็เลิกกัน เรื่องหึงหวงด้วย หนูเป็นคนค่อนข้างกะล่อน ไม่เจ้าชู้นะ หนูชอบเล่น แต่ถ้าได้ก็ดี (หัวเราะ) เขาก็เลยไม่เข้าใจ

ขนาดพ่อแม่หนูยังไม่ยุ่งกับหนูเลย แล้วคุณเป็นใคร มาสั่งห้ามโน่นนะ ห้ามนี่นะ กินข้าวหรือยัง จะมาเมื่อไหร่ หนูไม่ชอบ คือเราโตแล้วอันไหนดี อันไหนชั่ว ก็แล้วแต่เราจะทำ หนูไม่ชอบให้ใครมาบงการชีวิต





ลูกคนนี้ทำให้พ่อแม่ภูมิใจมาก
สิ่งต่างๆ ที่จ๊ะทำทุกวันนี้ ทั้งหมดก็เพื่อพ่อแม่ ให้ท่านได้อยู่สบาย หมดห่วง ซึ่งทั้งแม่ (จำเนียร) และพ่อ (ประดิษฐ์) ก็พูดถึงลูกสาวด้วยความภูมิใจที่ลูกสาวตัวเล็กๆ คนนี้ ทั้งเก่ง ฉลาด มีความมานะ สามารถดูแลพ่อแม่ได้อย่างดี

“ตอนเด็กๆ หนูเล็ก (ชื่อที่แม่เรียกตั้งแต่เด็ก) เขาแกร่ง เหมือนเด็กผู้ชาย เสื้อไม่ใส่ คือแม่ตั้งใจเลี้ยงแบบเด็กผู้ชาย อยากให้เขาแกร่ง เข้มแข็ง ให้เอาตัวรอด ฉลาดกว่าสังคม ไม่อยากให้เขาอ่อนต่อโลก อยากให้เขาเอาตัวรอด พ่อแม่จะได้ไม่ต้องห่วง

เขามีสายเลือดศิลปิน เขาตามแม่ไปเล่นลิเกไปตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบ ตอนนั้นแม่เป็นนางเอก เขาก็เต้นอินเดียได้ สมัยนั้นก็มีถุงพลาสติกใบหนึ่ง คนเขาก็เรียกเขาลงไปเอารางวัล ให้มาเต็มถุงเลย ถ้าใครไม่ให้รางวัลนะ ร้องไห้ เขาเป็นคนที่ทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ เป็นคนมีมานะ หาเงินได้ตั้งแต่เด็กเลย ตอนเด็กเขาจะชอบกุ้ง สุทธิราชมาก เห็นเขาก็ชอบพูดถึง ชอบดูกุ้งเล่นลิเก

แม่จะสอนให้ขี้เหนียว ให้เก็บเงินต่อไปเขาอยากได้อะไรเขาจะได้ สำคัญอย่าให้ฟุ่มเฟือย เพราะเราไม่มีอะไรที่จะให้ลูก แม่จะเน้นให้เรียน ไม่ให้ดร็อปเรียน อยากให้เรียนถึงปริญญาโท งานก็คืองาน

แม่ก็ห่วงนะ มีเตือน มีดุ แม่ต้องสอนให้เป็นคนดี ไม่ให้ทำตัวเละเทะ ยิ่งเขาไปทำงานอย่างนี้ การแสดงของเขา ประชาชนจะมองยังไงก็ช่างเขา เป็นสิทธิ์ของเขา การแสดงหน้าเวทีก็ให้เขาทำให้เต็มที่ ให้คนดูมีความสุข ในสายตาแม่ เขาเป็นคนรับผิดชอบเก่ง เด็กคนนี้พ่อแม่ยอมรับ เก็บเงินเก่ง ดูแลตัวเองได้

ตอนนี้ก็ห่วงเรื่องพักผ่อนเขาไม่ค่อยพอ ทำงานเต็ม แม่ก็ช่วยส่งใจไปให้ลูก อวยพรให้เขา “หนูเล็กอยู่ไหน” โทร.คุยกันตลอด ให้นอนในรถไปเลย พักผ่อนให้พอ ก็จะคอยบอกเขา พ่อเขาก็สวดมนต์ส่งให้ลูกทุกคืน

หนูเล็กเขารักพ่อแม่มาก ตั้งแต่เขาดังมา เขาหาเลี้ยงพ่อแม่ตั้งแต่เล็กๆ พ่อเขาไม่สบายเขาก็หาเลี้ยงพ่อแม่มาตลอด เงินทองไม่ให้ขาด อาชีพพ่อแม่เลิกจากลิเกก็มาทำกระเช้าหวาย เขาก็ให้หยุด อยากให้พ่อแม่อยู่สบาย ตอนนี้กำลังทำบ้าน ทำช่องให้พ่อแม่อยู่ ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ ดีใจที่สุดเลย เพราะเด็กคนนี้เป็นคนเก็บเงินเก่ง เพื่อนบ้านก็บอกว่าไม่มีเด็กที่ไหนหรอกที่เก็บเงินสร้างบ้านได้”

พ่อประดิษฐ์พูดถึงลูกสาว “เขาเป็นลูกเรา เขาเกิดมาเป็นสมบัติเราดีกว่าเรามีไร่ มีนา มีบ้าน มีรถ พวกนั้นเราไม่ต้องการเท่าไหร่ เราต้องการลูกเรา ถ้าเราไม่มีลูกก็เท่ากับเราไม่มีสมบัติอะไรติดตัวเลยเมื่อเราสิ้นชีพ เนี่ยแหละ เราภูมิใจที่เขาเป็นลูกเรา เขาก็จะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของเราไปอยู่ในตัวเขา

เขาไปมาหาสู่กับพ่อแม่ตลอด เขาไม่หลงระเริง เราไม่บังคับ ให้เขาเรียนรู้เอง เจอทางตันกลับมาบอก แต่เขาก็สู้ เขาเรียนรู้จากประสบการณ์เขาได้ แต่เรา เราระแวงคิดไปเอง แต่ว่าจริงๆ แล้ว เราถามเขา เขาก็บอกว่าไปได้ เราเห็นเขาลำบาก ไม่อยากให้เขาทำหรอก กว่าจะได้เงินมันลำบากไม่ใช่สบาย ต้องไปนั่งรอ กว่าจะเสร็จ เราเคยแสดงผ่านมาเรารู้ เขายิ่งลำบากมากกว่าเราอีกหลายเท่า”






ชื่อ-สกุล : นงผณี มหาดไทย
ชื่อเล่น : จ๊ะอื๋อ
เกิดเมื่อ 6 พฤษภาคม 1991
ประวัติการศึกษา : มัธยม โรงเรียนแสวงหาวิทยาคม, กำลังศึกษาชั้นปี 3 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
 
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดยพลภัทร วรรณดี














เจ้าฟีโน่ ชื่อเดียวกับรถมอเตอร์ไซค์คันโปรด
พ่อแม่ สองคนที่จ๊ะรักมากที่สุด
ลีลายั่วยวน เร้าใจ
เล่นตลกก็ได้นะจ้ะ
ห้องนอนของจ๊ะ


ทำบุญส่งให้ดังขึ้นๆ




กำลังโหลดความคิดเห็น