xs
xsm
sm
md
lg

“หนูเป็นนักแสดงที่ห่วยที่สุด” ซี-หทัยภัทร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กระโดดชิมลางงานละครเรื่องแรก “ลิขิตฟ้าชะตาดิน” ในฐานะนักแสดงน้องใหม่จากค่ายเอ็กแซ็กท์ "ซี-หทัยภัทร สมรรถวิทยาเวช” สาวเอวบางร่างน้อยที่มีรอยยิ้มสดใส ร่าเริง ซึ่งแจ้งเกิดจากงานในแวดวงโฆษณา วันนี้เธอเปิดใจกับ M-openถึงกระแสวิจารณ์ว่าเล่นแข็งบ้าง เล่นไม่ดี ยังไม่เต็มที่กับบทบาท “ทราย” คุณหนูแจ๋นแหล๋น เจ้าอารมณ์ พร้อมทั้งเผยถึงประสบการณ์กดดันสุดๆ ในชีวิตกับงานละคร และพัฒนาตัวเองมาตลอดเพื่อลบคำปรามาศว่า “เธอเป็นคนที่ห่วยที่สุดในคลาสแอ็กติ้ง”

เข้าวงการฯ แบบไม่บังเอิญ
ดารา นางแบบส่วนใหญ่จะเข้าวงการบันเทิงเพราะโมเดลลิ่ง หรือเจอแมวมองด้วยความบังเอิญ แต่สำหรับสาวซี เธอเล่าถึงช่วงเวลาที่มีความฝันว่าอยากเป็นนางแบบ มีหน้าตัวเองอยู่บนนิตยสารวัยรุ่นบ้าง จึงตัดสินใจไปเดินย่านสยาม และคิดแบบเด็กๆ ว่าวันหนึ่งจะมีแมวมองเข้ามาชวนให้วงการฯ และความฝันก็เธอก็เป็นจริงเสียด้วย
 
“มีช่วงหนึ่ง ช่วงปิดเทอม เราไม่มีอะไรทำ เห็นเพื่อนเอาแมกกาซีนมาเปิด เราเห็นก็อยากถ่ายแบบบ้าง ก็ไปเดินสยามเลย (หัวเราะ) เพราะช่วงนั้นแมวมองอยู่สยามหมด ก็ไปเดินสยาม ตอนนั้นเราก็เด็กๆ อยู่ มีโมเดลลิ่งมาก็ดีใจ เขาก็ติดต่อให้ไปแคสฯ โฆษณา พี่ๆ ก็สนับสนุน ยังไม่ได้บอกพ่อแม่ ขอพ่อแม่ไปค้างคอนโคพี่ แล้ววันรุ่งขึ้นก็ตรงดิ่งไปแคสฯ เลย ตอนนั้นไม่รู้อะไรเลย แต่งหน้า แต่งตัวจัดเต็มไปเลย ไปถึงมีช่างแต่งหน้าให้ เขาต้องมาลบหน้าเราออก

ครั้งแรกที่ไปแคสฯ ตื่นเต้นมาก ทำมั่วไปหมดเลย แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไรหรอก ครั้งแรกคงไม่ได้หรอก คิดซะว่าไม่ได้ แต่อยู่ดีๆ เขาโทรมาว่าเราได้ 3 คนสุดท้าย ตอนนั้นบ้านแตก ดีใจมาก สุดท้ายก็ได้งาน หลังจากนั้นก็มีงานโฆษณามาตลอด ปีหนึ่งประมาณ 10 ตัว

ซีเข้ามาเล่นละครของเอ็กแซ็กท์ ก็มาจากโฆษณาวีต้าพรุน เขาก็เรียกให้เราเข้ามาแคสฯ ละคร ให้บทมา 3 บท มีบทร้องไห้ แจ๋นแหล๋น เสียใจ เศร้าโศก นางเอกมาก ครั้งแรกที่ได้บทมา...เอ๋อมาก ทำอะไรไม่เป็นเลย ซียอมรับเลยว่าเป็นคนที่ไม่มีหัวศิลปะเลย เป็นคนแข็งมาก ครอบครัวเป็นหมอ วิชาการมาก ไม่เคยจะนั่งวาดรูป ไม่เคยทำอะไรที่เกี่ยวกับศิลปะ พอมาแอ็กติ้งครั้งแรก ทำไม่ได้เลย แต่ก็พยายาม ร้องไห้ไม่ได้ก็ทำเสียงเหมือนจะร้อง ก็ไม่รู้ยังไงเราถึงติดเข้ามา แต่ก็โดนเรียนแอ็กติ้งอยู่ประมาณเกือบปีน่ะค่ะ"

กดดันกับการแสดง
การได้เข้ามาเป็นนักแสดงโดยที่ตัวเองยังไม่มีประสบการณ์มากนัก ก็เป็นช่วงเวลาที่ลำบาก ทั้งเรียนไปด้วย เรียนการแสดงไปด้วยอยู่จนเกือบปี แต่ก็ยังซึมซับได้ไม่เต็มที่กับที่หลายคนคาดหวัง

“ซีเป็นคนเดียวที่แอ็กติ้งห่วยที่สุดในห้อง” สาวซียอมรับอย่างตรงไปตรงมา พร้อมทั้งเล่าถึงประสบการณ์ที่ทั้งกดดันสุดๆ แต่ก็ต้องทำให้ผ่านไปให้ได้ “ยอมรับว่าซีเริ่มจากศูนย์ ไม่มีพรสวรรค์ทางนี้เลย เราใช้พรแสวง ตอนแรกให้ทำอะไรก็ทำไม่ได้ เขาให้ทำอะไรเราก็ทำไม่สุด กลัวไปหมด มีกำแพงเยอะ เราก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน เรียนมาถึง 6-7 เดือนก็ยังไม่ได้ ท้อมาก ครูสอนแอ็กติ้งก็ต่อว่า กดดันให้เราทำให้ได้ จนถึงจุดหนึ่งที่เรามาคิดว่าเราทำอย่างนี้ทำไม ถึงบ้านร้องไห้คุยกับพ่อแม่เลยว่าเราไม่เข้าใจว่ามาอยู่ทำไม ทำไม่ได้เลย ครูก็ว่า อายเพื่อน เพื่อนไปถึงไหนแล้ว แต่ตัวเองทำไม่ได้

จนมาถึงละคร ลิขิตฟ้าชะตาดิน ละครเรื่องนี้ เหมือนถึงเวลาให้เราลงสนามแล้ว เพราะเรียนมาเยอะมาก ผู้ใหญ่ก็คิดว่าเราควรจะได้ลงแล้ว บวกกับคาแร็กเตอร์ในเรื่องนี้ด้วย ที่เป็นสาวคุณหนู เอาแต่ใจหน่อย เป็นคนที่คิดอะไรแล้วก็พูด คือหลายคนคิดว่าคาแรกเตอร์มันใกล้กับตัวซี แต่จริงๆ มันไม่ใกล้ตัวซีเลย ซีเป็นคนนิ่งๆ เป็นคนที่ไม่ได้คิดอะไรแล้วพูดตรง พอเพื่อนดูวันแรก เพื่อนบอกขำมาก เพราะมันไม่ใช่ซีเลย ในเรื่องจะแว้ดๆ มาก เล่นหู เล่นตา เล่นหน้าเยอะมาก”

เพราะคำว่ากลัว คำเดียวที่เป็นตัวขัดขวาง และกลายเป็นกำแพงที่ทำให้เธอแสดงออกได้ไม่เต็มที่กับความสามารถ

“กลัวบทที่ใช้อารมณ์ มีฉากหนึ่งมันเขียนในบทเลยว่า ร้องไห้หนัก แล้วเราจะไปโฟกัสกับคำว่า ร้องไห้หนัก ก็ร้องไห้ไม่ได้ เพราะเราไปกลัวว่าจะร้องไห้ได้ไหม แต่มีบทหนึ่งที่ไม่เขียนคำว่าร้องไห้ แต่กลับน้ำตาคลอจะร้องไห้ เพราะมันไม่มีคำว่าร้องไห้หนัก

วันแรกที่เราไปเล่น เรารู้อยู่แล้วว่าเราเล่นไม่ได้ วันแรกผู้ใหญ่โทรหาแอ็กติ้งโค้ชเลยค่ะ ว่าต้องตามซีมาที่กองถ่ายทุกครั้ง และต้องมาซ้อมตัวต่อตัว เราได้ยิน เราก็คิดว่า เอ้ย! จริงเหรอ เรารู้ตัวว่าเราแย่ แต่คุณครูเขาก็ยุ่งมาก เขาต้องสอนให้ใครหลายคน สอนนางเอก สอนทุกคน เราก็กลัวเสียเวลาเขาที่มาสอนเรา เราไม่ใช่ตัวเด่นอะไร รู้สึกผิดมาก

จนคุณครูเรียกมาคุยเลยว่าทำไม มันเป็นยังไง ทำไมถึงทำไม่ได้ ตั้งแต่เรียนแอ็กติ้งมาแล้ว เรียกว่าคุยเปิดใจน่ะค่ะ พอได้คุยเปิดใจปุ๊บ เราก็กลับบ้านไปคิดใหม่ทุกอย่าง แค่คิดว่าต้องทำให้ดีที่สุดทุกอย่าง หลังจากนั้นซีก็เปลี่ยนทัศนคติ กำแพงเริ่มหายไป คำเดียวที่ซีทำไม่ได้คือคำว่ากลัว กลัวจะเสียเวลาคนอื่น กลัวช่างไฟจะรอ กลัวเล่นกับพี่ตู่ กลัวว่าเล่นผิดแล้วเขาจะรอเรา กลัวบล็อกกิ้งผิด กลัวจำบทไม่ได้ คุณครูก็บอกว่ากลัวไปก็ตายเลยสิ ทำอะไรไม่ได้ ทำไมไม่เอาคำว่ากล้ามาใส่ล่ะ เขาก็บอกว่าความกลัวเหมือนโดดบันจี้จั๊ม กลัวว่าจะโดดลงไปตาย แต่พอโดดลงไปแล้วมันก็ไม่ตาย ยังไงมันก็ไม่ตายหรอกถ้าเรากล้าซะอย่าง

คราวนี้พอเรามาเล่น เราตัดทุกอย่าง บทช่างมัน เราแค่อยู่กับตัวเอง แล้วเข้าไปเล่น เราก็ได้ เล่นได้ดีขึ้นน่ะค่ะ เพราะว่ามีพี่ ๆหลายคน แนะนำ แล้วก็ได้ลงประสบการณ์จริง รู้สึกว่าอยากทำให้ได้ดีขึ้น”
จนมาตอนนี้ดีใจมากที่เราพัฒนาขึ้นได้ หลังจากที่เราได้คุยกับคุณครูเขาก็ให้การบ้านมาทำ แล้วก็มาเล่นที่ห้อง คือทุกครั้งที่เล่น ซีรู้เลยว่าได้ฟีดแบ็กยังไง แต่มีครั้งหนึ่งที่ เล่นแล้ว คุณครูพูดว่าไม่น่าเชื่อว่าซีทำได้ โอโห! น้ำตาจะตกเลยค่ะ เป็นอะไรที่รอมานานมาก ตอนนี้ก็มั่นใจขึ้นมาก ภูมิใจทุกครั้งที่เขาพูดชม

ถ้าเป็นแต่ก่อนยอมรับว่าไม่สนุกเพราะเราทำไม่ได้ ท้อมากจริงๆ รู้สึกว่าเราแข็งมาก บอกพ่อแม่เลยว่าจะไม่ทำแล้ว ร้องไห้ อยากยกเลิกสัญญาเลย แต่คุณครูทำให้เรากลับมา คุยเปิดใจ ดึงให้เรากลับบมา แต่พอเริ่มทำได้ ก็เริ่มรู้สึกสนุก ท้าทาย ”

สาวอินเตอร์ฯ
บุคลิกมั่นใจมั่นใจ ช่างพูดช่างคุย กล้าแสดงออกแบบนี้ เธอเล่าว่าเป็นเพราะเรียนโรงเรียนอินเตอร์ฯ มาตลอด เพราะที่บ้านเห็นความสำคัญของเรื่องภาษา และการเรียนโรงเรียนนานาชาติก็สอนให้เธอเป็นคนกล้าแสดงออก และคิดนอกกรอบ

“ซีเรียนโรงเรียนอินเตอร์ตั้งแต่อนุบาล 3 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โรงเรียนอินเตอร์เปิดใหม่ด้วย และเป็นช่วงบูม พ่อแม่สมัยนั้นก็พยายามส่งเสียลูกให้เรียนโรงเรียนดีๆ และภาษาอังกฤษก็สำคัญ สิ่งที่เราสัมผัสได้ก็คือคุณครูเป็นชาวต่างชาติหมดเลย เวลาที่เราทำอะไร คนต่างชาติเขาจะให้เราคิดนอกกรอบ แต่คนไทยจะสอนให้เป็นระเบียบ ที่ซีเรียนจะเน้นเรื่องการอยู่เป็นทีมเวิร์ก การทำงานต้องให้ความสำคัญ แต่พี่สาวเคยอยู่โรงเรียนไทย เวลาเรียนเขาก็ให้เรียนอย่างเดียว คือเราได้ทั้งภาษา ได้ทั้งการเปิดโลกทรรศน์ Thing out of the box.”

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สาวน้อยขี้อาย ติดเพื่อน กลายเป็นกล้าแสดงออก และทำอะไรด้วยตัวเองได้มากขึ้น คือการที่เธอเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ตอนอยู่ ม.5 ไปเรียนที่อเมริกาอยู่ 1 ปี
“ตอนนั้นอายุ 16 พอไปถึงปุ๊บ เจอรุ่นเดียวกัน เขาดูโตมาก ทำอะไรได้ แต่ซีดูเหมือนทำอะไรไม่ได้ จนซีต้องไปคบกับรุ่นที่เด็กกว่า แต่ก็สนุกมาก ได้ทำอะไรหลายอย่างที่เราไม่เคยทำ อย่างเช่น ได้เล่นซอฟบอล เราไม่เคยรู้ว่าซอฟบอลคืออะไร แต่รู้ว่าอยากเล่นกีฬา ก็หากีฬา ตอนนั้นมีประกาศว่ารับสมัครทีมซอฟบอล เราก็ฟัง อ๋อ..ซอฟบอล ก็คิดว่าเป็นฟุตบอลที่แบบผู้หญิงๆ เล่นกัน ก็หาใบสมัคร พอไปถึงทีม โอ้โห! ทุกคนตัวใหญ่มาก เขาก็รับเรานะ แต่ให้ซีไปอยู่รุ่นเด็ก ม. 1-2

การที่ซีได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน มันทำให้ซีได้ประสบการณ์เยอะมากๆ เรียนรู้เรื่องการเอาตัวรอด เรียนรู้การตัดสินใจเอง ต้องทำทุกอย่างเอง กวาดบ้าน รีดผ้า ล้างจาน เก็บห้อง ไม่มีใครมาช่วย
แต่ก่อนตอนอยู่ที่โรงเรียน เวลาเข้าห้องน้ำก็ต้องไปเป็นกลุ่ม ติดเพื่อนมาก ต้องรอเพื่อนไปกันเป้นแก็ง แต่พอกลับมาเรารู้สึกว่าเราอยู่ตัวคนเดียวได้เยอะขึ้น ไม่ต้องรอเพื่อน ไปทำอะไรเองได้”
ด้วยความที่มีคุณหมอเป็นหมอ เธอจึงให้ความสำคัญกับเรื่องการเรียนมาก และอยากให้ได้ดีจนบางครั้งก็กลายเป็นความเครียด และกดดันตัวเองแบบไม่รู้ตัว

“ซีเป็นคนที่แบบเครียด เป็นคนจริงจังกับทุกอย่าง เครียดกับทุกอย่าง คุณพ่อคุณแม่ก็จะบอกว่าเวลาเจอปัญหาอะไร อย่าไปจมปลักกับมันมาก เพราะปัญหาทุกอย่างมีทางออก แล้วซีก็ว่าทุกอย่างมันมีทางออกจริงๆ นะคะ

ปัญหาของซีก็เรื่องเรียนด้วย และตอนนี้ก็มีเรื่องงานด้วย ตารางงานจะชนกับเรื่องเรียนบ่อยมาก เราก็ต้องเครียดมาก ที่จะแก้ปัญหาทั้งสองฝ่าย เรื่องเกรดตกก็เครียด ซีเป้นคนวางเป้าเอาไว้สูงมาก เพราะเราอยู่กลุ่มเพื่อนที่เป็นเด็กเรียนระดับหนึ่ง ซีก็จะวางเป้าว่าเราต้องเรียนให้ได้เท่าเพื่อน เรียนให้ทัน ไม่ให้ล่าช้า เกรดก็ต้องดีเหมือนกัน

ซียอมรับว่าซีเป็นคนไม่ฉลาดแบบไบร์ท เป็นคนที่ถ้าเข้าห้องสอบแล้วไม่อ่านหนังสือจะทำไม่ได้ แต่ถ้าอ่านหนังสือจะทำได้เลย ต้องขยัน
คุณพ่อเป็นหมอ เป็นกุมารแพทย์ แต่ก่อนทำอยู่โรงพยาบาลศิริราช ตอนนี้ออกมาเปิดคลีนิกของตัวเอง แต่คุณพ่อบอกว่าเรียนอะไรก็เรียนไปเถอะ ขอให้อย่าเครียด เรียนอะไรก็ได้ให้สนุกไปกับมัน เขาไม่อยากให้เหมือนเขาที่เรียนหมอจะเครียดตลอด

ซีก็เลยเลือกเรียน สาขาวิชาการจัดการการท่องเที่ยว และการโรงแรม คณะบริหารธุรกิจ มหิดลอินเตอร์ ตอนนี้อยู่ ปี 3 ที่เลือกเรียนการโรงแรมเพราะว่าเขาจะสอนให้เรามีเซอร์วิสมายด์ ซีมองว่าการที่เราจะอยู่ในสังคม การทำธุรกิจมันต้องมีเซอร์วิสมายด์รวมอยู่ด้วย ซีจะไม่ชอบวิชาเลข ซีชอบเรียนอะไรที่ใช้ได้จริง ไม่ต้องมานั่งจำทฤษฎี การสอนให้เราคิดผลิตภัณฑ์แล้วมาคิดว่าจะทำการตลาดอย่างไร มันสนุก”

ฉายา “อาม่าไฮเทค”
โตมาเป็นคุณหนูสวยมั่นแบบนี้ แทบไม่น่าเชื่อว่าตอนเด็กเธอจะมีวีรกรรมเยอะมาก เป็นเด็กขี้อายมาก แต่ก็ชอบแกล้งเพื่อนสุดๆ และด้วยบุคลิกแบบเด็กเรียน ใส่เกล็กดัดฟัน เกล้าผมตึง เดินหลังค่อม แต่ชอบมีของใหม่ๆ เธอจึงถูกเพื่อนตั้งฉายาให้ว่า “อาม่าไฮเทค” ซึ่งเธอก็ไม่ได้ชอบกับฉายานี้เท่าไหร่นัก
“ตอนมัธยมจะถูกล้อเยอะมาก เรียกซีว่าอาม่าไฮเทค เขาหาว่าซีแก่หน้าเหมือนอาม่า แต่ก่อนซีหน้าเกลียดมา ดัดฟัน ตัวเล็ก ผอมมาก เดินหลังค่อมด้วย ก็เลยดูเหมือนอาม่า ส่วนไฮเทคก็น่าจะมากจากเรามีโทรศัพท์มือถือ มีอะไรใหม่ๆ แน่เลย

แต่ก่อนเป็นอะไรไม่รู้ปล่อยผมแล้วจะร้องไห้ ต้องเกล้าผมตึง เพื่อนจะชอบแกล้ง ดึงผมออก จะโมโห ร้องไห้ หน้าจะเล็กกว่านี้อีก หนัก 30 กว่าเอง ตัวดำด้วย กลับจากอเมริกา เล่นซอฟบอล ตัวดำ กระขึ้น นานมากกว่าจะขาว เป็นปี ต้องขอบคุณวิวัฒนาการการดัดฟัน พอดัดฟันแล้วฟันแล้ว ยิ้มแล้วดูดีขึ้น โตมาอ้วนขึ้นด้วย ก็เลยพอดี”

บุคลิกภายนอกดูตัวเล็กๆ บอบบางน่าแกล้ง แต่จริงๆ แล้วเป็นเธอมากกว่าที่เป็นฝ่ายชอบแกล้งเพื่อน แถมแต่ละวีรกรรมที่เธอเล่าก็ค่อนข้างเล่นแรงใช่ย่อย

“ตอนเด็กจะมีสมัยหนึ่งที่ฮิตเปิดกระโปรง ซีก็ชอบแกล้งเปิดกระโปรงเพื่อน มีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนเรียกแม่มาเลยค่ะ แต่เขาก็เปิดกระโปรงซีเหมือนกันนะ ซีก็เอาคืน ซีจะมีวีรกรรมแกล้งเพื่อนเยอะมาก มีครั้งหนึ่งเพื่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ซีก็ให้เพื่อนอีกคนไปแอบเอาเสื้อผ้าเขาออกมาไปแขวนไว้ข้างหน้าล็อกเกอร์ แล้วเขาก็ไม่มีเสื้อผ้าใส่กลับ อีกครั้งหนึ่งก็ไปกินข้าวที่โรงอาหารเราก็เทเกลือแก้วเพื่อน แล้วคนๆ ให้กิน ซีแกล้งแต่เพื่อนสนิทก็ไม่โกรธกันเท่าไหร่ ขำๆ มากกว่า” 

แข็งแรงเพราะฟิตเนส
ถึงแม้เธอจะมีคุณพ่อเป็นคุณหมอ แต่ท่านก็ท่านก็ไม่ใช่คนซีเรียสว่าจะต้องหาอะไรมาเสริม หรือบำรุงให้ลูกสาว แต่จะให้ความสนใจกับการเลือกของกิน เน้นให้กินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายมากกว่า

“คุณพ่อชอบออกกำลังกายมาก ที่บ้านจะมีห้องฟิตเนส ต้องกลับมาเล่นฟิตเนสทุกวัน เวลาเราขี้เกียจออกกำลังกายคุณพ่อจะชอบยกตัวอย่างคนไข้ให้ฟังว่า ดูสิ วันนี้มีคนแก่มา ปวดโน่น ปวดนี่ เขาไม่ชอบออกกำลังกาย คือคุณพ่อจะชอบยกตัวอย่างคนไข้มาให้เราคิด

วิธีออกกำลังกายของซีก็จะเข้าฟิตเนสที่บ้าน ซีเป็นคนชอบกินผักเยอะมาก เวลาไปหอเพื่อน ก็จะถามเพื่อนว่าทำไมห้องนี้ไม่มีผลไม้เลย เพื่อนก็บอกจะบ้าหรือเปล่า อยู่หอใครเขามีผลไม้ ซีเป็นตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนเรียนมัธยม หลังโรงเรียนจะมีของกิน แล้วทุกคนไปซื้อ โตเกียว ไก่ทอด เฟรนฟราย แต่ซีจะไปร้านกล้วยปิ้ง มันปิ้ง ผลไม้ คนถึงเรียนซีว่าอาม่า ซีไม่กินขนมเลย เพื่อนจะบอกว่าซีชอบกินของคนแก่ ซีจะชอบกินถั่วต้ม กล้วยปิ้ง ข้าวโพดปิ้ง กินแต่อย่างนี้”
 
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์ 

ภาพโดย วรวิทย์ พานิชนันท์






 3 สาว คลื่นลูกใหม่ของเอ็กแซ็กท์
กำลังโหลดความคิดเห็น