องศาร้อนที่มีอยู่ในตัวสาวเปรี้ยวคนนี้เคยหลอมละลายวงการลูกทุ่งให้แดดิ้นไปกับความเซ็กซี่ของเธอได้อย่างง่ายดาย ถึงวันนี้ดีกรีความฮอตที่เคยมีก็ยังไม่มอดดับไปไหน กลับยิ่งปะทุขึ้นมาใหม่ด้วยเชื้อไฟจากพระเอกหนุ่มคาสโนวาแห่งช่องมากสี “วี-วีรภาพ” ปฏิบัติการเขย่าหัวใจลูกทุ่งสาวเซ็กซี่ในครั้งนี้จะร้อนแรงแค่ไหน ซูเปอร์สตาร์จากสองวงการจะเร้าอารมณ์ให้น่าติดตามได้มากเพียงใด จะได้รู้จากตัวตนทั้งหมดของเธอวันนี้ “ใบเตย อาร์สยาม”
แค่เพียงขยับกาย เคลื่อนย้ายทรวดทรงสมสัดส่วนไปตามคำเรียกร้องของคนหลังเลนส์ไม่กี่องศา ก็เล่นเอาใจเต้นตึกตักไปกับความเซ็กซี่ของเธอคนนี้ได้ง่ายๆ แล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใด “ใบเตย-สุธีวัน ทวีสิน” จึงถูกวางตัวให้เป็น “ลูกทุ่งสาวเซ็กซี่” เจ้าของท่าเต้นเขย่าสะโพกเร้าอารมณ์อย่าง “สกัดดาวยั่ว” “โคโยตี้ค่ะพี่” และ “เช็คเรตติ้ง” จนกลายเป็นนักร้องลูกเอื้อนที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
ไม่ปล่อยทิ้งจังหวะให้ดาวรุ่งถูกสกัด เธอยังย้ำดีกรีความฮอตให้ยิ่งพุ่งกระฉูดขึ้นไปอีกเมื่อต้นปีนี้ด้วยการแอ่นอกสลัดผ้า ต่อท้ายด้วยข่าวคราวความสัมพันธ์ล่าสุดกับพระเอกหนุ่มคาสโนวาแห่งช่องหลากสี ร้อนฉ่าทุกองศาขนาดนี้ คงทนปล่อยให้เธอผ่านไปเฉยๆ อีกต่อไปไม่ได้แล้ว… อย่างนี้ต้องเปิดอกคุยกัน!
เซ็กซี่... นี่แหละฉัน
เดรสผ้ายืดแนบเนื้อตั้งแต่บนจดล่าง เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะเนื้อหนังส่วนที่ไร้การปกปิดอย่างช่วงเอวและช่วงขาตั้งแต่เหนือเข่าลงไป ดูก็รู้ว่าคนสวมใส่รู้จักใช้เสน่ห์ของเพศหญิงและจุดเด่นที่มีอยู่ในตัวได้อย่างดีเยี่ยม จะว่าไปแล้วตัวจริงของเธอดูแทบไม่แตกต่างจากภาพที่เคยเห็นผ่านมิวสิกวิดีโอเลย หรืออาจเปรี้ยวกว่าด้วยซ้ำไป ตกลงแล้วใบเตยถูกวางให้รับบทลูกทุ่งเซ็กซี่หรือเจ้าตัวเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ต้องลองถามดู
“จริงๆ ทางค่ายไม่ได้บังคับหรอกค่ะว่าหนูต้องเป็นลูกทุ่งเซ็กซี่ แต่เขาคงเห็นตัวตนของหนูแบบนี้นี่แหละ หนูเป็นคนไม่แต่งตัวเยอะค่ะ ความจริงไม่ชอบใส่ขายาวเลยถ้าไม่จำเป็น คือไม่ได้อยากโชว์นะ แค่รู้สึกว่าแต่งตัวแบบนี้มันสบายดี ใส่แล้วมันคล่องตัวแล้วก็มั่นใจ ถ้าเลือกได้ระหว่างลุคเซ็กซี่กับลุคหวานๆ หนูคงเลือกเซ็กซี่ค่ะ เพราะถ้าไม่เซ็กซี่มันก็ไม่น่าจะใช่ใบเตยแล้วล่ะ (ยิ้ม) หนูเคยพยายามจะแต่งเรียบร้อย ใส่ชุดยาวๆ มานะคะ แต่พอมาเจอคนที่เคยเห็นลุคเดิมๆ ของเรา เขาก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันไม่ใช่อ่ะ เราเลยรู้ว่าอ๋อ! นี่มันไม่ใช่เรา ต้องใส่สั้นๆ นั่นแหละคือฉัน”
ที่ตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำขนาดนี้ คงเพราะใบเตยเคยทดลองหวานมาก่อนแล้วจริงๆ ถ้าย้อนกลับไปดูเอ็มวีเปิดตัวของเธอ “ปากไม่...ใจคิดถึง” จะเห็นว่ากว่าจะมาลงตัวที่เปรี้ยว สั้น เซ็กซี่อย่างทุกวันนี้ เธอเป็นสาวผมเปียน่ารักเรียบร้อยมาก่อน แต่มันไม่เวิร์ก จึงส่งเพลง “โคโยตี้ค่ะพี่” ออกมาเขย่าวงการลูกทุ่ง จนกระแสนิยมพุ่งปรี๊ดชนิดฉุดไว้ไม่อยู่ และแน่นอนว่าย่อมมีเสียงตอบรับที่ไม่พึงประสงค์ตามมาด้วย
“พอเพลงที่สองก็เปลี่ยนลุคจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยค่ะ จากหวานๆ เปลี่ยนเป็นใส่สั้นไปเลย สั้นจนจะเป็นชุดว่ายน้ำอยู่แล้ว (หัวเราะ) เลยโดนด่าเลยค่ะว่าแรกๆ ก็มาใสๆ ทำไมต่อมาถึงแรดได้ขนาดนี้ เขาด่ากันในเน็ตอย่างนี้จริงๆ นะ พออ่านคอมเมนต์ก็มานั่งคิดว่าเราโป๊ไปเหรอ ทำไมคนเขาด่าเราแรงขนาดนี้ จนเพลง “เช็คเรตติ้ง” ออกมา คนก็เริ่มเข้าใจแล้วก็รับได้มากขึ้น จริงๆ ก็อยากให้ทุกคนรู้ค่ะว่ามันคืองาน ปกติหนูก็ไม่ได้ใส่สั้นอะไรขนาดนั้นทุกวันอยู่แล้ว”
เช่นเดียวกับงานแฟชั่นเซ็กซี่ชุดล่าสุดซึ่งเป็นการเปิดซิงครั้งแรกในชีวิต สาเหตุที่ตกลงถ่ายก็เป็นเพราะมันไม่ต้องโกยอึ๋มโชว์โป๊อะไรมากมาย จึงคิดว่าไม่น่าจะเสียหาย แต่ถ้าในอนาคตเธอพร้อมกว่านี้ อาจจะลุกขึ้นมาโชว์หวิวถึงขั้นสลัดผ้าท้าลมร้อนเลยก็ได้ “หนูอยากหุ่นดีกว่านี้แล้วค่อยถ่ายค่ะ หรือรอให้โต ให้ดัง ให้มีชื่อกว่านี้ก่อน หนูไม่ได้อยากดังจากการถ่ายเซ็กซี่ค่ะ แต่ยอมรับว่าอยากถ่ายครั้งหนึ่งในชีวิตเหมือนกัน อยากมีรูปพวกนี้ไว้ดูตอนแก่ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยหุ่นดีนะ” เธอทิ้งท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
พูดถึงประเด็นเซ็กซี่มามากจึงขอให้ลองวิเคราะห์ตัวเองเสียเลย “คิดว่าส่วนไหนของตัวเองเซ็กซี่ที่สุดเหรอ อืม...(กวาดตาคล้ายกำลังใช้ความคิด) เรื่องแบบนี้แล้วแต่คนมองค่ะ ถ้าเป็นคนอื่นมองหนู น่าจะเป็นขาค่ะ เห็นเขาบอกว่าเราดูมีสะโพก อก เอว ขายาว แต่หนูก็เฉยๆ กับตัวเองนะ ลองไปดูเอ็มวีเพลงแรกหนูเงือกมากเลย (ระเบิดหัวเราะออกมา) หนูมองความเซ็กซี่ของผู้หญิงว่ามาจากข้างใน ออกมาจากคาแร็กเตอร์ การพูดจาสื่อสารกับคนอื่นมากกว่าค่ะ เป็นเหมือนเสน่ห์ที่มีอยู่ในตัวแต่ละคน” ซึ่งถ้าวัดระดับเสน่ห์จากบุคลิกร่าเริง ยิ้มง่าย พูดเก่ง อารมณ์ขันแล้ว คงต้องบอกว่าเธอมีมันอย่างเหลือล้นเลยทีเดียว
ใบเตย-คันหู!
ใส่สั้นขนาดนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าขึ้นเวทีแล้วชุดของเธอจะยิ่งทวีความสั้นมากขนาดไหน และถึงแม้ว่าใบเตยจะเซฟตัวเองด้วยการใส่กางเกงไว้ข้างในอย่างไร แต่ก็ยังมีผู้ชมบางกลุ่มที่จ้องจะจองพื้นที่ชิดติดขอบเวที ใช้มุมเงยเสยใต้ชายผ้าเพื่อสนองความต้องการของตนเองโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ในฐานะคนถูกแทะโลมทางสายตาและถูกลวมลามบางครั้งที่เผอเรอ จึงทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ระวังตัว รวมถึงดึงเทคนิคการเอาตัวรอดต่างๆ ออกมาใช้เมื่อถึงเวลาเข้าตาจนจริงๆ
“ถูกจ้อง มีจับมือ ดึงมือมาหอม ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปช้อนใต้กระโปรงก็เยอะค่ะ มีทุกวันเลยแหละ โดยเฉพาะตามลานเบียร์หรืองานที่คนเมาเยอะๆ เราเป็นนักร้องอยู่บนเวที เป็นคนเดียวที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เราก็ต้องหาวิธีแก้ไขเฉพาะหน้าเองให้ได้ ต้องสังเกตท่าทางแต่ละคน บางคนเมาๆ มาถึงจะพยายามมาดึงมือเรา มาคล้องมาลัย เรายื่นมือให้คล้องเขาไม่ยอม บอกจะคล้องคออย่างเดียว เราก็ต้องเลี่ยงไม่รับไปก่อนค่ะ รอให้ร้องเพลงจบค่อยคุยกับเขาดีๆ บอกว่าพี่ขา หนูยังรับพวงมาลัยพี่ไม่ได้นะคะ ขอโทษด้วย ตอนนี้หนูอ้วนค่ะ ชุดมันติ้ว (ยิ้มขำๆ) หรือถ้าจำเป็นต้องรับจริงๆ หนูก็จะนั่งพับเพียบลงไปเลย เราต้องใช้เซนส์ของการเป็นนักร้องมาจัดการกับแต่ละสถานการณ์ให้ได้ค่ะ”
ให้ลองเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่มีแนวเพลงคล้ายกันอย่าง “จ๊ะ-คันหู” ดู ใบเตยได้แต่ยิ้มแบบไปไม่ถูก ก่อนแสดงทัศนะอย่างตรงไปตรงมา “หนูว่าเพลงหนูแรงแล้วนะ เจอคนนี้เข้าไป หนูยอมแพ้เขาเลยล่ะ (พูดไปยิ้มไป) จริงๆ แล้วตัวเพลงคันหูมันไม่มีอะไรเลยนะ ถ้าเคยฟังเจ้าของเพลงร้องจะไม่คิดอะไรเลย แต่ก็กลับกลายเป็นว่าไม่ดัง แต่พอน้องจ๊ะหยิบเพลงเดียวกันมาร้อง ด้วยท่าที่พรีเซนต์ออกมามันเลยทำให้คนพูดถึงเยอะ ซึ่งมันแรงไปนะหนูว่า เราเป็นคนไทยนะคะ อย่างหนูแค่แต่งตัวโป๊ ขนาดไม่ได้เต้นโป๊หรือใส่เสื้อใน-กางเกงในตัวเดียว หนูยังโดนด่า แล้วนับประสาอะไรกับน้องเขา หนูดูเขาตอนแรกยัง โห! เลย ทำไมอย่างนี้เนี่ย!”
“แต่ของแบบนี้มันต่างคนต่างมุมมองค่ะ ถ้าเป็นผู้ชาย ชอบเขาแน่นอน อันนี้คอนเฟิร์ม แต่อีกมุมหนึ่ง หนูว่าคนที่จะกล้าเด้งต่อหน้าคนดู กล้าอยู่บนเวทีด้วยท่าขนาดนั้น เขาต้องแน่นอนจริงๆ นะ ไม่รู้จะอธิบายยังไง (ยิ้มเขินๆ) พอเห็นแบบนั้นแล้วรู้สึกเลยว่าเรายังกล้าและกร้านโลกไม่ได้ขนาดนั้น แต่อาจจะเอามาเทียบกันไม่ได้ค่ะ มันคงอยู่ที่ว่าแต่ละคนจะอยากให้คนอื่นมองแล้วชื่นชมเราไปในทางไหนมากกว่า ถ้าเป็นหนู หนูคงอยากให้คนชื่นชมที่งานเพลงเป็นหลักก่อน เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะพรีเซนต์โป๊ตั้งแต่เริ่มอยู่แล้ว”
ถึงแม้ผู้ชมบางส่วนจะยังไม่เข้าใจ เหมารวมเธอไปแล้วว่าเป็นประเภทเต้นยั่วเย้าโชว์ลีลาขายเซ็กซี่อยู่บนเวที แต่ใบเตยมั่นใจว่าถ้าได้ลองติดตามงานของเธอสักครั้งโดยไม่มีอคติจะรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเลย “ดูจากมิวสิก ฟังจากเพลง คนอาจจะมองเราในแง่ลบๆ แต่พอไปดูคอนเสิร์ต เขาจะเห็นว่าเรากำลังพยายามทำอะไรอยู่ เวลาขึ้นเวทีหนูไม่ได้ร้องโป๊ๆ ทุกเพลงนะ หนูมีโชว์เสียงให้คนดูได้เห็นความสามารถของเราจริงๆ แล้วเขาก็จะเข้าใจเองว่าเอ้อ! ใบเตยมันก็ไม่ได้เน้นเซ็กซี่อย่างเดียวนะ มันยังร้องเพลงช้าๆ เพราะๆ ได้ ยังถือว่าเป็นนักร้องตัวจริงได้อยู่”
ทุกวันนี้ใบเตยยังคงถูกจ้างงาน ทัวร์คอนเสิร์ตออกต่างจังหวัดทุกวัน วันละจังหวัด เธอจึงไม่เคยกังวลว่าโชว์เซ็กซี่จากวงอื่นๆ จะมาแย่งงานของเธอ เพราะอย่างไรเสียผู้ชมก็เป็นคนละกลุ่มเป้าหมายกันอยู่แล้ว ที่สำคัญยังมีแฟนคลับตั้งแต่รุ่นเล็กจนถึงรุ่นใหญ่คอยให้กำลังใจเธออยู่ทั่วทุกภาคเลยด้วย
“มีน้องคนหนึ่งค่ะชื่อน้องอก หนูไปทีไรเขาก็จะถักผ้าพันคอมาให้ทุกที ร้องเพลงเราได้หมด มีทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเรา แล้วก็พี่อีกคนชื่อพี่อนุกูล เป็นผู้ชายอายุ 30 ต้นๆ เขาทำงานอยู่พิจิตร แต่ถ้าหนูไปเล่นที่นครสวรรค์ พิษณุโลก เขาจะนั่งรถไฟไปดูทุกครั้งเลย ทุ่มเทมากๆ หรืออย่างงานเมื่อวานที่สมุทรสาคร งานอยู่ลึกมาก ต้องขับรถเข้าไปไกลมาก แล้วศิลปินที่มาเล่นก็มีวันละคน ตอนแรกคิดว่าคงไม่ค่อยมีคนดูเราแล้ว แต่พอไปถึงเห็นคนนั่งรอเต็มเลย โห! นี่เหรอคือคนที่มารอดูใบเตย อาร์สยาม ชื่นใจมากจริงๆ ค่ะ” แววตาของเธอสื่อความรู้สึกได้เป็นอย่างดี
ลูกทุ่งเปลี๊ยนไป๋!
“ตอนแรกที่มาร้องลูกทุ่งแบบนี้ หนูมองในภาพลบมากเลยนะ” ใบเตยเริ่มเปิดประเด็นใหม่ “คือหนูเคยร้องเคยประกวดเพลงลูกทุ่งแท้ๆ มาตลอดไงคะ พอเปลี่ยนมาร้องลูกทุ่งป็อปก็แอบรู้สึกกลัวเหมือนกันว่าแฟนเพลงจะไม่ยอมรับ เราเข้าใจดีค่ะว่าคนคอลูกทุ่ง ยังไงเขาก็อยากฟังลูกทุ่งแท้ๆ มากกว่า แต่พอปล่อยเพลง “โคโยตี้ค่ะพี่” ออกมาพร้อมเพลง “ชิมิ” ของวงบลูเบอรี่ แล้วกระแสดีมาก กลายเป็นว่าแฟนเพลงเปิดกว้างให้ลูกทุ่งป็อปมากขึ้น คนเข้าใจว่าจริงๆ แล้วเราก็ยังเป็นลูกทุ่ง ร้องเพลงมีลูกคอเหมือนเดิม แต่แค่ทำให้ดนตรี จังหวะ เนื้อหา ทำนองมีความทันสมัยมากขึ้นเท่านั้นเอง”
การได้อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นลูกทุ่งกับสตริงถือว่าเป็นผลดีต่อใบเตยอย่างมากทีเดียว เพราะถึงแม้ว่าเธอจะเริ่มหัดร้องจากเพลงลูกทุ่ง เค้นคอประกวดลูกเอื้อนมาตั้งแต่สมัยยังไม่เจนเวที แต่เอาเข้าจริงแนวเพลงที่เธอถนัดมากที่สุดคือเพลงไทยสากล ซึ่งทำให้เธอได้เซ็นสัญญาเป็นนักร้องมีสังกัดมาจนถึงทุกวันนี้
“ตอนแรกหนูเซ็นสัญญาเข้ามาอยู่ทางฝั่งสตริงของอาร์เอสนะ เพราะหนูชนะโครงการ Panasonic Star Challenge ปี 2004 ได้นักร้องยอดเยี่ยมระดับประเทศ แต่ช่วงนั้นค่ายเพลงสตริงหลายค่ายกำลังมีปัญหา โดนยุบกันเยอะมากค่ะ พอดีค่ายอะบอริจิ้นทำเพลง “วิทยาลัยหลายใจ” ของพี่วิทย์ ไฮเปอร์ออกมา กับอัลบั้มหนุ่มบาวสาวปาน แล้วมันเวิร์กมาก เขาเลยอยากขยายตลาดเพลงลูกทุ่งที่มีกลิ่นอายสตริง พี่เขาเห็นว่าหนูร้องเพลงลูกทุ่งได้ หนูร้องเพลง “หัวใจถวายวัด” ไปเสนอแล้วเขาถูกใจมาก หนูเลยกลายเป็นนักร้องเบอร์แรกที่ถูกโยกจากสตริงไปร้องลูกทุ่งค่ะ แต่หนูก็ดีใจนะ”
ถึงแม้ว่าเธอจะจับพลัดจับผลูได้มาเป็นนักร้องลูกทุ่ง แต่ใบเตยยังยืนยันหนักแน่นว่าเธอเป็นคนหนึ่งที่มีหัวใจลูกทุ่งอย่างเต็มตัว ทั้งยังรู้สึกดีใจอย่างที่พูดจริงๆ โดยเฉพาะเวลาได้เห็นคนรุ่นใหม่ร้องเพลงลูกทุ่งกันได้เป็นแถว
“การเป็นนักร้องลูกทุ่งไม่ได้หมายความว่าเราต้องแต่งตัวลูกทุ๊ง...ลูกทุ่ง เสื้อลายดอก เราเป็นนักศึกษา แต่งตัวตามปกติก็ได้ เพียงแค่เสียง เพียงแค่ใจเรามากกว่าที่เป็นลูกทุ่ง ทุกวันนี้แฟนคลับหนูอายุสองขวบร้องเพลงเช็คเรตติ้ง ตะลิงตะลิงติง ได้หมดนะ (ยิ้มกว้าง) ครั้งก่อนไปที่สมุทรสาครมา มีคนรอดูเราเป็นหมื่นๆ เลย บางที่เจ้าภาพขายบัตรใบละร้อย แต่เขาก็ไปดูกัน ถ้าเป็นแต่ก่อนคนฟังลูกทุ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนมีอายุเป็นหลัก แต่ตอนนี้มีทุกเพศทุกวัยเลยค่ะ ตั้งแต่เด็กสองขวบจนพ่อแก่แม่เฒ่าก็ฟังเรา ก็รู้สึกแปลกใจแล้วก็ดีใจเหมือนกันค่ะที่ผลตอบรับดีขนาดนี้”
นักล่าคอมเมนต์
หากเส้นทางสู่การเป็นดาวของคนสมัยนี้เรียกว่า “นักล่าฝัน” เธอคงสามารถเรียกตัวเองได้ว่า “น่าล่าคอมเมนต์” เช่นกัน เพราะใบเตยผ่านเวทีประกวดร้องเพลงมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก่อนจะถึงวันนี้ เพียงแต่สิ่งที่เธอต้องการอาจไม่ใช่แค่การคว้าอันดับไว้ติดถ้วยตั้งโชว์ แต่เป็นคำวิพากษ์วิจารณ์จากคณะกรรมการต่างหากที่สำคัญ
“ถ้าหนูไม่ได้ผ่านการประกวดมา หนูคงไม่มีวันนี้ค่ะ ถามว่าได้อะไรจากตรงนั้นบ้าง หนูว่าเด็กที่ประกวดร้องเพลงมาเยอะมากๆ อย่างหนู ทำให้กำไรชีวิตและชั่วโมงบินที่เรามีสูงกว่าคนอื่นแน่นอน ใจเราสู้กว่าคนที่ไม่เคยผิดหวังหรือไม่เคยประกวดมาแน่ๆ ความอดทน ความมุ่งมั่น ความเข้าใจ แล้วแต่ละที่ที่เข้าประกวดมันก็ไม่มีที่ไหนเหมือนกัน ตอนที่ยังประกวดอยู่หนูบอกตัวเองตลอดค่ะว่าเรามีหน้าที่เก็บสิ่งดีๆ จากคำคอมเมนต์ของคณะกรรมการแต่ละเวทีให้ได้มากที่สุด ดูว่าทำไมเราถึงไม่ได้แล้วอีกคนหนึ่งได้ มันต้องมีเหตุผลค่ะ พอรู้ข้อบกพร่องเราก็เอาจุดนั้นแหละมาปรับปรุงตัวเองในส่วนที่ยังทำได้ไม่ดีพอ”
พยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดแบบนี้นี่เองจึงทำให้ใบเตยกลายเป็นขาโกย... โกยรางวัลชนะเลิศกลับบ้านแทบทุกงาน เริ่มตั้งแต่การประกวดร้องเพลงที่หาดใหญ่ (บ้านเกิด) ตอน 10 ขวบ กระทั่งทุกวันนี้ลองกลับไปนับๆ ถ้วยรางวัลในตู้โชว์ดูมีจำนวนกว่า 80 ถ้วยแล้ว และคงมีมากกว่านี้ถ้ายังไม่ได้เซ็นสัญญาเป็นนักร้องอย่างเต็มตัว
“พอเสียงเริ่มเข้าที่เข้าทางก็ประกวดไม่หยุดเลยค่ะ ทั้งงานใหญ่งานเล็ก งานวัด งานประจำปี งานโรงเรียน อาจารย์จะส่งหนูประกวดตลอด ขนาดโครงการบอยแบนด์เกิร์ลกรุ๊ปที่ต้องรวมกลุ่มกับเพื่อนแสดงความสามารถทั้งร้องทั้งเต้น หนูยังประกวดเลย KPN ก็เคยไปแต่ตอนนั้นเข้าไม่ถึงรอบระดับประเทศ ได้แค่เป็นตัวแทนภาคเฉยๆ First Stage ก็เคยไปค่ะ ได้เซ็นสัญญากับทางแกรมมี่ด้วยปีหนึ่ง แต่ไม่ได้ทำอะไรเลยออกมา เดอะสตาร์ก็ไปมาเหมือนกัน” หางเสียงของเธอบ่งบอกว่าเวทีที่กำลังพูดถึงท้ายสุดต้องมีเหตุการณ์พิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแน่ๆ จึงขอให้ขยายความนาฬิกาวันเก่า
“ตอนนั้นอายุหนูยังไม่ถึงค่ะเขาเลยไม่รับเลือก แต่เพื่อนหนูคนหนึ่งอายุเท่ากัน ดันได้รับอนุญาตให้ประกวดได้ ตอนนั้นเลยเป็นประเด็นถกเถียงกันใหญ่โตเลยค่ะ ได้ออกทีวีด้วยหนูจำได้ (ยิ้มขำๆ) เพราะหนูเองก็ไม่ยอม บอกว่าเพื่อนหนูยังประกวดได้เลย ทำไมหนูจะประกวดไม่ได้ แอบวีนเหมือนกันค่ะ (หัวเราะ) มารู้ทีหลังว่าเขาโกงอายุเข้าไป”
จะบอกว่าสาวน้อยคนนี้เคยเจออุปสรรคมาแล้วทุกรูปแบบก็ว่าได้ “มีเวทีหนึ่งหนูประกวดชนะ เพื่อนอีกคนที่ไม่ได้รางวัลเขาหาว่าไม่ยุติธรรม ถึงขั้นฉีกประกาศนียบัตรกลางเวทีเลยก็มี (ยิ้ม) ตลกมาก ยิ่งประกวดที่ใต้จะจำกันได้แม่น เห็นหน้าเราแล้วอาจจะมีคิดว่านังคนนี้มันไปทุกเวทีเลยแฮะ (หัวเราะ) แต่คงไม่เคยมีใครคิดว่าเราได้เพราะเส้นนะ ทุกคนรู้ว่ากว่าจะได้เข้าแต่ละรอบมันยากลำบากขนาดไหน คัดแล้วคัดอีกจริงๆ อย่างเวที Panasonic หนูก็ส่งเทปเข้ามาติดกัน 3 ปีรวด เพิ่งมาติดระดับประเทศก็สองครั้งสุดท้าย แล้วกว่าจะได้ออกอัลบั้มก็ปาเข้าไปตั้งสองปี เพราะงั้นหนูไม่ใช่เด็กเส้นแล้วก็ไม่ได้ใช้เต้าไต่อะไรแน่ๆ ค่ะ เพราะไม่มีให้ไต่ (หัวเราะ)” เธอยังคงเล่าไปหยอดมุกไปอย่างที่เป็นมาตลอดบทสนทนา
ถึงแม้เวทีประกวดในปัจจุบันจะมีมากจนดูล้นเกินพอดีไปบ้าง แต่ในฐานะของเด็กที่โตมาบนเส้นทางการแข่งขันตรงนี้ เธอยังคงมองเห็นข้อดีมากกว่า “ไม่รู้ว่าคนที่มาประกวดคนอื่นเขาคิดเหมือนหนูหรือเปล่า แต่สำหรับหนู แค่มาประกวดแล้วทุกคนได้เห็นความสามารถของเราก็โอเคแล้วค่ะ จะได้รางวัลหรือไม่ได้ก็ถือว่าคุณชนะใจตัวเองแล้ว เทียบกับสมัยหนู ต้องรอให้เข้ารอบสุดท้ายได้ก่อนนะคนถึงจะรู้จักเรา แต่นี่แค่เป็นตัวแทนภาคก็ได้ออกทีวีแล้ว โอกาสมันมากขึ้นจริงๆ มากจนเด็กสมัยนี้อาจจะไม่ค่อยเห็นค่าเพราะได้มันมาง่ายกว่าสมัยเราเยอะ เชื่อไหมว่าถ้ากลับไปประกวดอีกได้ก็อยากกลับไปนะ” เชื่อแล้วว่ารักเวทีประกวดจริงๆ
เจ๊ดันปั้นลูก
คนที่ผ่านความผิดหวังจากการร้องเพลง สามารถยืนฟังคนอื่นติชมตัวเองได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องเป็นคนที่หัวใจไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ต้องมีกำลังใจเข้มแข็งมากๆ ซึ่งหนึ่งในเหตุผลข้อใหญ่ๆ ที่ช่วยให้ใบเตยมีพลังเดินมาได้จนสุดปลายทางอย่างทุกวันนี้ มองย้อนกลับไปเมื่อไหร่ก็มีคุณพ่อคุณแม่อยู่เป็นกำลังใจเสมอ โดยเฉพาะคุณแม่ที่รับหน้าที่เป็นเจ๊ดันสุดชีวิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“คุณแม่ชอบร้องเพลงมากตั้งแต่ตอนสาวๆ ค่ะ เป็นนักร้องมหาวิทยาลัยรามคำแหง ร้องเพลงเก่งมาก พอมามีหนูก็เลยอยากปั้นลูกสาว อยากให้ลูกสาวเจริญรอยตามตัวเอง เพราะสมัยคุณแม่เอง เขาใฝ่ฝันอยากเป็นนักร้องมาก แต่คุณตาหาว่าเต้นกินรำกิน อยากให้คุณแม่เรียนมากกว่า ก็เลยไม่ได้ทำตามความฝัน ทีนี้พอมีเรา คุณแม่เลยสนับสนุนเต็มที่ค่ะ ส่งหนูประกวดร้องเพลงตั้งแต่ 6 ขวบเลย (ยิ้ม) ตัวเท่าเนี้ย (เทียบระดับความสูงจากฝ่ามือถึงพื้น) ดันตลอดทั้งรำ เต้น ร้องเพลง จนรู้ทางว่าลูกสาวชอบการร้องเพลงมากที่สุด คุณแม่เลยยิ่งดันใหญ่เลยค่ะ”
“มีเวทีที่ไหนส่งหนูประกวดตลอด บางทีไปงานวัด ได้พัดลม ตู้เย็นเป็นของรางวัลก็ไปค่ะ ขอแค่ได้ประกวด รางวัลไม่สน (ยิ้มสดใส) คิดดูว่าคุณแม่เขาทุ่มเทกับหนูมากขนาดไหน บ้านเราอยู่ใต้ แต่ก็ขับรถพาหนูมากรุงเทพฯ ทุกเสาร์อาทิตย์เลยค่ะ พามาเรียนร้องเพลง ซื้อเสื้อผ้า แล้วก็เข้ามาประกวด กลายเป็นว่าต้องไปๆ กลับๆ ทุกอาทิตย์เลย บางทีก็ต้องค้างถ้ามีวันหยุดยาวๆ หรือเป็นช่วงใกล้แข่งจริงๆ พอได้เซ็นสัญญานั่นแหละค่ะ ถึงได้ย้ายมาเรียน ม.4 ที่กรุงเทพฯ คุณพ่อก็ไม่แพ้คุณแม่ค่ะ ตามไปถ่ายวิดีโอลูกแทบทุกงานเลย ส่วนหนูก็มุ่งมั่นมาก ซิตอัพเพิ่มพลังท้องทุกวัน กลับจากโรงเรียนก็ไปวิ่ง เสร็จแล้วก็ต้องวอร์มเสียง ซ้อมร้องเพลงกับคุณแม่ ฟิตกว่าตอนนี้เยอะ” เธอเน้นเสียงท้ายประโยคคล้ายกำลังแซวตัวเองอยู่
จึงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าคุณแม่คือครูสอนร้องเพลงคนแรกของใบเตย ทั้งยังเป็นคนจุดประกายให้เธอผูกพันกับโลกของลูกทุ่งอีกด้วย “คุณแม่มีเพลงของแม่ผึ้ง (พุ่มพวง ดวงจันทร์) ทุกชุดทุกเพลงเลยค่ะ แล้วก็จะร้องให้เราฟังตลอด หนูเลยร้องเป็นทุกเพลง ทั้งสาวนาสั่งแฟน นอนฟังเครื่องไฟ ขึ้นประกวดครั้งแรกหนูยังเลือกเพลงโลกของผึ้งประกวดเลยค่ะ คุณแม่เป็นคนช่วยสอนให้ตั้งแต่เด็กๆ ว่าต้องร้องยังไง เล่นลูกคอแบบไหน ถ้าเวทีไหนหนูประกวดแล้วไม่ได้ คุณแม่ก็จะจำคำคอมเมนต์ไว้แล้วพาหนูไปเรียนเพิ่ม เขาบอกลูกฉันยังไม่มีลูกคอ ลูกฉันต้องมีให้ได้ เสียงยังไม่มีเพาเวอร์พอ ก็พาไปเรียนกับครูอ้วน (มณีนุช) แล้วก็วิธีเอนเตอร์เทนนี่ได้มาจากคุณแม่ด้วยค่ะ ท่านชอบร้องชอบเต้น คุณแม่หนูแซ่บค่ะ (หัวเราะร่า)”
และแน่นอนว่าเมื่อถึงเวลาท้อแท้ หมดกำลังใจในการประกวด ก็คุณแม่และคุณพ่ออีกนั่นแหละที่ทำให้ใบเตยลุกขึ้นมาได้ “อย่างตอนเด็กๆ พอประกาศผลบนเวที หน้าเราจะนอยด์อย่างเห็นได้ชัดมาก (ยิ้ม) เหมือนจะร้องไห้ตลอด พอเขาประกาศว่าไม่ได้ กลับบ้านไปร้องไห้เลย คุณแม่ก็จะคอยปลอบว่าไม่เป็นไรลูก เวทีหน้าเอาใหม่ แพ้ครั้งนี้เดี๋ยวต่อไปก็ชนะ อย่างน้อยก็ได้มารู้จักกับเพื่อนๆ เสร็จก็พาไปเรียนร้องเพลงเพิ่ม แล้วก็บอกตลอดว่าหนูต้องขยันนะลูก อยากเก่งต้องฝึกเยอะๆ บางทีหนูก็ท้อนะคะ แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยท้อเลย คอยสนับสนุนแล้วก็เข้าใจเราตลอด ก็เลยทำให้ผ่านมาได้ ต้องขอบคุณท่านมากๆ เลยค่ะ” ดูเหมือนประโยคสุดท้ายจะเป็นการฝากข้อความมากกว่ากำลังพูดกับคู่สนทนา
L O “V” E
นอกจากความรักที่ได้รับจากครอบครัวแล้ว เธอยังมีนิยามอีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจในโลกสีชมพูของตัวเองด้วย เห็นเป็นสาวปราดเปรียว มีเสน่ห์ รวยอารมณ์ขันอย่างนี้ เมื่อพาตัวเข้ามาอยู่ในมุมรักๆ ใบเตยกลับนุ่มนิ่มอ่อนหวานกว่าที่คาดคิดไว้หลายเท่า “เห็นเปรี้ยวๆ อย่างนี้ จริงๆ แล้วหนูเป็นประเภทบูชารักแท้นะ ไม่ได้หลายใจหรือคบหลายคนเลย” เธอบอกอย่างนั้น ที่สำคัญ ประกาศไว้เลยว่าชีวิตนี้ต้องแต่งงานให้ได้ เพราะมันคืออุดมคติที่ฝันไว้
“หนูอยากแต่งงาน อยากมีครอบครัว วาดฝันไว้เลยค่ะว่าต้องแต่ง (หัวเราะเบาๆ) หนูเคยทะเลาะกับเพื่อนเรื่องนี้ด้วยนะ เพื่อนหนูคนหนึ่งเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน มันบอกว่าเราไม่แต่งงานหรอกนะเตย เรากลัวการแต่งงาน หนูบอกเลยว่าไม่ได้นะแก แกต้องได้แต่งงาน แกต้องได้ใส่ชุดขาว มีจัดงานในโรงแรม มาเดี๋ยวฉันจะจัดงานให้เอง ใครว่าการแต่งงานไม่สำคัญ หนูขอเถียงสุดพลังค่ะ (น้ำเสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยว)”
เมื่อถามว่าใบเตยอยากมีความรักแบบไหน จึงได้รู้มุมลับๆ ในตัวเธอเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ “ชอบเพลงรักเธอผู้เดียว ของพี่ธีร์ ไชยเดชค่ะ ที่ร้องว่า... (ร้องให้ฟัง) ไม่คิดว่ารักจะดีอย่างนี้ ไม่คิดว่าฝันจะเป็นไปได้ วันและคืนฉันเฝ้าแต่รอ เมื่อเห็นหน้าเธอฉันจึงเป็นสุข… ชอบมาก หนูชอบเพลงเกี่ยวกับการแต่งงานทุกเพลงเลยค่ะ ฟังแล้วมันชวนฝันดี หลังๆ มีรวบรวมอัลบั้มเก็บไว้เองด้วยนะ หนูคงอยากมีความรักอารมณ์ประมาณนี้มั้งคะ” เธอหัวเราะแก้เขิน
หันมาพูดถึงคนประเภทที่จะทำให้หวั่นไหวได้กันบ้าง “ไม่เคยวางสเปกไว้ค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะชอบผู้ชายที่ลุคใกล้เคียงกับตัวเอง หนูชอบผู้ชายมีเสน่ห์ หุ่นเซ็กซี่” เมื่อเห็นแววตาสงสัยของคนฟัง คนพูดจึงจัดให้เพิ่ม “เวลาผู้ชายมองผู้หญิง เขาก็จะชอบคนที่มีก้น มีสะโพก มีหน้าอก ขาสวย หนูว่าผู้หญิงก็ไม่ต่างกันค่ะ หนูชอบผู้ชายที่สมาร์ท รูปร่างดี ขี้เล่น เอาใจเก่ง ชอบผู้ชายเจ้าชู้ค่ะพูดง่ายๆ (หัวเราะ) จริงๆ ก็ไม่ได้ชอบผู้ชายเจ้าชู้หรอกค่ะ แต่ผู้ชายบุคลิกแบบนี้ส่วนใหญ่จะเจ้าชู้”
แล้วต้องผิวคล้ำด้วยหรือเปล่า? เมื่อเห็นว่าคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมามีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกับพระเอกหนุ่มมาดเข้มแห่งวิก 7 สี “วี-วีรภาพ สุภาพไพบูลย์” ซึ่งกำลังมีข่าวว่ากิ๊กกั๊กกันอยู่ ผู้สัมภาษณ์จึงเริ่มเข้าประเด็น “อ๋อ! ถ้าเป็นพี่วี เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานนี้เองค่ะ เริ่มจากว่าเขารู้จักกับพี่ชายหนูในวงการ สองคนนี้ถ่ายละครเรื่องเดียวกัน เหมือนพี่วีเห็นหนูจากทีวีแล้วชื่นชอบผลงานหนูก็เลยมาถามพี่ชาย บอกชอบเอ็มวีสกัดดาวยั่วที่เราแสดงเป็นแวมไพร์ น้องเขาน่ารักดี พี่หนูก็เลยแนะนำให้รู้จักกันค่ะ แค่นั้นเอง” ส่วนเรื่องที่มีสายข่าวรายงานว่าไปแอบนัดเดตกินข้าวกันนั้น เธอมีคำอธิบาย
“เห็นข่าวเขียนว่าไปเห็นหนูกับพี่เขากินข้าวด้วยกันที่เมเจอร์รัชโยธิน หนูก็ไม่รู้หรอกว่าเขาไปเห็นจริงๆ หรือเปล่า เพราะไม่มีรูปมายืนยันอะไร แต่จริงๆ แล้วเราแค่บังเอิญเจอกันค่ะ พี่เขาไปเล่นฟิตเนส เห็นเราก็เลยมาทัก พูดตรงๆ ว่าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าพี่เขาเข้ามาในแบบไหน แต่คิดว่าแค่ได้รู้จักกันก็ดีแล้วค่ะ คนอื่นอาจจะมองเขาเป็นคาสโนวา แต่หนูชื่นชมพี่เขาด้านการทำงานมากกว่าค่ะ เห็นมีถ่ายละครทุกวัน ดูเขารับผิดชอบเรื่องเวลาดีด้วย ก็ถือเป็นตัวอย่างดีๆ ไป ส่วนเรื่องเขาจะมาจีบหนูหรือเปล่า หนูว่าคงไม่หรอกค่ะ หนูเป็นนักร้องลูกทุ่ง พี่เขาเป็นถึงระดับพระเอก แค่รู้สึกยินดีค่ะที่ซุปตาร์ขนาดเขามาชื่นชอบผลงานเรา” ตอบก้ำๆ กึ่งๆ แบบนี้ หนุ่มๆ คงต้องคอยลุ้นแล้วว่า LOVE ของใบเตย จะมีตัว “V” อยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า... ถ้าใช่ก็หมดสิทธิ์
---ล้อมกรอบ---
แข่งกันสวยกับน้องชาย
ไม่ใช่แค่คุณแม่และใบเตยที่เสียงดี แต่น้องชายของเธอก็เก่งใช่เล่นเหมือนกัน เคยผ่านเวทีประกวดมามากกว่าใบเตยเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็เบนเข็มออกจากเส้นทางนี้เพราะข้อจำกัดที่ว่า “น้องหนูเป็นตุ๊ด”
“พอเสียงแตก เขาก็ไม่ค่อยร้องแล้วค่ะ เหมือนรู้ตัวเองว่าสังคมไม่ค่อยจะเปิดรับตรงนี้ เขาเลยรู้ว่าต้องไปอยู่ตรงไหน เคยประกวดเดอะสตาร์ด้วยนะ หนูยังเชียร์อยู่เลย แต่ก็ไม่ได้เข้ารอบทั้งที่เขาเสียงดีมากนะ ดีกว่าหนูอีก คิดว่าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเรื่องเพศนั่นแหละค่ะ แต่ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ คิดดูว่าระหว่างกะเทยที่เสียงดีกับผู้หญิงที่เสียงดีเท่าๆ กัน เขาเลือกผู้หญิงอยู่แล้วค่ะ หรือถ้าเทียบกับผู้ชายอย่างพี่บี้ เดอะสตาร์ ถึงเสียงพี่บี้จะไม่ได้ดีมาก แต่ดูน่ารัก ขายได้ ยังไงเขาก็ต้องเลือกผู้ชายอยู่แล้ว สังคมเรายังเปิดเรื่องกะเทยไม่เยอะหรอกค่ะ นอกจากจะสวยจริงๆ อย่างน้องปอย นั่นแหละเขาถึงจะเลือก”
ก่อนหน้านี้ใบเตยก็ยังทำใจเรื่องเพศของน้องไม่ได้เช่นกัน “พอรู้ว่าเขาไปเที่ยวกับเพื่อนที่เป็นตุ๊ดแล้วโกหกหนูว่าไปกับเพื่อนผู้ชาย หนูก็ตีเขาหนักเลยจนเขากราบหนู บอกว่าพี่เตยอย่าตีน้องเลย น้องใจเป็นอย่างนี้แล้ว พอมาคิดๆ ดูเขาก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เล็กๆ แล้วจริงๆ จำความได้ก็สวยเลย อนุบาลหนึ่งเขาก็เต้นส่ายสะโพกแล้ว (หัวเราะ) เราก็เลยยอมรับค่ะ ทุกวันนี้ชวนกันสวยตลอด หนูมีเครื่องสำอางอะไรเขาก็ต้องมีด้วยไม่ให้น้อยหน้ากัน” ใบเตยยิ้มอย่างเอ็นดู
หล่อจนร้องไม่ออก
นอกจากฝันอยากเป็นนักร้อง อยากแต่งงาน เธอยังเคยฝันอยากเป็นนางแบบด้วย “ชอบโพสท่าถ่ายรูปมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ถ้าสูงและสวยได้เหมือนญาญ่าคงไปทางนั้นแล้ว (หัวเราะ)” แต่ที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะเป็นเลยคือการเป็นนักแสดง และยิ่งมั่นใจมากขึ้นหลังจากได้ลองรับบทในภาพยนตร์เทิดพระเกียรติเรื่อง “เทพธิดาบ้านทุ่ง”
“พอเล่นแล้วก็รู้เลยว่าจะไม่เล่นอีกแล้ว (หัวเราะเนือยๆ) ไม่ชอบค่ะ บอกได้เลย รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรา เพราะเวลาหนูร้องเพลง หนูใช้ความเป็นตัวเอง ไม่ต้องสวมบทบาทเป็นใคร มันยากนะคะ คิดดูว่าจู่ๆ จะให้หนูไปร้องไห้ หนูจะทำได้เหรอ ไม่มีทางค่ะ เพราะหนูดีใจมากที่เขาเลือกหนูไปแสดง แถมได้อยู่ใกล้พระเอกที่หล่อๆ จะให้มานั่งร้องไห้มันจะไปร้องออกได้ยังไง ดีใจจะตาย (หัวเราะ) แล้วตอนออกกองก็เหนื่อยมากด้วย อย่างหนูขึ้นเวที ร้องสัก 40 นาที เหงื่อยังไม่ทันแตกด้วยซ้ำ ก็ได้ลงจากเวทีแล้ว แต่นักแสดงต้องรอแล้วรออีก บางทียืนเป็นชั่วโมงด้วย เข็ดเลย ไม่เอาดีกว่า” เธอฟันธงหนักแน่น
ถ้าจะให้เลือกหนึ่งอย่างที่อยากทำ “พนักงานการโรงแรม” น่าจะเป็นตัวเลือกที่เวิร์กกว่า เพราะใบเตยเป็นคนชอบเที่ยวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อาจเป็นเพราะคุณพ่อมีธุรกิจโรงแรมที่ภูเก็ต และคุณแม่พาไปเที่ยวต่างประเทศอยู่บ่อยๆ เวลาทำยอดจากงานขายได้เยอะๆ ทุกวันนี้เธอเลยหลงเสน่ห์การท่องเที่ยวไปแล้วเรียบร้อย
“ชอบเที่ยวค่ะถึงได้เลือกเรียนการท่องเที่ยวการโรงแรม ชอบถึงขั้นที่ว่าขึ้นเครื่องทุกครั้ง หนูจะแอบจิ๊กนิตยสารท่องเที่ยวของเขามาด้วย บางทีนึกอยากเที่ยวเชียงใหม่ หนูก็ขับรถไปได้เลยนะ ทุกวันนี้งานอดิเรกของหนู นอกจากชอปปิ้ง คือการเสิร์ชเน็ตหาที่สวยๆ ทุกที่ในประเทศแล้วหาทางไปพักค่ะ เป็นไปได้ก็อยากไปพักโรงแรมที่ดีที่สุดของแต่ละจังหวัด เวลาไปทัวร์คอนเสิร์ตก็จะเรียกร้องเจ้าภาพไปบ้าง (ยิ้มร่าเริง) หรือถ้าเขาไม่ไหว เราก็ออกส่วนต่างเองก็มี จะได้ไปทำงานด้วย ไปเที่ยวด้วย ชอบจริงๆ ค่ะ น้องบอกอีกนิดเดียวใกล้บ้าแล้ว มีหนังสือพวกนี้อยู่เยอะมาก” ฟังจากเสียงที่พูดเน้นแล้ว สงสัยจะมากจริงๆ
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : ใบเตย-สุธีวัน ทวีสิน
วันเกิด : 24 มีนาคม 2531
ส่วนสูง : 157 ซม.
น้ำหนัก : 41 กก.
การศึกษา : นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สาขาการโรงแรม
ความสามารถ : เต้นแจ๊ซแดนซ์, ฮิปฮอป, เล่นอิเล็กโทน, เปียโน
ผลงาน : อัลบั้ม “The Message” และ “ใบเตย อาร์สยาม ชุดที่1 เช็คเรตติ้ง”
รางวัลที่ได้รับ : ชนะเลิศการประกวดร้องเพลงไทยลูกทุ่งงานวันการศึกษาเอกชนและวันสงกรานต์ประจำเทศบาลนครหาดใหญ่, นักร้องยอดเยี่ยมระดับภาคโครงการ “Panasonic Star Chalenge” ปี 2002 และเป็นนักร้องดีเด่นระดับประเทศปี 2004 จากเวทีเดียวกัน
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... พลภัทร วรรณดี