“ขอ-คำ-ณึง” ร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศอบอุ่นใต้ตึกเดอะชาโตว์ ในซอยลาดพร้าว 35 ได้ยินชื่อร้านครั้งแรกก็รู้สึกว่าสามารถตีความได้หลายความหมาย อาจจะสื่อถึงความหมายน่ารักๆ ว่าขอกินคำนึง หรือขอให้คิดถึงร้านนี้อีก แต่ที่ตรงใจสุดๆ คงเป็นชื่อร้านภาษาอังกฤษว่า “One More Bite” เพราะใครได้มาลองกินอาหารอิตาเลียนรสชาติถูกปากคนไทยที่นี่ เป็นต้องพูดเหมือนกันว่า “ขอคำนึงไม่พอต้องขออีกหลายๆ คำ”
“รวิพัธน์ วัฑฒกานนท์” เจ้าของร้านบอกว่าที่เลือกทำเลตรงซอยลาดพร้าว 35 เพราะบังเอิญรู้จักกับเจ้าของอพาร์ตเมนต์ และมองว่าซอยนี้เป็นซอยที่คนอยู่เยอะ เป็นซอยทางลัดสามารถเข้า-ออกได้หลายทาง
เมนูของร้านส่วนใหญ่จะเป็นอาหารจานเดียว มีทั้งอาหารไทย และอาหารอิตาเลียนในราคาไม่ถึง 100 บาท และมีบริการส่งอาหารสำหรับลูกค้าละแวกใกล้เคียง ทุกเมนูปรุงสดๆ ใหม่ๆ เน้นวัตถุดิบที่มีคุณภาพ เพื่อให้ได้รสชาติอร่อยถูกปากคนไทย ไม่ว่าจะเป็นข้าวผัดปลาเค็ม, สปาเกตตีหลากหลายชนิด, ผักโขมอบชีส โดยเชฟซึ่งเรียนจบหลักสูตร “การปรุงอาหารนานาชาติ (International Cuisine) มาจากโรงเรียนวิชาการโรงแรมแห่งโรงแรมโอเรียนเต็ล
เชฟพีทเล่าว่า “อาหารอิตาเลียนเป็นอาหารที่ชอบทำมากที่สุด เพราะคอนเซ็ปต์ของอาหารอิตาเลียนคือง่าย ไม่เน้นตกแต่งเยอะ จะเน้นที่รสชาติมากกว่าหน้าตา ก็เลยคิดว่าเหมาะกับตัวเรา เน้นเอาคุณภาพกับรสชาติ อาหารอิตาเลียนแบบออริจินัลจริงๆ เวลาผัด ซอสมันจะไม่เยิ้ม มันจะเป็นขลุกขลิกพอดี คือตักขึ้นมาแล้วซอสมันจะเกาะเส้นขึ้นมา แต่เสน่ห์ของมันคือชีส เพราะอาหารแทบทุกชนิดของอาหารอิตาเลียนจะมีชีสอยู่ แม้กระทั่งสลัดก็จะมีชีส
ชีสมีหลายสิบตัว แต่เมนูที่ออกมาสำหรับร้านนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารจานเดียว ซึ่งเราใช้ชีสหลักๆ แค่ 2 ตัว คือพาเมซานชีสกับมอสซาเลลาชีส อาหารร้านเราไม่ได้เน้นที่ตัวซอสมาก จะเน้นชีส เน้นเส้น บวกกับรสชาติที่เรามิกซ์ลงไปแล้วมันจะเข้ากัน”
เห็นเมนูสปาเกตตีดูหลากหลาย ทั้งคาโบนารา, อัลเฟรโด, โอลีโอ, โบโลเนส, เขียวหวาน ฯลฯ สำหรับร้านเล็กๆ แบบนี้ถือว่าเยอะทีเดียว แต่เชฟพีทบอกว่ายังน้อย จริงๆ แล้วอยากออกเมนูสปาเกตตีมากขึ้นกว่านี้อีก “มีเมนูสปาเกตตีที่คนไทยสามารถกินได้อีกเยอะ แต่เราดูจากการตอบรับของลูกค้าที่กินสปาเกตตี้ยังไม่ค่อยหลากหลาย เพราะส่วนใหญ่คนจะรู้จักไม่กี่ตัว เราก็เลยยังไม่กล้าที่จะออก อย่างสปาเกตตีซอสดำ ซึ่งอร่อยมาก แต่คนไทยไม่กล้ากิน เพราะเห็นว่ามันดำหมดเลย”
“เราสังเกตว่าแรกๆ ลูกค้าจะไม่กล้าสั่งเมนูอาหารอิตาเลียนเลย จะสั่งเป็นข้าวผัด อาหารไทย แต่พอลูกค้าได้ลองกินอาหารอิตาเลียนแล้วก็จะสั่งแต่สปาเกตตีมาเรื่อยๆ เมนูที่คนสั่งเยอะสุดก็จะเป็น “สปาเกตตี คาโบนารา” (ครีสซอส+เบคอน) เราใช้เบคอนของอเมริกา มันจะแผ่นใหญ่ดูน่ากิน รสชาติจะไม่เค็มมาก
ตัวครีมเราจะเอาครีมลงไปผัดแล้วใส่ไข่แดงลงไปให้ตัวครีมมันข้น ทุกจานทำใหม่ๆ สดๆ ตลอด ไม่มีการทำทิ้งเอาไว้ เส้นเราก็จะผัดไม่เละ เส้นที่คนอิตาลีเขากินกัน เส้นไม่สุกนะกัดเข้าไปแล้วกรึบๆ แต่คนไทยกินไม่ได้ เราก็เลยปรับให้มันนิ่มลงมา แต่ไม่ถึงเม้มแล้วขาดเลย เราจะใช้เส้นเล็ก เพราะดูแล้วน่ากินกว่า
“สปาเกตตี โอลีโอ เบคอน” เมนูนี้จะเป็นอาหารฟิวชัน เพราะของอิตาเลียนแท้ๆ จะใส่แค่น้ำมันมะกอกกับกระเทียม แต่ด้วยความที่คนไทยติดรสจัด เราก็เลยใส่พริกแห้งกับใบโหระพาลงไปด้วย เพื่อเพิ่มรสชาติให้ถูกปากคนไทย
สำหรับซอสหมู ใช้ผัก 5 อย่าง บดให้ละเอียด แล้วก็ผัดให้ผักแห้ง ถึงใส่หมูลงไป ผัดจนน้ำแห้งแล้วใส่ไวน์แดงผัดไปเรื่อยๆ จนแห้งอีกทีหนึ่ง แล้วเอามะเขือเทศปั่นแล้วใส่ลงไปแล้วก็เคี่ยวจนหมูรุ่ยๆ เปื่อยๆ เคี่ยวประมาณ 2 ชั่วโมงได้ ตัวซอสตัวนี้จะทำเก็บไว้ เพราะมันสุกแล้ว เก็บได้ แต่ถ้าทำสดมันใช้เวลาทำนานมาก”
ไม่ใช่จะถนัดแต่อาหารฝรั่ง อาหารไทยๆ อย่างข้าวผัดปลาเค็ม หมูก้อนทอด ข้าวผัดพริกแกง ข้าวผัดขี้เมา เชฟพีทก็ทำได้อร่อยไม่แพ้กัน “ข้าวผัดเราจะผัดแห้งๆ ข้าวเป็นเม็ดๆ ใส่แค่ต้นหอม กับไข่ ออกสไตล์จีนๆ ที่ข้าวผัดมันเต้นในกระทะ มันจะมีกลิ่นหอมไหม้นิดๆ ไม่ใส่มะเขือเทศ ไม่ใส่หอมใหญ่ หมูก้อนจะผสมที่ต่อที่เลยเพื่อให้ได้รสชาติสดๆ ใหม่ๆ ใส่กระเทียม รากผักชีใส่ซอสปรุงรส แล้วก็ผสมปั้นเป็นก้อน ถึงจะเอาลงไปทอด ไม่ทำทิ้งเอาไว้ เพราะหมูที่หมักทิ้งไว้รสชาติจะเพี้ยน เวลาทอดก็ต้องใช้ไฟแรงๆ หน่อย เพื่อที่จะให้หมูก้อนที่กรอบนอกนุ่มใน”
นอกจากนั้นยังมีเมนูน่าลองอีกหลายเมนู อาทิ “ปลาอินทรีทอด” จานละ 100 บาท แต่ถือว่าอร่อยคุ้มราคามาก เพราะทางร้านใช้ปลาอินทรีสดๆ จากแสมสาร มี 3 แบบให้เลือก ทอดน้ำปลา ทอดเกลือ และราดพริก และยังมี “ผักโขมอบชีส” สูตรอร่อยจากโอเรียนเต็ล, "ไก่คาราเกะ" ที่ทอดจนกรอบนอกนุ่มใน ฯลฯ
เชฟพีททิ้งท้ายถึงแนวคิดในการทำอาหารว่า “ทำอาหารให้ลูกค้ากิน ก็อยากให้เขากินอะไรดีๆ กินไม่อร่อยอย่าทำดีกว่า เวลาเราไปกินข้าวเราก็อยากกินของดีๆ ของอร่อย เอาใจเขามาใส่เรา เสียงตอบรับจากลูกค้าก็ถือว่าดี มีลูกค้าชมว่าอร่อย เส้นใช้ได้ ไม่เค็มเกินไป ไม่เผ็ดเกินไป ในอนาคตก็อยากเพิ่มเมนูอาหารไทยโบราณ อย่างปลาแห้งแตงโม เพราะบ้านเรามันอากาศร้อน คนอาจจะชอบและหากินยากด้วย และก็จะมีทำพิซซ่าเพิ่มขึ้นมา”
ใครอยากกินอาหารอิตาเลียนรสชาติถูกปากคนไทยที่สำคัญราคาไม่แพง แนะนำร้าน “ขอ-คำ-ณึง (One More Bite)” เข้าซอยลาดพร้าว 35 ประมาณ 150 เมตร จะเจอร้านอยู่ทางซ้ายมือ ใต้ตึกเดอะชาโตว์ ราคาอาหารเริ่มต้นที่ 40-100 บาท เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00-22.00 น. โทร.0-2938-0731 ต่อ 102
จานอร่อย...ต้องลอง!
สปาเกตตี้ คาโบนารา +เบคอน
ข้าวผัดปลาเค็ม
หมูก้อนทอด
ผักโขมอบชีส
ไก่คาราเกะ
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย พงษ์ศักดิ์ ขวัญเนตร