xs
xsm
sm
md
lg

“มุก” งามอันดามัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สดใส จริงใจ และบริสุทธิ์” คือนิยามที่ M-Lite ขอมอบให้สาวน้อยคนนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดครอบครัวจึงตั้งชื่อเธอ “มุก-มุกดา นรินทร์รักษ์” คงเพราะตัวตนที่ขาวบริสุทธิ์ราวไข่มุก สวยตามธรรมชาติ ไม่ต้องแต่งแต้มเติมสีสันใดๆ เพิ่มให้ฉูดฉาดบาดตา เพียงแค่แสดงความจริงใจจากภายในออกมา คนรอบข้างก็รับรู้และสัมผัสได้ เช่นเดียวกับที่เธอใช้คุณสมบัติเหล่านี้เอาชนะใจกรรมการจนคว้าตำแหน่งมิสทีนไทยแลนด์ปีล่าสุดมาไว้ในครอบครองเรียบร้อยแล้ว
 
ทันทีที่บรรดาสาวงามผู้ได้รับตำแหน่งจากเวทีมิสทีนไทยแลนด์ปี 2011 ปรากฏตัวขึ้น บรรยากาศอันน่าเบื่อหน่ายแบบเดิมๆ ในสำนักงานก็แปรเปลี่ยนเป็นความสดชื่นสดใสอย่างเห็นได้ชัด คงจะจริงอย่างที่หลายคนกล่าวเอาไว้ว่าความรู้สึกบางอย่างจะอยู่กับคนเราในช่วงวัยหนึ่งเท่านั้น ดูได้จากรอยยิ้มสดใสและแววตาเป็นประกายของเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า “น้องมุก” ผู้ครอบครองมงกุฎในขณะนี้ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และดูเหมือนว่าเธอจะเต็มใจถ่ายทอดความกระปรี้กระเปร่าในวัย 15 ให้เราได้ย้อนวัยไปพร้อมๆ กันแล้วด้วย


 

ความหวังของหมู่บ้าน
หลังจากได้รับตำแหน่งเพียงไม่กี่วัน มุกก็หอบมงกุฎกลับไปอวดพี่น้องชาวระนองในทันที “นี่เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันเองค่ะ มาถึงก็เริ่มเดินสายขอบคุณพี่ๆ สื่อมวลชนเลย” เธอพูดไปยิ้มไป นั่นหมายความว่าหลายๆ คำถามที่อยู่ในลิสต์วันนี้ อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกถาม แต่คงพูดซ้ำๆ ประโยคเดิมๆ หลายต่อหลายครั้งแล้ว ในตอนแรกนั้นผู้สัมภาษณ์ก็แอบหวั่นๆ ว่าจะทำให้คนถูกถามรู้สึกเบื่อหรือเปล่า แต่พอเจ้าตัวมอบยิ้มใสๆ แล้วตอบให้เบาใจว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ถึงจะพูดหลายรอบ แต่พูดไม่เหมือนกันสักรอบนะ” การพูดคุยในครั้งนี้จึงง่ายและสบายยิ่งขึ้น
 

“ตอนกลับถึงที่ระนองก็ไม่ถึงขนาดมีขบวนมาต้อนรับอะไรนะ ไม่ใช่นักกีฬาแข่งชนะซีเกมส์ (ยิ้ม) จัดแบบเรียบๆ ง่ายๆ กันมากกว่าค่ะ พอไปถึงก็เห็นป้ายแสดงความยินดีติดไว้ว่า “ขอแสดงความยินดีกับน้องมุกดาที่ได้รับตำแหน่งมิสทีน” เป็นป้ายใหญ่ๆ อยู่หน้าปากซอยแล้วก็มีรูปเราด้วย เห็นครั้งแรกตกใจเลย มีติดไว้อีกหลายที่ ที่อบต.ก็มี เขินเหมือนกันค่ะ กลัวด้วย กลัวมีคนเอาปากกาไปเขียนหน้าเรา ถ้ามีคงอายกว่านี้อีก” คำตอบใสๆ ของเธอเล่นเอาคนฟังอดขำไปด้วยไม่ได้
 

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชีวิตหลังสวมมงกุฎเปลี่ยนไปขนาดไหน เธอต้องเดินสายไปงานเลี้ยงต้อนรับตามที่ต่างๆ พบปะผู้ใหญ่ เข้าร่วมทุกกิจกรรมที่ถูกเชิญไป พอไปโรงเรียนแทนที่จะได้อยู่กับสภาพแวดล้อมที่คุ้นชิน แต่กลับต้องปรับตัวครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
 

“ไปถึงเจอเพื่อนในกลุ่มอีก 3 คน เขาเห็นเราตอนแรกก็มองๆ แต่ยังไม่ยอมเดินเข้ามาหานะ (ยิ้ม) เดินเข้ามาได้นิดหนึ่งแล้วก็เดินห่างออกไปอีก 2-3 ก้าว บอกว่าไม่เดินด้วยแล้ว เดินกับเราแล้วคนอื่นมองเยอะ รู้สึกเหมือนโดนกดดันก็เลยเดินห่างๆ แทน ตอนนี้เพื่อนก็ยังบ่นอยู่เลยค่ะว่าไม่อยากเดินด้วย ไม่อยากถูกจับจ้อง แล้วก็แซวว่าแกไม่ใช่มุกคนเดิมแล้ว (หัวเราะเนือยๆ)”
 
แล้วมุกคนเดิมเป็นอย่างไร? เธอกวาดตาใช้ความคิดอยู่สักพักก่อนค่อยๆ เรียงร้อยประโยคออกมาทีละคำสองคำ “คนอื่นจะรู้จักในฐานะรุ่นพี่ที่ทำกิจกรรมค่ะ เป็นเชียร์ลีดเดอร์ กีฬาสี แล้วก็มีแข่งเต้น นอกนั้นจะเป็นงานค่าย หาเงินช่วยเหลือคนที่เขาเดือดร้อนบ้าง บางคนอาจจะมองว่ามุกเป็นคนหยิ่งๆ เพราะจะเป็นคนไม่ค่อยพูด ชอบอยู่นิ่งๆ มากกว่า แต่ถ้าโมโหขึ้นมาก็จะพูดตรงๆ ไปเลย อย่างเวลาเรียนแล้วเพื่อนคุยเสียงดัง ดังจนบางทีเราโมโหแทนครู ก็จะหันไปบอกเพื่อนเลยว่าเลิกคุยได้แล้ว เกรงใจครูบ้าง เคยโมโหจนมีเรื่องเตะกับเพื่อนผู้ชายด้วยนะ ห้าวไหมล่ะ (หัวเราะร่วน) ห้าวแต่หนูชอบอ่านนิยายรักนะ” สาวน้อยตบท้ายด้วยแววตาขี้เล่น


 

พี่ชายส่งเกิด
เห็นย้ำนักย้ำหนาว่าจริงๆ แล้วเป็นคนห้าวๆ แต่ด้วยความที่หน้าหวานมาตั้งแต่เด็ก ทางครอบครัวจึงส่งเสริมเรื่องการประกวดมาโดยตลอด โดยเฉพาะคุณแม่ของเธอ “บอกว่าอยากเห็นลูกทางทีวีบ้าง ลองไปสมัครดูสิ แต่มุกไม่กล้าค่ะ เคยบอกแม่ตั้งแต่ตอนเด็กๆ เลยว่าอยากได้มงกุฎ เห็นมาตั้งแต่พี่เชียร์ (ฑิฆัมพร ฤทธาอภินันท์) ประกวดมิสทีนปีแรกก็อยากได้บ้าง อยากเป็นเจ้าหญิง (หัวเราะเบาๆ) แต่ไม่เคยดิ้นรนจะเข้าประกวดเลย อายค่ะ มุกไม่เคยประกวดอะไรแบบนี้มาก่อน มีแต่ประกวดเต้นของโรงเรียน เลยไม่เคยมีความมั่นใจว่าจะเป็นนางงามมาก่อน”
 

แต่แล้วพี่ชายของเธอก็เสริมความมั่นใจหลักสูตรเร่งรัดให้มุกด้วยวิธีเฉพาะตัว ยื่นใบสมัครให้น้องสาวโดยไม่ถามความต้องการสักคำ “ตอนนั้นมาลงเรียนพิเศษที่กรุงเทพฯ พี่ชายเขารู้มาว่ามีประกวดมิสทีนของภาคกลางก็โทร.มาถามเลยว่าเราอายุ-น้ำหนัก-ส่วนสูงเท่าไหร่ ถามทุกอย่างแต่ไม่บอกว่าเอาไปทำอะไร รูปก็เอาจากที่เคยถ่ายไว้ แล้วก็ส่งสมัครทางอินเทอร์เน็ตให้เที่ยงคืนวันนั้นเลย พอตอนตีหนึ่งถึงโทร.มาบอกว่าสมัครให้แล้วนะ เตรียมตัวด้วย (ทำหน้าอึ้ง) คิดดูว่าตอนนั้นเหลือเวลาอีกแค่สองวันจะประกวดแล้ว หนูจะไปเตรียมตัวอะไรทัน ความสามารถพิเศษจะเอาอะไรไปโชว์ยังคิดไม่ออกเลย”
 

เมื่อถึงนาทีคับขัน สุดท้ายมุกจึงหยิบเอาความสามารถพิเศษเรื่องการเต้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ย้อนความจำจากเมื่อครั้งเคยเทกคอร์สเรียนเต้นป็อปปิ้ง 3 คอร์สรวดจากคุณครูมาใช้บวกกับออกแบบท่าเองส่วนหนึ่ง จนออกมาเป็นฟรีสไตล์แดนซ์ไปโชว์ในรอบคัดเลือก เป็นที่ถูกอกถูกใจคณะกรรมการ ต้องบอกว่าที่แจ้งเกิดได้เพราะมีพี่เป็นป๋าดันจริงๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือทักษะการเต้นที่มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
 
“เวลาเครียด มุกจะชอบไปลงกับการเต้นและฟังเพลงค่ะ ทำแล้วรู้สึกดี คือมุกจะมีกลุ่มเพื่อนที่ชอบรวมตัวกันเต้นอยู่แล้วที่โรงเรียน เป็นเพื่อนๆ รุ่นพี่ที่คลั่งเกาหลีกันแล้วก็หัดเต้นกันเองจนคล่อง มุกชอบไปแจมกับเขา เวลามีคลิปเต้นหรือท่าเต้นดังๆ ออกมาทีหนึ่ง เราก็จะมารวมตัวกันแล้วก็ช่วยกันแกะท่าเต้น นัดกันซ้อม เผื่อมีงานโรงเรียนก็เอาไปแสดงได้ ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ถือว่าได้เต้นกันสนุกๆ จริงๆ แล้วเคยอัดคลิปเต้นกันเอาไว้เล่นๆ ด้วยในมือถือ เพื่อนบอกว่าจะเอาไปโพสต์ในเน็ต แต่เราไม่ยอม คอยตามแอบลบตลอด (หัวเราะ) อายเขาค่ะ” น้ำเสียงของเธอดูถ่อมตัวอย่างเห็นได้ชัด


 

ไม่อยากหลงแสงสี
ถึงจะบอกว่าครอบครัวส่งเสริมเรื่องการประกวดแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสนับสนุนเต็มร้อยให้เข้าวงการบันเทิงด้วยเหตุผลที่ว่า “กลัวลูกจะหลงแสงสี” โปรเจกต์ย้ายมาเรียนในกรุงเทพฯ เพื่อรับงานไปด้วยเรียนไปด้วยจึงเป็นอันต้องพับไปก่อน “คงรับงานแค่ช่วงปิดเทอม ถ้าเปิดเทอมแล้วมีงานก็อาจจะไปๆ กลับๆ กรุงเทพฯ-ระนองได้ แต่คิดว่าหลังจากนี้งานคงน้อยลงแล้วค่ะ ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร อีกอย่างคุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยอยากให้เข้ามาทำงานในวงการตอนนี้ค่ะ คิดว่าเรายังเด็กอยู่ กลัวเข้ามาแล้วจะหลุดโลกไปเลย (ยิ้ม) มุกเองยังแอบกลัวตัวเองเลย
 

“ขนาดคุณแม่ถามว่าจะเรียนสายอาชีพไหม ไม่ต้องเรียนสายสามัญก็ได้ มุกยังบอกว่าไม่เอาเลย ไม่ได้รังเกียจนะคะ แต่รู้สึกว่าคนที่เรียนสายอาชีพได้ต้องดูแลตัวเองดีมากๆ ถึงจะไปรอด เพราะดูๆ แล้วเขาจะเรียนกันแบบปล่อยๆ เสียเยอะ ให้ออกไปนู่นนี่ได้ ไม่ค่อยเข้มงวดเท่าไหร่ เรียนแบบนี้ ถ้าคุมตัวเองไม่ดีเราอาจจะเตลิดไปเลยก็ได้ อันนี้ก็กลัวอยู่เหมือนกัน ก็เหมือนเรื่องเข้ากรุงเทพฯ แหละค่ะ ถ้าจะมาอยู่ก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ และที่ยังไม่อยากเข้ากรุงเทพฯ ตอนนี้คือกลัวคุณแม่เหงาด้วยค่ะ แม่บอกว่าอยู่กับแม่อีกสักปีหนึ่งก่อนค่อยไปได้ไหม แม่คิดถึง” มุกกะพริบตาถี่
 

จากที่เล่ามาทั้งหมดพอจะเดาได้ว่ามุกค่อนข้างติดบ้านติดครอบครัวและเป็นเด็กหัวอ่อนอยู่มาก เธอพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มบางๆ แล้วยกตัวอย่างให้ฟัง “แค่ขอไปกินน้ำเต้าหู้กับเพื่อน คุณแม่ยังถามเลยว่าจะไปกับใครบ้าง กี่คน ชื่ออะไร กลับกี่โมง เอาเบอร์โทรศัพท์มาให้หมด (หัวเราะ) ส่วนคุณพ่อนี่ ถ้าขอไปต่างจังหวัดจะไม่ให้ไปเลย หวงลูกมาก บอกว่าไม่อยากให้เข้ากรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ กลัวเราหลงแสงสี เดี๋ยวไปเที่ยว ติดเพื่อน หรือทำอะไรเกินตัว เข้ามากรุงเทพฯ ทีไรก็จะมีพี่ไปรับไปส่ง นอนบ้านตลอด ตอนอยู่ระนองก็เหมือนกันค่ะ ไม่เคยได้ไปนอนบ้านเพื่อนเลย ออกจากบ้านก็ต้องกลับให้ตรงเวลา ซึ่งมันก็ดีนะคะ มุกเข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นห่วง แต่บางครั้งก็มีอึดอัดบ้างเหมือนกัน” ปลายเสียงเบาลงคล้ายรำพึงรำพันกับตัวเอง
 

มุกเปิดใจพูดตรงๆ ว่าลึกๆ แล้วอยากลองมาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ และทำงานไปด้วยอยู่เหมือนกัน แต่อีกใจก็อยากจะใช้เวลาที่เหลือในช่วงมัธยมอยู่กับครอบครัวให้ได้นานที่สุด “เพราะถ้ามาอยู่กรุงเทพฯ ก็อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงหลายเรื่อง เราอาจจะปรับตัวไม่ทัน กลัวเข้ากับเพื่อนใหม่ไม่ได้ด้วย รอให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยค่อยย้ายทีเดียวจะดีกว่าไหม” ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดออกมาจากปากของเธอในตอนนี้ แต่ที่ชัดเจนอยู่ในความคิดคือการใช้ชีวิตในเมืองกรุงอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ต่างหาก
 
อยู่แบบไม่ให้หลงแสงสี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง มุกคิดว่ามุกทำได้นะ ถามว่ามุกชอบเที่ยวกับเพื่อนๆ ไหม มุกชอบนะ แต่มุกไม่ชอบอยู่ในที่คนแออัดค่ะ ไม่ชอบเสียงดัง เพราะฉะนั้นเรื่องผับบาร์คงไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจอะไร
 


 

น้ำใจเกินคาด!
ใครบอกว่าทุกเวทีการแข่งขันย่อมมีการแทงข้างหลังและขัดขากัน มุกขอเถียงคอเป็นเอ็น เพราะสิ่งที่เธอพบเจอมาตรงข้ามโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้สมัครจนได้รับตำแหน่งถึงตอนนี้ เธอมองเห็นแต่ความทรงจำดีๆ และประสบการณ์น่าประทับใจทั้งนั้น
 

“เราไปเก็บตัวกันที่สุพรรณตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วค่ะ แต่อยู่ได้ไม่กี่วันน้ำก็ท่วม ก็เลยต้องรีบอพยพออกมาก่อน คิดดูว่าขนาดกองประกวดรู้ข่าวก่อน เราหนีกันออกมาทัน ยังรู้สึกเลยว่ามันลำบาก จะทำอะไรเองก็ไม่ได้ ของของตัวเองยังเอาออกมาไม่ได้เลย ต้องคอยความช่วยเหลือจากคนอื่นอย่างเดียว รู้เลยว่าคนที่ต้องอยู่กับน้ำเขาต้องลำบากกันขนาดไหน พอเราออกมาตั้งหลักกันได้ ตอนหลังถึงเข้าไปแจกถุงยังชีพให้เขาค่ะ”
 

“มีไปที่ตลาดเก้าห้องกับบางแม่ม่าย เห็นผู้ประสบภัยออกมาต่อแถวรับของกันเยอะเลย ก็รู้สึกดีค่ะที่ได้มีส่วนช่วยคนที่เขาเดือดร้อนบ้าง เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้จริงๆ นอกจากเข้าไปแจกของแล้วก็ให้กำลังใจเขา เราก็พูดไม่ค่อยเก่งอีกเลยไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ที่ประทับใจมากๆ เลยคือคนที่นั่นขนาดน้ำท่วมแล้วเขายังดูมีกำลังใจดีมาก มีถือดอกไม้มาให้เราด้วย เราแจกของเขาแล้วเขาก็ให้ดอกไม้เราคืนมา ก็รู้สึกแปลกใจแล้วก็รู้สึกดีค่ะที่ได้เห็นอะไรแบบนั้น”
 

กับเพื่อนร่วมเวทีด้วยกันเองก็มีความทรงจำดีๆ ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ “ปริม-อัจฉรียา โพธิพิพิธธนากร” ผู้ประกวดหมายเลข 18 และ “มายด์-ณิชาภา คณินเทวากุล” หมายเลข 19 เพื่อนสองคนที่มุกบอกว่าสนิทที่สุด คอยช่วยเหลือได้ทุกเรื่องโดยไม่เคยมานั่งคิดเล็กคิดน้อยว่าใครจะได้ดีกว่ากันแม้นิดเดียว
 

“ทั้งสองคนนิสัยน่ารักมากค่ะ (ยิ้มแป้น) โดยเฉพาะตอนซ้อมเต้นด้วยกันก็ได้มายด์นี่แหละค่ะช่วยตลอด มายด์เป็นที่ปรึกษาเรื่องเต้นได้ดีมาก เขาจำเก่งแล้วก็เต้นเก่งมาก คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายก่อนขึ้นเวทีจริง มันดึกมากและมุกก็เบลอมากด้วย จำท่าอะไรไม่ได้แล้ว มายด์ก็มาคอยนั่งบอกท่าคอยทวนความจำให้จนเราจำได้ เป็นคนที่มีน้ำใจมากๆ ประทับใจจริงๆ ค่ะ”
 

ถึงแม้มุกจะได้เข้ารอบและได้ตำแหน่งสูงสุด ส่วนเพื่อนสนิททั้งสองจะตกรอบและไม่ได้รับรางวัลใดๆ เลย แต่ผลการตัดสินก็ไม่ได้กระทบต่อคำว่า “เพื่อน” ของทั้งสามคนแม้แต่น้อย ทุกวันนี้ทั้งปริม มายด์ และมุกยังติดต่อพูดคุย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันดี ทั้งยังไม่เคยนึกอิจฉาเพื่อนที่ไปได้ดีกว่าด้วย
 
“เขาบอกตั้งแต่แรกเลยว่าไม่คิดว่าจะได้เข้ารอบอยู่แล้ว สองคนนั้นเขาเป็นคนตลกๆ ค่ะ ไม่คิดอะไรมาก ไม่ได้มานั่งเปรียบเทียบหรือว่าน้อยใจอะไรด้วย ทุกวันนี้เราก็ยังติดต่อกันอยู่เลย ถึงจะไม่ได้นัดเจอกันแล้วเพราะสองคนนั้นเขากลับต่างจังหวัดกันไปแล้ว แต่เราก็ไลน์(โปรแกรมแชตทางโทรศัพท์)คุยกันตลอด” ส่วนเพื่อนสาวอีก 4 คนที่มุกหนีบมาด้วยในวันนี้ก็กำลังจะกลายเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มใหม่ของเธอ เพราะหลังจากนี้ต้องไปไหนไปกันตามประสาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ในฐานะผู้ได้รับตำแหน่งร่วมเวทีเดียวกัน


 

สวยที่ใจ
ถ้าได้ดูเทปการประกวดมิสทีนไทยแลนด์ช่วงที่น้องมุกตอบคำถามจะรู้ว่าเหตุใดเธอจึงคว้ามงกุฎไปครอง ส่วนตัวมองว่าเธอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องศัลยกรรมเอาไว้อย่างน่าสนใจ เมื่อมีโอกาสได้พูดคุยกันโดยไม่มีไมโครโฟนเป็นตัวช่วยเพิ่มแรงกดดันและความตื่นเต้นให้คนตอบคำถาม จึงขอให้สาวน้อยหน้าหวานพูดถึงประเด็นเดิมในมุมมองของตัวเองให้ฟังชัดๆ อีกสักครั้งหนึ่ง
 

“มุกว่าคนเรามีความต้องการไม่เหมือนกันค่ะ บางคนก็ต้องการมาก บางคนก็ต้องการน้อย อยากสวยมาก อยากสวยน้อยไม่เท่ากัน เพราะตอนเกิดมาก็เลือกไม่ได้ว่าอยากให้หน้าตาเป็นยังไง คนสวยน้อยเขาก็มีสิทธิ์ที่อยากจะสวยมาก คนสวยอยู่แล้วก็มีสิทธิ์ที่จะสวยขึ้นไปอีกได้ มันเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน ไม่ใช่เรื่องถูกผิดหรือจะไปตัดสินว่าใครทำดีไม่ดี สุดท้ายไม่ว่าจะศัลยกรรมหรือเปล่า มุกว่าขอแค่อย่าลืมความเป็นตัวเองก็พอค่ะ ถ้าเรารู้ว่าตัวเราคือใคร ถึงจะทำศัลยกรรมแล้วก็อย่าลืมว่าหน้าตาเดิมเราเป็นแบบไหน อย่าหลงไปกับความสวยที่แต่งเติมขึ้นมา ให้ความสำคัญที่จิตใจดีที่สุดค่ะ”
 

จิตใจที่ว่านี้จะดีไม่ดีขนาดไหนวัดกันที่นิสัยที่แสดงออกมา “ถ้าสวยแล้วนิสัยแย่ ยังไงก็ไปไม่รอด มุกว่าผู้ชายจะคบกับผู้หญิงคนหนึ่งเขาไม่ได้มองแค่เรื่องสวยหรอก แต่มองนิสัยด้วย ถึงหน้าตาไม่สวยมาก แต่นิสัยไปกันได้ มีน้ำใจ คอยสนับสนุนช่วยเหลือ เข้าใจกัน มันดีกว่าสวยอย่างเดียวอยู่แล้วค่ะ” มุกพูดจากประสบการณ์ และเมื่อเธอเปิดประเด็นเรื่องความรักเอาไว้ ผู้สัมภาษณ์จึงขอเข้าไปทำความรู้จักกับป็อบปี้เลิฟของเด็กสาววัย 15 เสียเลย
 

“ให้พูดถึงนิยามความรักของตัวเหรอคะ ไม่ค่อยได้คิดเรื่องนี้เลยอ่ะ (พยายามกวาดตานึก) ความรักคงไม่จำเป็นต้องให้ทุกอย่างค่ะในความคิดมุก ถ้ากับแฟน เราให้ได้แค่ไหนก็ให้แค่นั้น เอามาให้กับครอบครัวเราน่าจะดีกว่า อายุขนาดนี้อย่าเพิ่งไปจริงจังอะไรมาก เพราะครอบครัวเป็นคนที่ดีกับเราที่สุดแล้ว ไม่มีใครรักเราขนาดนี้อีกแล้ว เทียบกับแฟนคนเดียว เราไปทุ่มให้เขามาก เขาจะเลิกกับเราวันไหนก็ไม่รู้ วันหนึ่งถ้าเราเป็นอะไรไป เขาอาจจะช่วยเราไม่ได้ก็ได้ แต่ครอบครัวอยู่กับเราตลอด ให้ความรักแก่ครอบครัวของเราดีที่สุดแล้วค่ะ
 

ดูเหมือนว่าเด็กสาวคนนี้จะมองโลกด้วยความจริงและคิดถึงเรื่องอนาคตมากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันเสียอีก ถามว่าอายุขนาดนี้วางอนาคตให้ตัวเองไว้มากน้อยแค่ไหน มุกหยุดคิดนิดหนึ่งแล้วตอบอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าเป็นงานในวงการตอนนี้อยากเน้นเรียนเป็นหลักก่อนแล้วค่อยรับงานไปด้วยค่ะ คิดว่าไม่จำเป็นต้องมีงานเยอะก็ได้ เพราะมุกไม่ได้หวังเรื่องดังอยู่แล้ว แค่อยากมีงานทำไปเรื่อยๆ เพราะถ้ามันหนักไปเดี๋ยวจะไม่ไหว ทั้งเรียนทั้งกิจกรรมทั้งงานบันเทิง โอ้ย! เยอะเลย” มุกทำท่าคิดหนัก
 

ให้ลองพูดถึงเรื่องการเรียนกับอาชีพที่ใฝ่ฝันดูบ้าง มุกตอบในทันทีว่า “มุกอยากเป็นครูค่ะ (ยิ้ม) อยากลองตีเด็ก (หัวเราะ) อยากรู้ว่าเวลาครูสอนแล้วเด็กไม่ฟัง ครูรู้สึกยังไง ถ้าเราลองเป็นครูบ้าง เราอยากให้ความรู้เด็กแล้วเด็กไม่สนใจ อยากรู้ว่าถ้าอยู่ตรงนั้นเราจะทำยังไง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากสอนเด็กมัธยมดูค่ะ เพราะตอนมัธยมเราก็ดื้อกับครูไว้เยอะเหมือนกัน อยากรู้ว่าถ้าเราเป็นครูเองบ้าง เราจะจัดการกับนักเรียนแบบนี้ไหวหรือเปล่า”
 
“อยากเป็นครูที่สอนเด็กโดยไม่ต้องตามใจเด็กเกินไปค่ะ ครูสมัยนี้บางคนปล่อยเกรดเยอะเกินนะ รู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อยากให้สอนกันจริงๆ จังๆ ถ้าอยากสอนพิเศษก็อย่าสอนกลุ่มเด็กที่ตัวเองสอนในห้องอยู่แล้ว มุกว่ามันไม่ยุติธรรมกับเด็กที่ไม่ได้มาลงเรียนพิเศษด้วย ปกติทางโรงเรียนเขาไม่สนับสนุนให้ครูที่สอนในห้องเรียนไปสอนพิเศษเด็กของตัวเองเพิ่มอยู่แล้วค่ะ มันเหมือนเป็นการบอกข้อสอบเด็กไปในตัว เด็กที่เรียนพิเศษกับครูคนอื่นอาจจะได้ไม่เท่ากันเพราะรู้มาไม่เหมือนกัน มุกว่าทำแบบนี้ไม่เท่าเทียม ไม่อยากให้มี แล้วก็ไม่อยากเป็นครูแบบนั้นค่ะ” น้ำเสียงของเธอหนักแน่นชัดเจน


 

โอ่โอ... ปักษ์ใต้บ้านเรา
ไปภาคใต้ถ้าไม่กินสะตอก็เหมือนไปไม่ถึง คุยกับเด็กใต้ถ้าไม่พูดเรื่องบ้านเกิดก็เหมือนยังไม่ได้รู้จักตัวตนจริงๆ ของกันและกัน เพราะฉะนั้น ประเดิมด้วยคำถามแรกคือแหลงใต้ได้ไหม? คนถูกถามเอาแต่ส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิดก่อนแจกแจงเหตุผล “พี่ชายมุกทุกคนพูดได้หมดเลยนะ แต่มุกกับพี่ปู (พี่สาวอีกคน) พูดไม่ได้ค่ะ เหมือนพี่ๆ ผู้ชายเขาจะพูดกันเอง แต่พอพูดกับเราสองคน เขาไม่ยอมพูดใต้ให้เราได้ซึมซับเลย พูดกลางอย่างเดียว คุณพ่อคุณแม่ก็พูดภาษากลาง เราเลยพูดใต้ไม่ได้ พอไปโรงเรียน เพื่อนๆ ก็พูดภาษากลางกันหมด แต่ถึงมุกพูดไม่ได้ แต่มุกฟังออกหมดนะ”
 

เอกลักษณ์อีกอย่างที่คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงเมื่อพูดถึงภาคใต้คือศิลปวัฒนธรรมเฉพาะตัวอย่างหนังตะลุงและโนรา ครั้งนี้มุกพยักหน้ารับด้วยแววตาเป็นประกาย “เคยดูค่ะ ชอบตัวไอ้เท่ง จากบทพูดและเสียงพากย์ก็ตลกดี แต่ที่ระนองไม่ค่อยมีให้ดูเท่าไหร่ จะมีให้ดูก็ตอนมีงานประจำปี เปิดท้ายขายของ ประกวดธิดาต่างๆ ช่วงนี้ก็มีค่ะ ที่จำได้เลยทุกครั้งที่มีงานคือรถเข็นคันหนึ่ง เป็นรถเข็นที่ขายหุ่นเชิดพวกนี้แหละค่ะ มีอยู่คันเดียวด้วย มีงานกี่ครั้งก็เห็นแต่รถเข็นของลุงคนนี้ สงสัยจะไม่ค่อยมีคนสานต่อเรื่องนี้แล้วมั้งคะ ก็เลยมีแต่คนกลุ่มเดิมๆ หน้าเดิมๆ” เธอตั้งคำถามแล้วจัดการหาคำตอบให้แก่ปัญหาเองเสร็จสรรพ
 

“พูดกันตรงๆ เวลาดูหนังตะลุงหรือศิลปะไทยๆ แบบนี้ บางทีดูแล้วเราก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการสื่ออะไร มันอาจจะเข้าใจยากเกินไปหน่อยมั้งคะ ต้องมีพื้นความรู้มาก่อนหรือตั้งใจดูมากจริงๆ ถึงจะเข้าใจ ก็เลยทำให้ดูไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ ยิ่งเด็กสมัยนี้ส่วนใหญ่ก็มองว่ามันเก่ามันเชยไปแล้ว เลยยิ่งไม่ค่อยมีคนสนใจ เริ่มค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ ถ้าวันหนึ่งมันหายไปจริงๆ มุกคงเสียดายมากเหมือนกัน
 

“ทะเล” คือจุดขายสำคัญของชาวใต้ ลองให้ลูกน้ำเค็มแนะนำทะเลที่บ้านเกิดดูบ้าง มุกจึงขอแนะนำสถานที่ที่ครอบครัวชอบไปเที่ยวกัน “ลองไปบางเบนก็ได้ค่ะ คนระนองทุกคนรู้จักหมดแหละ เวลามุกไปกับพี่กับพ่อแม่ ก็จะชอบไปเขียนทราย ถ่ายรูปเล่น แล้วก็เล่นน้ำกัน แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความสวย น้ำทะเลที่นี่อาจจะค่อยใสเท่าไหร่ค่ะ ถ้าอยากเห็นทะเลสวยมากๆ จริงๆ ต้องไปเกาะพยาม น้ำใสมาก เป็นที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของระนองเลย” เจ้าถิ่นคอนเฟิร์ม
 

แต่ถึงแม้สถานที่จะสวยงามน่าชวนเชิญให้ไปแค่ไหน ในเมื่อคนส่วนใหญ่ยังนึกถึงเรื่อง “ระเบิด” ทุกครั้งที่พูดถึงภาคใต้ ก็ชวนให้หดหู่ใจไม่น้อย ถึงแม้ว่าระนองจะไม่ได้อยู่ในขอบข่าย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ก็กระทบในความรู้สึกจนอยากจะพูดในฐานะลูกสะตอคนหนึ่ง
 

“ไม่รู้ว่าจะต้องแก้ปัญหานี้จากตรงไหนเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากขอร้องให้ทุกฝ่ายเห็นใจกัน อย่าทำร้ายกันด้วยวิธีนี้เลยค่ะ วางระเบิดตามที่สาธารณะ โดยเฉพาะที่โรงเรียน มันน่าอนาถมาก เด็กที่เขาไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยก็ต้องมาเดือดร้อน ต้องหวาดผวา ต้องหยุดเรียน ไม่มีคุณครูกล้ามาสมัครสอนเพราะกลัวโดนระเบิด ทำให้เด็กๆ ขาดโอกาสไปหลายๆ อย่าง”
 

“มีอยู่ครั้งหนึ่ง อันนี้เจอกับตัวเองเลย ไม่รู้ใครเอากล่องใบหนึ่งมาวางไว้ในโรงเรียน มีคนบอกว่าได้ยินเสียงนาฬิกาอยู่ข้างในด้วย ตอนนั้นไม่มีใครกล้าเปิดดูเลยค่ะว่าเป็นอะไร กลัวว่าจะเป็นระเบิด ต้องเรียกเจ้าหน้าที่มาจัดการ ประกาศให้นักเรียนทุกคนกลับบ้าน ต้องหยุดเรียนไปเลย แต่สุดท้ายในกล่องก็ไม่มีอะไร จะว่าตลกไหมมันก็ตลกนะ แต่มองอีกอย่างมันก็ทำให้เราเข้าใจคนที่ต้องเจอกับอะไรอย่างนี้ทุกวันเลย รู้เลยว่าเขาต้องลำบากกันขนาดไหน ต้องเสี่ยงกับระเบิดอยู่ทุกวัน น่าเห็นใจมากค่ะ มุกเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้ยังไงเหมือนกัน ก็อยากจะให้กำลังใจ ขอให้ทุกคนเข้มแข็งแล้วก็สามัคคีกัน หวังว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่มันจะดีขึ้น
 
ไม่แน่ว่าถ้าตำแหน่งที่ถืออยู่ในมือตอนนี้ยิ่งใหญ่กว่ามิสทีนไทยแลนด์ เธออาจช่วยแก้ไขได้มากกว่าที่เป็นอยู่


 



---ล้อมกรอบ---
เมื่อมิสทีน “ท้องก่อนแต่ง”
ไหนๆ สาวสวยมีสมองก็มาอยู่ตรงหน้าพร้อมๆ กันถึง 5 คนแล้ว จึงขอหยิบประเด็นเดือดที่เคยฮอตเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มาพูดถึงใหม่อีกครั้งผ่านสายตาหญิงสาววัยแรกแย้ม เพราะสถิติระบุว่าหญิงสาววัยเดียวกันกับน้องๆ เหล่านี้เองที่มีปัญหาท้องก่อนแต่งสูงสุดในประเทศ ในฐานะคนร่วมวัยเดียวกันจึงขอให้ลองมานั่งวิเคราะห์กันเป็นรายคนไป เริ่มจากน้อง “มุก-มุกดา นรินทร์รักษ์” เจ้าของมงกุฎปีนี้กันก่อน
 

“มุกว่าถ้าท้องก็ไม่ควรทำแท้งค่ะ ให้เขาเกิดมาดีกว่า สงสารเขาค่ะ เด็กไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยต้องมาถูกฆ่า แต่ถ้าไม่อยากท้องก็ต้องรู้จักป้องกัน หรือไม่ก็ตัดปัญหาเลยคือไม่ต้องมีอะไรกัน โดยเฉพาะเด็กวัยเรียน มันยังไวเกินไปค่ะที่จะมีความสัมพันธ์กันแบบนั้น มีแฟนน่ะมีได้นะ แต่ไม่จำเป็นต้องทำตัวเกินวัยก็ได้ แค่ไปดูหนัง ไปเที่ยวด้วยกันก็พอแล้ว มีกิจกรรมอีกตั้งหลายอย่างที่สามารถทำร่วมกันได้นอกจากเรื่องเพศ รอให้รับผิดชอบตัวเองได้ อยู่ในวัยที่เหมาะและพร้อมแล้วดีกว่าค่ะค่อยคิดเรื่องนี้ จะได้ไม่เป็นปัญหาใหญ่โตตามมาทีหลัง
 

สำหรับ “พิ้งค์-กมลวรรณ คตรัตพะยูน” รองอันดับ 1 แล้ว เธออยากให้คนที่คิดจะทำแท้งรู้ไว้ว่าการทำแท้งเป็นสิ่งที่ผิดบาปมาก อย่าทำเลย ส่วนเรื่องการท้องนั้นมองว่าป้องกันได้คือ “ทางที่ดีวัยรุ่นสมัยนี้ก็อย่าไปแต่งตัวล่อแหลมมาก จะได้ไม่เสี่ยงเรื่องถูกข่มขืนจนอาจจะทำให้ท้อง ส่วนคนที่คบหากันก็อยากจะบอกว่าอย่าเพิ่งคิดถึงคำว่า “แฟน” มาก คบกันดูๆ กันไปก่อนก็ได้ ไว้เรียนจบ คบกันจริงจังขึ้นมาเมื่อไหร่ค่อยมาคิดอีกทีว่าคนเป็นแฟนจะต้องทำยังไงต่อกันบ้าง ตอนนี้คิดแค่พากันเรียน อย่าพากันไปเที่ยวก็พอค่ะ
 

ผู้หญิงต้องอย่าลืมว่าตัวเองมีทางเลือก นั่นคือสิ่งที่ “มายด์-อนิส สุวิทย์” รองอันดับ 2 อยากจะบอก “ก่อนจะทำอะไรก็อยากให้คิดให้รอบคอบก่อนค่ะ จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องปกตินะที่วัยรุ่นจะมีความรักกุ๊กกิ๊ก แต่ถ้าจะคบกันก็ต้องอย่าให้เกินเลยขอบเขตไป อย่าให้กระทบการเรียน แล้วถ้าคบกันแล้วผู้ชายขอมีอะไรด้วย อันนี้ผู้หญิงต้องคิดว่าถ้าเขารักเราจริงเขาก็ต้องรอได้ อย่าไปยอมค่ะ ต้องให้เกียรติเรา เราเป็นผู้หญิง”
 

แน่นอนว่าทุกปัญหาจะแก้ได้ ถ้ามีคนที่พร้อมจะเข้าใจและร่วมฟันฝ่าไปด้วยกัน “ซิต-เบนาซิต เพียรรักษ์” รองอันดับ 2 มองว่า “ทางที่ดีครอบครัวต้องเข้ามาดูแล คุยกันอย่างเข้าใจ อย่าเลี้ยงดูด้วยการบังคับ ต้องปล่อยลูกบ้าง อย่าไปกดดันเขามากจนเขาเตลิดไปด้วยความโมโหหรือไม่ยั้งคิด ให้ความอบอุ่น ให้ความใกล้ชิดกันมากๆ แล้วถ้ามีปัญหาอะไรเดี๋ยวลูกก็จะกล้าคุยกล้าปรึกษาเอง แล้วมันก็จะไม่เกิดปัญหาแบบนี้ค่ะ อย่างหนูเองเวลาชอบใครก็บอกก็ปรึกษาแม่เหมือนกันค่ะ”

ปิดท้ายด้วยมุมมองที่แตกต่างออกไปของสาวลูกครึ่งเจ้าของตำแหน่งรองอันดับ 2 อย่าง “สกาย-มาเรีย เฮิร์ชเลอร์” กันบ้าง เธอมองว่า “เรื่องทำแท้งนี่ สกายอยากให้มองอีกมุมหนึ่ง บางคนเขาก็มีเหตุผลจำเป็นของเขา เขาพลาดไปแล้วแต่เขายังอยากเรียน ยังไม่พร้อม ยังรับผิดชอบไม่ได้ มันก็เลยอาจจะหาทางออกไม่ได้ คิดไม่ออกแล้ว ก็เลยต้องไปทำแท้ง ที่พูดไม่ได้หมายความว่าจะสนับสนุนการทำแท้งนะคะ แค่ไม่อยากให้สังคมไปต่อว่าเขามาก ไม่มีใครอยากจะถูกซ้ำเติมหรอกค่ะ


 
ศึกสายเลือด!
ที่บอกว่าเป็นสาวห้าวก็เพราะเธอเป็นน้องคนสุดท้องที่มีพี่ชายถึง 3 คน พี่สาวอีก 1 คน “พี่คนโตชื่อพี่กอล์ฟ รองลงมาชื่อพี่เก่ง พี่ปู แล้วก็พี่ท็อป แต่ละคนอายุห่างกันมาก อย่างพี่คนโตอายุ 32 ห่างกับหนูเท่าตัวหนึ่งเลย” เธอบอกอย่างนั้น สรุปคือมุกเป็นลูกคนที่ 5 นั่นเอง แค่ลองนึกๆ ดูก็วาดภาพไม่ออกแล้วว่าเวลาอยู่ครบแก๊ง ในบ้านจะวุ่นวายขนาดไหน มุกได้แต่ยิ้มรับแล้วเริ่มยกตัวอย่างความวุ่นวายที่เกิดขึ้นระหว่างพี่ชายคนหนึ่งให้ฟัง
 

“ตอนประมาณ ป.4 อยู่โรงเรียนเดียวกับพี่ชายคนที่ 4 พี่ท็อป เพราะมุกเรียนเร็วกว่าเขานิดหนึ่ง เลยได้อยู่ห้องเดียวกัน แล้วความรู้สึกตอนนั้นคือไม่ถูกกันเลย ตีกันตลอด มุกเป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ แล้วก็ขี้รำคาญ แล้วพี่ท็อปก็ชอบล้อชอบกวนทั้งวัน เวลาทำงานก็ต้องทำคู่กับเขา ยังเด็กอยู่ด้วยก็เลยไม่เข้าใจ คิดว่าเขาเกลียดเรา มีอยู่วันหนึ่งเขาล้อเราจนเราโมโห ทนไม่ไหวยกเก้าอี้ไม้ฟาด แต่เพื่อนห้ามไว้ทัน อาจารย์มาเห็นเรียกเข้าห้องปกครองเลย
 

ถามว่าผิดใจกันเรื่องอะไร ทำไมถึงได้เลือดร้อนขนาดนั้น มุกยิ้มแล้วตอบว่า “จำไม่ได้เหมือนกันค่ะว่าเรื่องอะไร แต่ตอนเด็กๆ พี่ท็อปชอบทำหน้ากวนๆ แล้วก็พูดไม่เพราะใส่เราบ่อยๆ มุกเลยโมโห แต่พอต่างคนต่างโตก็ไม่เป็นแบบนั้นแล้วนะ พอโตขึ้นพี่เขาก็จะเป็นที่ปรึกษาให้เราตลอดค่ะ ไม่กวนละ” เธอยิ้มบางๆ ปิดประโยคอีกที
 

ทุกวันนี้พี่น้องทุกคนต่างคนต่างมีการมีงานทำ ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนตอนเด็กๆ แล้ว แต่มุกยังอดนึกถึงความทรงจำในวัยเด็กไม่ได้
 

“ถ้าวันไหนอยู่ครบจะชอบจัดปาร์ตี้ ทำปลาเผากินกันเองในบ้านค่ะ มีปลาหมึก กุ้ง ทุกอย่างครบ เสร็จแล้วก็ชวนกันเล่นเกม เล่นไพ่กินตังค์กันเอง ถ้าวันไหนว่างและอยากไปเที่ยวก็จะชอบไปเที่ยวทะเลกัน แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่แล้วค่ะ ที่เจอกันตลอดก็มีพี่กอล์ฟ เพราะพี่เขาทำงานที่ระนอง กับพี่ปู เพราะเป็นผู้หญิงคนเดียวเลยคุยกันได้หลายเรื่องหน่อย...(ยิ้มมุมปาก) อย่างเรื่องที่พ่อแม่มักต้องห้าม เรื่องมีแฟนค่ะ พี่ปูเขาก็จะแนะนำว่าอย่าไปจริงจังมาก เรายังเด็กอยู่ คบๆ กันเดี๋ยวก็เลิก มันเป็นแค่ป็อบปี้เลิฟ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป พี่อาบน้ำร้อนมาก่อนพี่รู้ดี มุกก็ฟังไว้ค่ะ พอมีเรื่องอะไรก็จะปรึกษาพี่ปูตลอด”
 

พูดถึงพี่น้องไปแล้ว ให้พูดถึงคุณพ่อคุณแม่บ้าง มุกบอกว่าเธอมีส่วนคล้ายแม่ตรงที่ “อยากได้อะไรก็ต้องได้ค่ะ (แลบลิ้น) อยากได้อะไรซื้อเลย บางทีก็ไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่ส่วนใหญ่จะไม่ใช่ของใหญ่โตอะไร เป็นของจุ๊กจิ๊กๆ น่ารักๆ ก็เลยไม่เดือดร้อนมาก แต่ช่วงหลังก็พยายามคุมตัวเองมากขึ้นแล้วนะ”
ส่วนคุณพ่อ “น่าจะเหมือนกันตรงที่ชอบออกไปกินข้าวนอกบ้าน ชอบหาที่กินอร่อยๆ ค่ะ นอกนั้นท่านก็จะย้ำตลอดว่ายังไงก็ต้องเรียนให้จบ ไม่ว่าจะจบออกมาด้วยเกรดดี-ไม่ดีแค่ไหนก็ตาม เรื่องเรียนสำคัญที่สุด มุกเองก็ไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไรนะ เกรดไม่ได้สูงมาก แต่เราเรียนไปด้วยทำกิจกรรมไปด้วย ถึงตอนนี้จะได้รางวัลแล้ว แต่ก็ยังเน้นเรื่องเรียนมาก่อนเหมือนเดิมค่ะ” เด็กๆ ทั้งหลายดูเป็นตัวอย่างเอาไว้
 


 
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล: มุก-มุกดา นรินทร์รักษ์
วันเกิด: 26 ก.ค. 2539
ส่วนสูง: 165 ซม.
น้ำหนัก: 46 กก.
การศึกษา: นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ร.ร.พิชัยรัตนาคาร จ.ระนอง
ความสามารถพิเศษ : เต้น B-Boy, เต้น Popping, การแสดง, เปียโน, วาดภาพ
รางวัลที่ได้รับ: มิสทีนไทยแลนด์ปี 2011

ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร
 
 
 
 
 
 
 
 
 









พูดไปยิ้มไป

ยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก

ยกแผงความงามมาเยี่ยม
ใสๆ ในวัยเด็ก


เด็กกิจกรรมตัวจริง
ครอบครัวหรรษา
กำลังโหลดความคิดเห็น