เชื่อว่านาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเพลง “คันหู” เวอร์ชันธรรมะ “ฟังหู (ไว้หู)” ซึ่งมียอด views ยูทิวบ์ไล่ตามน้องจ๊ะ เทอร์โบมาติดๆ ผลงานขับร้องและแต่งเองโดย ร้อยเอกสุธี สุขสากล ได้ให้แง่คิดสอนใจผ่านบทเพลงที่กำลังอยู่ในกระแสสังคม โดยนำธรรมะให้มาเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น ไม่เฉพาะเพลง ฟังหู (ไว้หู) เท่านั้นที่ฟังแล้วต้องยกนิ้วให้ เพราะก่อนหน้านี้ได้ส่งเพลงกรุณาฟังให้จบ เวอร์ชันธรรมะ “กรุณาฟังให้หมด” และเพลงกินตับ เวอร์ชันธรรมะ “ใจหลับ” ออกมาสร้างความครื้นเครง ทั้งได้ข้อคิดดีๆ แถมกลับไปฟรีๆ อีกด้วย
ถ้าใครเป็นแฟนเพลงประจำของ ร.อ.สุธี สุขสากล ในเวอร์ชันธรรมะ คงมีโอกาสได้ฟังเพลงที่ให้แง่คิดดีๆ มาหลายเพลงแล้ว อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผู้กองเป็นนักร้องหรือทหารกันแน่ ปัจจุบันเขามีหน้าที่เพื่อชาติ คือดูแลขวัญและกำลังใจของกำลังพลทุกระดับในกองทัพบก ตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญหนึ่งเดียวในกรมนี้
“คันหู” เวอร์ชันธรรมะ
เมื่อเหรียญยังมีสองด้าน โลกเราก็ย่อมมีทั้งด้านมืดและด้านสว่างเช่นกัน เหมือน “คันหู” และ “ฟังหู (ไว้หู)” สองเพลงในทำนองเดียวกันที่มีความแตกต่างกันมาก แต่เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญเท่ากับที่ทำนองนี้เป็นจุดเริ่มของเพลงสนุกๆ ที่มีเนื้อหาสอดแทรกธรรมะ ซึ่งเป็นความตั้งใจของคนแต่งมาตั้งแต่แรก รับรอง...ถ้าใครได้ฟังแล้วต้องมีประโยคติดปากว่า “ถ้าฟังเรื่องดี หูคงไม่คัน”
“แน่นอนครับที่ในสังคมไทยสมัยนี้ เรื่องของการฟังเทศน์ ฟังธรรมรู้สึกว่าน่าเบื่อ ทีนี้เราก็เลยคิดว่าจะมีวิธีการใดที่จะทำให้ความรู้สึกเซ็งมันหายไปและอยากฟัง เมื่อความรู้สึกอยากฟังมันเกิดขึ้นแล้วเราจะไปสอดแทรกเนื้อหาที่อยากใส่ มันจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป โดยการใช้บทเพลงมาเป็นสื่อ”
ร.อ.สุธี ได้มีโอกาสออกไปบรรยายและอบรมกำลังพลทหารอยู่บ่อยครั้ง พอถึงช่วงเวลาที่มีกระแสเพลงนู่น..นั่น..นี่ดังมาเป็นช่วงๆ พอพูดถึงทุกคนก็รู้จัก เขาจึงอยากเอาสิ่งที่ทุกคนสนใจร่วมกัน นำมาทำให้เกิดมุมมองใหม่ อย่างเช่นเพลงดังทั้งหลายที่เราคุ้นเคยกัน
ล่าสุดเพลง คันหู ของน้องจ๊ะ-เทอร์โบ ซึ่งดังมาก มีทั้งกระแสบวกและกระแสลบ จึงเป็นช่องทางที่ ร.อ.สุธี คิดว่า “ไหนๆ มันเป็นกระแสที่ค่อนไปทางลบในแง่ของการแสดงออกผ่านบทเพลง เราก็น่าจะเอากระแสตรงนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในแง่ของการสร้างสรรค์ความคิดในเชิงบวก โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับการฟัง เกี่ยวข้องกับหู และงานของเรามันก็เกี่ยวข้องกับหูโดยตรง ฟังอย่างไรที่จะฟังอย่างมีสติก็คือฟังหูไว้หู จึงเป็นที่มาของเพลงนี้”
“น้องจ๊ะ คันหู ในเรื่องความสนใจของคน ผมว่ามันเกิดขึ้นได้กับทุกเรื่องราว อย่างเช่นเรื่องของการถ่ายภาพแปลกๆ แพลงกิ้ง หรือท่าทางอะไรต่างๆ นี้ มันเป็นความสนใจชั่วครู่กับเรื่องราวต่างๆ ที่ดูแปลก ธรรมชาติของมนุษย์จะไม่ชอบอะไรที่ซ้ำซากจำเจ อะไรที่แปลกขึ้น อย่างคันหู แต่เขาไม่ได้เกาหูเนี่ย จึงดูแปลก เลยน่าสนใจ แล้วมันก็ผ่านพ้นไป แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฝากร่องรอยเอาไว้ นั่นคือเยาวชนที่ไปฟังไปดูมาแล้วเกิดจินตนาการต่อจากนั้น เขาคิดอะไรเราไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะเอาเรื่องราวต่างๆ ผ่านหู ผ่านความคิดของเยาวชน เราควรเลือกสื่อสร้างสรรค์ดีที่สุด แม้ว่ามันไม่เปรี้ยง! แบบว่าได้กระแสล้นหลาม แต่ก็ดีกว่าเปรี้ยงแล้วจำภาพที่ไม่ดี”
“เพลงเหล่านั้นเป็นกระแสของโลกที่อยู่ในความสนใจของคนทั้งโลก คนที่มีกิเลสก็สนใจสิ่งที่ชูกิเลสให้มันงอกงาม เราต้องยอมรับว่าเรายังมีกิเลสกันอยู่ ในขณะที่เราวิจารณ์สิ่งต่างๆ ที่มันไม่ดีไม่งาม แต่เรายังดูกันไหม...ดู เมื่อดูกันแล้ว จะทำอะไรกันต่อ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้คิดกัน”
“ฟังหู (ไว้หู)” ไต่ล้านวิว
หลังจากที่ได้เข้าไปดูคอมเมนต์ในยูทิวบ์ จะเห็นว่ามีคนติดตามและให้ความสนใจงานเพลงของ ร.อ.สุธี อยู่เป็นจำนวนมาก ไม่เฉพาะเพลงฟังหู (ไว้หู) ที่ตอนนี้เกือบถึงล้านวิวแล้ว ยังมีเพลงกรุณาฟังให้หมด และใจหลับ เวอร์ชันธรรมะ ซึ่งสอนใจได้อย่างดี สาวกคอมเมนต์บางคนบอกว่า “ดีจัง...ได้สติ” บ้างก็ว่า “ชอบ...ร้องเพราะมากๆ”
“แน่นอนหลายคนอาจเข้าไปดูมากกว่าฟัง แต่ในเพลงของผมตั้งใจอยากให้ฟังมากกว่าดู จริงๆ แล้ว กลุ่มเป้าหมายหลักที่อยากสื่อจริงๆ คือเยาวชนซึ่งเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ต่อไปในอนาคต ถ้าเขาเติบโตพร้อมกับการเติบโตทางสติปัญญาก็เชื่อว่าการเติบโตของเขาไม่ไร้ผลแน่ วันหนึ่งเขาอาจจะเป็นผู้นำประเทศ หรือเป็นผู้นำองค์กรต่างๆ ที่สำคัญ เขาจะได้นำความคิดถูก คิดตรงของเขาที่เรียกว่าสัมมาทิฐิสู่สังคมโดยกว้าง จึงนำบทเพลงมาเป็นตัวเชื่อม”
เชื่อเลยว่าตอนนี้ ร.อ.สุธี มีแฟนเพลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่มีสังกัดค่ายเพลง แต่เอาชนะใจคนฟังไปคนเดียวเต็มๆ เพราะร้องเพลงก็เพราะ แต่งเพลงก็เก่ง มีฝีมือร้ายกาจขนาดนี้ สงสัยจริงๆ ว่าได้ร่ำเรียนวิชาดีมาจากไหนกัน “เพลงนี่ ไม่ได้ฝึกร้องที่ไหนเลย แต่การแต่งเพลงไปฝึกหัดมาบ้าง ได้อาศัยครูเพลงหลายๆ ท่านเป็นต้นแบบ ถ้าเป็นเพลงลูกทุ่งก็มีหลายท่าน ทั้งครูนคร ถนอมทรัพย์ ศิลปินแห่งชาติ, ครูชลธี ธารทอง ศิลปินแห่งชาติ, ครูพงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา รวมทั้งครูสลา คุณวุฒิ ซึ่งแต่ละท่านก็เป็นสุดยอดผู้สร้างสรรค์เพลง และมีโอกาสได้รับคำแนะนำจากท่านเหล่านี้เป็นอย่างดีเมื่อหลายปีก่อน”
“ผมมีความสนใจเพลงลูกทุ่งมาตั้งแต่เด็กเป็นหลักเลย ชอบมาก เวลามีกิจกรรมอะไรต่างๆ ของทางโรงเรียนก็จะไปร่วมแสดงที่เกี่ยวกับการร้องเพลง วันหนึ่งคิดว่าถ้าสิ่งที่เราชอบและคิดว่าใช่กับมัน เราจะทำยังไงให้เกิดประโยชน์สูงสุดที่สามารถนำมาใช้กับงานของเราได้ด้วย”
จากสิ่งที่ชอบ 2 อย่างนั่นคือ ธรรมะและบทเพลง เขาจึงเอามาผสานรวมกันและถ่ายทอดให้ผู้อื่นฟัง “ผมใช้ชื่อว่าธรรมะมีทำนอง หมายความว่าท่วงทำนองของธรรมะเนี่ย มันเป็นโทนที่หลายคนคิดว่ามันดูไม่น่าสนใจ เนื่องจากว่าอยู่ไกลตัว ที่นี้ระหว่างเพลงกับธรรมะ ถ้าบอกว่าจะเลือกฟังอะไร ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะฟังเพลงก่อน เพราะฟังง่าย เข้าใจง่าย มีความบันเทิงที่เข้ามาเคลือบอยู่ในเสียงเพลงนั้น จึงคิดว่าจะเอาสิ่งที่คนคิดว่าไกลตัวนั้นมาอยู่ใกล้ตัว ด้วยการเอาธรรมะมาผสมกับท่วงทำนองของบทเพลง”
นอกจากจะลงทั้งแรงกาย แรงใจ แต่งและร้องเพลงธรรมะเองแล้ว ร.อ.สุธี ยังเสียสละกำลังทรัพย์ส่วนตัวผลิตบทเพลงสร้างสรรค์เหล่านี้ลงแผ่นซีดีเพื่อแจกฟรีเป็นธรรมบรรณาการแก่ประชาชนทั่วไป โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ทหารผ่านสึก
เมื่อคุณได้อ่านมาถึงตอนนี้ หลายคนอาจกำลัง สาธุ...อยู่ในใจ เพราะสิ่งที่เขาทำช่างยิ่งใหญ่และมีความตั้งใจอย่างแท้จริง ยิ่งทำให้อยากรู้จักผู้กองคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม เรามาสัมผัสในอีกหนึ่งหน้าที่เพื่อชาติของชายชาติทหารกัน
“ทางกองทัพบกเปิดรับคนเข้ามาทำหน้าที่สอนทหารในเรื่องธรรมะ เรื่องของศาสนา พิธีการ เพราะว่าในหน่วยทหารจะมีพิธีการด้านศาสนาอยู่หลายวารโอกาส จึงคัดคนที่เคยบวชเรียนมาทำหน้าที่กำกับดูแล ผมบวชเรียนมา จบเปรียญธรรม 9 ประโยค ในปี 2543 รุ่นเดียวกับท่าน ว.วชิรเมธี (พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี) แถมมีหน้าตาคล้ายกันอีก (แซวตัวเอง) และมาสอบบรรจุเป็นนายทหารสัญญาบัตร ในตำแหน่ง อนุศาสนาจารย์ หรือ อศจ. เพราะฉะนั้นหน้าที่หลักๆ ถ้าพูดอย่างย่อและเข้าใจง่ายที่สุดก็คือ ดูแลขวัญและกำลังใจของกำลังพลทุกระดับในกองทัพบก”
ร.อ.สุธี เคยบวชเรียนตั้งแต่อายุ 13 ปี ซึ่งเป็นการบวชเณรภาคฤดูร้อน ครั้งยังเป็นเณรน้อยตอนนั้นเขาได้แรงบันดาลใจจากพระอาจารย์รูปหนึ่งที่กล่าวว่า “การได้บวชเป็นความโชคดีนะ มีเด็กเป็นจำนวนมากบนโลกนี้ที่ไม่มีโอกาสได้บวชแบบเรา แล้วจะโชคดีมากที่สุดถ้าได้บวชแล้วได้เรียนไปด้วย” หลังจากนั้นมาจึงสนใจบวชไปเรียนธรรมะไป ซึ่งจะมีเรียนทั้งนักธรรมและบาลี และศึกษาจนจบเปรียญธรรม 9 ประโยคในที่สุด
หลังจากเรียนจบทางธรรมชั้นสูงสุดตามที่ได้ตั้งใจไว้ จึงได้ลาสิกขา และเข้ามาสอบบรรจุเป็นนายทหารสัญญาบัตร ด้วยความคิดที่ว่า “การประกาศพระศาสนาในฐานะที่เป็นชาวพุทธคนหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในสมณเพศ หรือลาสิกขาออกมา ในทุกภาวะตำแหน่งที่เป็น ถือได้ว่าประกาศพระศาสนาได้เหมือนกัน ผมก็เลยมานึกว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่ทีเดียวคือกลุ่มทหาร ก็เลยคิดว่าตำแหน่งนี้น่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะนำเสนอสิ่งดีๆ ให้แก่กำลังพลได้ จึงสนใจที่จะเข้ามาทำหน้าที่” ผู้กองอารมณ์ดียังบอกอีกว่าตั้งแต่มาเป็นทหารเลยมักจะถูกเรียกว่า “ทหารผ่านสึก คือ เคยบวชแล้วสึกมาเป็นทหาร” และมีชื่อเกาหลีว่า “วางจีวร” (เล่นมุกอีก)
หน้าที่ “หมอรักษาใจ”
จากการทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติมาตั้งแต่ปี 2547 จนมาถึงตอนนี้เข้าปีที่ 8 แล้ว ด้วยเจตนารมณ์ตั้งแต่แรกคือจะทำอย่างไรให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงาน ด้วยวิธีการทางพระพุทธศาสนา ร.อ.สุธีจึงพยายามสรรหาวิธีต่างๆ มาใช้ในการทำหน้าที่ “คลายทุกข์” ให้แก่กำลังพล ณ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งมีปลอกแขนสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์สำคัญ (กิจการอนุศาสนาจารย์ไทย ถือกำเนิด ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 รัชกาลที่ 6 พระราชทานกำเนิด เมื่อ พ.ศ. 2461) ขณะนี้มีประมาณ 130 นาย ในหน่วยทหารทั่วประเทศ (หน่วยละหนึ่งนาย)
“เราเหมือนเป็นหมอทางใจ เขามีปัญหาอะไรกับชีวิต ต้องถามเพื่อให้ได้ระบายออกมา แล้วให้เขานึกไปถึงสาเหตุที่แท้จริงของมัน ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ของโลกใบนี้จะเกิดขึ้นจากตัวเองเกือบทั้งสิ้น การโทษคนอื่น ว่าคุณทำให้ฉันเจ็บ คุณทิ้งฉันไป ฉันเลยเป็นคนโสดแถมเศร้า อกหักรักคุดจนถึงทุกวันนี้ ไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลย ซึ่งความจริงแล้วใครจะทิ้งหรือใครจะไม่ทิ้ง ถ้าเรามีวิธีดูแลหัวใจตัวเองก็จะไม่ทุกข์อะไรเลย สามารถอยู่ได้กับทุกเรื่องราว”
เมื่อเป็นที่ปรึกษา “หมอทางใจ” จึงต้องเคยเจอปัญหาหนักใจของคนที่เข้ามาปรึกษา ถึงขนาดคิดฆ่าตัวตายก็เคยมีมาแล้ว จึงขอแชร์ประสบการณ์ของกำลังพลท่านหนึ่งที่ถูกแฟนทิ้งจนคิดสั้นฆ่าตัวตาย เพื่อเป็นข้อเตือนใจให้แก่คนอื่นๆ
“เราก็บอกว่าไอ้ตายนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลย คนเราเกิดมาเท่าไหร่ตายหมด หากเราจะตายเพราะผู้หญิงคนเดียวที่ไม่เห็นคุณค่าของตัวเรา ก็ลองนึกถึงคนที่เห็นคุณค่าของตัวเราสิ คุณพ่อ คุณแม่ก็ยังอยู่ ถ้าเกิดเราตายล่ะ ใครเสียใจ แฟนเราเสียใจหรือพ่อแม่เราเสียใจ แฟนเขาอาจจะสะใจก็ได้ เพราะความคิดสั้นแบบนี้กระมังเขาจึงทิ้งเราไป เราโง่เองกับชีวิต ถ้าเราฉลาดสักหน่อยให้คนอื่นอิจฉา ย่อมจะดีกว่าให้เขาสงสารนะ เลยแนะนำให้เขาไปฟังเพลงธรรมะที่เคยมอบให้ เขาเลยบอกว่าผมขอไปนอนฟังเพลงและคิดกับตัวเองดูอีกสักครู่ก่อน ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้น เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ และอยู่มาจนถึงทุกวันนี้”
“คนที่คิดจะฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่ก็เพื่อประชดใครสักคนหนึ่ง ตายเพื่อให้เขารับรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง ซึ่งก็ป่วยการ เพราะเราก็ได้ตายไปแล้ว เมื่อทะเลาะกันจึงไม่ควรประชดกันหวังเอาชนะ ควรใช้วิธีสงบนิ่งหรือให้เวลาเยียวยาดีที่สุด และใช้สติให้มากๆ นี่เป็นธรรมะเพื่อการดูแลตัวเอง คือใช้สติเพื่อถามตัวเองว่าเราหาความสุขจากหัวใจตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน “ความสุขมันอยู่ที่ใจ” แต่ส่วนใหญ่ก็ไปหวังพึ่งจากที่อื่น เช่น เข้าไปหาความสุขจากสถานบันเทิง สุดท้ายพอไปแล้วกลับมาก็ต้องทุกข์หนักกว่าเก่า เสียเงิน เสียสุขภาพ เสียเวลา แต่คนที่มีความสุขแท้ คือคนที่มีสติอยู่กับทุกเรื่องราว ลงทุนไม่มากหรือแทบจะไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เพียงแค่รู้จักให้เวลากับลมหายใจ”
“ได้ให้ข้อคิดกับกำลังพลอยู่บ่อยๆ ว่า ลองเขียนคำว่า “ฉันอยากมีความสุข” ทำยังไงถึงจะเป็น “ฉันมีความสุข” ได้ ก็ต้องเอาคำว่า “อยาก” ออกไป คนไม่มีความสุขเพราะว่าอยาก อยากนู่น อยากนี่ ควรลดทอนความอยากลงมาและตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เช่น ถ้าเราสอบแล้วอยากจะได้ที่ 1 อยากได้คะแนนสูงๆ เมื่อไหร่ เริ่มทุกข์แล้ว กดดันตัวเอง ถ้าเราคิดว่าวันนี้ฉันได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว โอ้! สนุกจังเลยที่ได้เรียน สนุกจังเลยที่ได้สอบ ส่วนผลมันจะออกมายังไงนั้น ก็ยิ้มรับได้ตลอด เพราะเราเต็มที่ทุกความตั้งใจ เราได้หน้าที่ที่ควรทำแล้ว”
ผิดหน้าที่ = ผิดธรรมะ
ธรรมะเป็นเรื่องใกล้ตัว และเป็นของที่ทุกคนควรจะคิดร่วมกันว่าธรรมะต้องมีอยู่ทุกลมหายใจ ถ้าหากไม่มีธรรมะหรือไม่ใช้ธรรมะเมื่อไหร่ วิถีชีวิตจะผิดปกติทันที เอาอย่างง่ายๆ แค่ทุกคนตระหนักในหน้าที่ของตัวเอง นี่ก็เป็นธรรมะ ฉะนั้นถ้าผิดหน้าที่ ก็คือผิดธรรมะนั่นเอง
“ธรรมะคือการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน ตำแหน่งอะไรก็ตามแต่ และต้องประสานสอดคล้องกับทุกชีวิต ไม่ขัด ไม่แย้ง เพราะว่าทุกคนต่างก็เป็นฟันเฟืองของโลกใบนี้ เราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าโลกใบนี้อาศัยชีวิตทุกระดับชั้นจึงขับเคลื่อนไปได้”
“หน้าที่ของคนเรามีเยอะในหนึ่งคน อย่างผมมีหน้าที่เป็นอนุศาสนาจารย์ นอกจากงานราชการตามปกติแล้ว ก็ต้องเป็นแบบอย่างให้แก่กำลังพลด้วย ต้องรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นเราสอนเขาไม่ได้ เราไปดื่ม ไปเสพสุรายาเมาที่ไหน แล้วมาสอนเขาว่าการดื่มสุราเป็นสิ่งที่ไม่ดีนะก็สอนได้ไม่เต็มปาก “หนึ่งตัวอย่างดีกว่าร้อยคำสอน” และเมื่อถึงวันสำคัญทางศาสนา อนุศาสนาจารย์ก็จะเป็นผู้นำกำลังพลไปทำบุญฟังเทศน์ เวียนเทียน รับหน้าที่มรรคนายกไปโดยปริยาย คือนำไหว้พระรับศีลอยู่เป็นประจำ จึงเป็นอาชีพหนึ่งที่ได้ทำงานด้วย และทำบุญด้วยในคราวเดียวกัน”
นอกจากนี้ ร.อ.สุธี ยังได้ทำหน้าที่ในส่วนของการเผยแผ่ธรรมะผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก (FM103 และในเครือข่ายกองทัพบก) ในหลายรายการ เช่น รายการสยามานุสติ วันอาทิตย์ (06.45-07.00 น.), รายการรู้รักสามัคคี ทำความดีเพื่อแผ่นดิน วันเสาร์-อาทิตย์ (12.30-13.00 น.) และ รายการแก่นสารชีวิต วันพุธ-ศุกร์ (05.00-06.00 น.)
“นักจัดรายการวิทยุ ซึ่งมีเงื่อนไขของเวลา ถ้าไม่ตรงต่อเวลาการปฏิบัติหน้าที่ก็เสียไป เพราะมีคนคอยฟังเราเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีเสียงออกอากาศ เพราะฉะนั้น คนที่มีความตรงต่อเวลา เขาเรียกว่าเป็นคนมีสัจจะ การรับผิดชอบต่อเนื้อหาข้อมูลที่นำเสนอออกไป นี่ก็เป็นการปฏิบัติธรรมะอย่างหนึ่งเหมือนกันครับ”
สนใจร่วมสนับสนุนการผลิตบทเพลงสร้างสรรค์ “ธรรมะมีทำนอง” เพื่อเป็นธรรมทาน เผยแพร่แก่เยาวชน โอนเข้าบัญชี ธ.ทหารไทย สาขาศรีย่าน เลขบัญชี 041-242-7569 สอบถามโทร. 08-1829-5518
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย...พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร