ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นปี “กระต่าย” ปีที่ “ดี” สำหรับใครหลายคน แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นปีที่ “เลวร้าย” สำหรับใครอีกหลายคนเช่นเดียวกัน นั่นเพราะตลอดปี 2554 ได้เกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และธรรมชาติ ที่ดูเหมือนจะร่วมด้วยช่วยกัน “โหมกระหน่ำ” ซ้ำเติมกันไม่หยุดหย่อน จนผู้คนทั้งประเทศต่างตกอยู่ในสภาพ “สะบักสะบอม” เดือดร้อนไปตามๆ กัน ปีที่ผ่านมาจึงถือเป็นปีแห่งความ “ระส่ำระสาย” ไปทุกทิศทั่วไทยกันเลยทีเดียว
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ได้รวบรวมและคัดสรรข่าวเด่นประเด็นดัง ที่เกิดขึ้นในรอบปี 2554 มานำเสนอเพื่อทบทวนความจำกัน แม้ว่าบางเรื่องจะน่าจดจำ และบางเรื่องนั้นอยากจะลืมเลือน แต่ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เรื่องราวที่เกิดขึ้นล้วนคือ "ประวัติศาสตร์" คืออดีตที่เราต้องศึกษาเรียนรู้ เพื่อก้าวย่างอย่างมีสติต่อไปในอนาคต...
**ปะทะเดือด “ไทย-เขมร” กรณี “วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ”
เริ่มจากข่าวปะทะเดือดระหว่าง "ทหารไทย" กับ "ทหารกัมพูชา" ที่ชายแดนด้าน จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยทหารของทั้งสองฝ่ายได้ตอบโต้กันด้วยอาวุธหนักตั้งแต่เวลา 15.00น.-18.00น. โดยเหตุเกิดหลังทหารกัมพูชาได้ยิงอาวุธหนักเข้ามายังฝั่งไทยก่อนบริเวณภูมะเขือ ทหารไทยจึงตอบโต้ ส่งผลให้ชาวบ้านภูมิซรอล จ.ศรีสะเกษ ถูกกระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชาเสียชีวิตคาที่ 1 ราย คือ นายเจริญ ผาหอม อายุ 59 ปี นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่และชาวบ้านได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ขณะที่บ้านเรือนและโรงเรียนในพื้นที่ได้รับความเสียหายจากกระสุนปืน และเกิดเพลิงไหม้อีกหลายหลัง ส่งผลให้ชาวบ้านกว่า 3 พันคนได้รับความเดือดร้อนต้องหนีตายเข้าหลุมหลบภัย และไปอยู่ในที่ที่ทางจังหวัดจัดให้
ต่อมาในช่วงเช้าของวันที่ 5 ก.พ. ทหารของทั้ง 2 ฝ่ายก็ได้ปะทะกันอีกรอบ บริเวณบ้านห้วยตามาเรีย ฐานทหารผามออีแดง และช่องโดนอาว ฝั่งทิศตะวันตกของปราสาทพระวิหาร โดยทหารกัมพูชาได้ใช้ปืนกลเล็กยิงเข้าใส่ทหารไทย ส่งผลให้ ส.อ.วุฒิชริน ชาติคำดี เสียชีวิต และมีทหารไทยได้รับบาดเจ็บอีก 4 นาย
ขณะที่กระทรวงต่างประเทศกัมพูชา รีบออกแถลงการณ์อ้างว่า ทหารไทย 300 นายรุกล้ำดินแดนเขมรในพื้นที่ใกล้เขาพระวิหาร และใช้ปืนใหญ่ยิงเข้าไปในเขตกัมพูชาก่อน ทำให้ปราสาทพระวิหารเสียหาย และทหาร รวมทั้งพลเรือนชาวกัมพูชาเสียชีวิต กัมพูชาไม่มีทางเลือก จึงต้องปกป้องตัวเอง แถลงการณ์ของกัมพูชา ยังตำหนินายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย (ในขณะนั้น) ด้วยว่า เป็นผู้ที่กระหายสงคราม จากกรณีที่เรียกร้องให้กัมพูชาปลดธงชาติเหนือวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระลง เป็นที่น่าสังเกตว่า กัมพูชาไม่เพียงออกแถลงการณ์กล่าวหาไทย แต่ยังส่ง จม. ด่วนใส่ร้ายไทยไปถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นเอสซี ด้วย
ทั้งนี้ การปะทะกันที่เกิดขึ้น ส่งผลให้กองทัพภาคที่ 2 ต้องสั่งปิดชายแดนถาวรช่องจอม-โอร์เสม็ด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ชั่วคราว จากนั้น พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เดินทางไปเจรจากับ พล.ท.เจีย มอน ผู้บัญชาการภูมิภาคที่ 4 ของกัมพูชา กระทั่งได้ข้อสรุป 4 ข้อ คือ 1.หยุดยิง 2.ห้ามเพิ่มกำลังทหาร 3.ดูแลไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ 4.ประสานงานด้านข้อมูลให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น พร้อมนำตัวนายทหาร 5 นายที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่าถูกทหารกัมพูชาจับตัวไป กลับออกมาจากพื้นที่ใกล้เขาพระวิหาร
ด้านกระทรวงสาธารณสุข เผยตัวเลขผู้บาดเจ็บจากเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาว่า มี 17 ราย เป็นทหาร 14 ราย และชาวบ้าน 3 ราย ทั้งนี้ มีรายงานว่า มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตจากเหตุปะทะดังกล่าว 64 นาย รถถังสูญเสียกว่า 10 คัน และเครื่องยิงจรวดได้รับความเสียหาย 4 ชุด
**ศึกเลือกตั้งใหญ่ กับ “นายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย”
มาต่อกันที่ข่าวเลือกตั้งใหญ่ พลันที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาในวันที่ 10 พ.ค. 2554 ประเทศไทยก็เข้าสู่โหมดเลือกตั้งอย่างเต็มตัว โดยการเลือกตั้งครั้งนี้จัดให้มีขึ้นในวันที่ 3 ก.ค.2554 ซึ่งมีไฮไลต์ที่น่าสนใจคือการที่พรรคเพื่อไทยตัดสินใจส่ง “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวของ “ทักษิณ ชินวัตร” นักโทษหนีคดี ลงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเธอประกาศว่าจะสร้างความปรองดอง-สมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย “มาแก้ไข ไม่แก้แค้น” จนในที่สุดผลการเลือกตั้งออกมาปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ทิ้งห่างพรรคประชาธิปัตย์เกือบไม่เห็นฝุ่น นั่นเป็นเพราะความนิยมชมชอบในตัวพี่ชาย-นายใหญ่ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่มีฐานเสียงเป็นมวลชนคนเสื้อแดงจำนวนมาก ประกอบกับนโยบายหาเสียงประชานิยมที่สุดโต่งและบ้าระห่ำ “ลดแลกแจกแถม” แบบไม่อั้น ได้ใจชาวบ้านไปเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เงินเดือนผู้จบปริญญาตรีสตาร์ทที่ 15,000 บาท รถคันแรก บ้านหลังแรก แจกแท็บเล็ตให้เด็กนักเรียน ฯลฯ ทำให้พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.ถึง 265 ที่นั่ง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้เพียง 159 ที่นั่ง ส่งผลให้ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และถือเป็นสตรีคนแรกที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศไทย
แต่พอเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างสมบูรณ์เต็มตัวได้ไม่นาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องการบริหารประเทศที่ “ไร้ประสิทธิภาพ” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอมีประสบการณ์ทางการเมืองน้อยนิด จึงทำให้เกิดความผิดพลาดอยู่เสมอ และเธอก็มักอ่านสคริปต์อยู่เป็นประจำ จนทำให้ผู้คนทั้งประเทศมองตรงกันว่าเธอเป็นนายกฯ “โคลนนิ่ง” ของพี่ชาย ไม่ได้มีความรู้ความสามารถในการบริหารบ้านเมืองแต่อย่างใด
แต่ที่หนักกว่านั้นก็คือ หลังจากได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างสมบูรณ์แล้ว รัฐบาลโดยการนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ทำตาม “คำมั่นสัญญา” ที่ให้ไว้กับประชาชนว่า จะสร้างความปรองดอง-สมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย อย่างที่บอกว่า “มาแก้ไข ไม่แก้แค้น” โดยเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลชุดนี้ย้ำนักย้ำหนาว่าจะลงมือทำทันที และจะทำเป็นอันดับแรก นั่นก็คือ การแก้ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน และที่สำคัญจะไม่ทำเพื่อคนคนเดียว
แต่พอถึงวันแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ประชาชนคนไทยจึงได้รู้ความจริงว่า แท้จริงแล้วนโยบายต่างๆ นานา ที่รัฐบาลชุดนี้ให้คำมั่นสัญญากับประชาชนก่อนการเลือกตั้งนั้น แท้จริงแล้วพวกเขาบอกว่ามันเป็นเพียงแค่ “เทคนิคการหาเสียง” เท่านั้น จะมาเอาจริงเอาจังอะไรกันหนักหนา แม้แต่กรณีขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทที่รัฐบาลหาเสียงไว้ว่าจะขึ้นให้ทันที หรือกรณีเงินเดือนปริญญาตรีจบใหม่ 15,000 บาท นายกฯ ยิ่งลักษณ์ยังถูๆ ไถๆ พูดไปงงไปว่า "ความจริงแล้วเป็นการคุยกันในเรื่องของการตีความตามตัวอักษร"
ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา ประชาชนก็ได้รู้ได้เห็นกันจนเต็มสองตาว่า สิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กระเหี้ยนกระหือรือ เร่งรีบดำเนินการเป็นอันดับแรกก็คือความพยายามในการ “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” เพื่อล้างความผิดให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นพี่ชาย และสหายแดงทั้งหลาย รวมถึงนักการเมืองคนอื่นๆ ที่ทำผิดกฎหมายให้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง รวมถึงความพยายามในการขอพระราชทานอภัยโทษให้ทักษิณโดยไม่สนใจว่าจะกระทำผิดกฎระเบียบอย่างไร และไม่สนใจด้วยว่าสิ่งที่ทำมันจะเป็น “ระเบิดเวลา” ที่จะก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง “วุ่นวาย” ขึ้นในประเทศอีกครั้ง
เรื่องที่เป็น “วาระเร่งด่วน” และต้องลงมือทำทันที จึงไม่ใช่เรื่องปากท้องและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะผู้คนที่ประสบภัยน้ำท่วมอย่างแสนสาหัส เพราะหลายคนยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์บอกว่า “เอาอยู่” แต่หลังจากนั้นน้ำก็แตกทะลักกระจายท่วมคอท่วมบ้านเรือนประชาชนจนฉิบหายวายป่วงไปตามๆ กัน และเรื่องอื่นๆ อีกมากมายจนจำกันไม่หวาดไม่ไหว
จนล่าสุด สื่อมวลชนประจำรัฐสภามอบฉายา "นายกฯ ดาวดับ" ให้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะนิสัยไม่ให้ความสำคัญต่อสภาของ นายกฯยิ่งลักษณ์ นั้นเหมือน ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายไม่ผิดเพี้ยน โดยปากพร่ำบอกและสร้างภาพว่าเชิดชูประชาธิปไตย แต่กลับไม่ให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่ในสภาแม้แต่น้อย ฉายา "นายกฯ ดาวดับ" ที่สื่อมวลชนมอบให้ จึงเหมาะสมกับ “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ด้วยประการทั้งปวง
**การกลับมาของ “แดงเผาเมือง”
และที่จะข้ามไปไม่ได้ก็คือข่าวของพวกโจกแดงก่อการร้าย “เผาบ้านเผาเมือง” หลังจากที่ปิดแยกราชประสงค์ สาปแช่งอำมาตย์ จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ ฆ่าทหาร ปล้นประชาชน-ศูนย์การค้า บุกโรงพยาบาล เผาบ้านเผาเมือง และฯลฯ จนทำให้ประเทศชาติและประชาชนเดือดร้อนวุ่นวาย “ฉิบหาย” กันไปทั่ว แต่ “โจกแดง” ผู้ก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมืองเหล่านี้ แม้จะถูกจับติดคุก แต่ก็ถูกปล่อยตัวออกมา “สมัคร ส.ส.” ในเวลาเพียงไม่นาน กระทั่งมาถึงการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งพรรคเพื่อไทยของทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งทั่วไปแบบขาดลอย จนได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล “หัวโจกคนเสื้อแดง” เหล่านี้ก็ได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยกันถ้วนหน้า รวมถึงโจกแดงระดับรองลงมาจนถึงหางแถว ก็ได้บำเหน็จรางวัลได้ดิบได้ดีกันทั้งหมด
นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, น.พ.เหวง โตจิราการ, นายพายัพ ปั้นเกตุ, และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ที่หลังออกจากคุกมา ก็ได้รับการตกรางวัลให้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย อย่างสมใจอยาก
ส่วน “โจกแดง” ระดับรองลงมาจนถึงหางแถว ก็ได้รับการ “ปูนบำเหน็จ” ให้มานั่งเป็นที่ปรึกษาและเลขาธิการรัฐมนตรีหลายตำแหน่ง ซึ่งล็อตนี้ถือเป็นการตอบแทนหัวโจกคนเสื้อแดง ระดับเกรดบีและซี ก็ว่าได้ เพราะทั้งหมดเป็นแกนนำบนเวที ที่เคลื่อนไหว “เผาบ้านเผาเมือง” และสนับสนุนพรรคเพื่อไทยจนได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย
อีกด้านหนึ่งการแต่งตั้ง “โจกแดง” เป็นที่ปรึกษาและเลขานุการรัฐมนตรีแบบ “เทกระโถน” ยกโหลนี้ ก็เพื่อเอาใจและรักษามวลชนเอาไว้ในระยะยาว และทยอยตามกันมาอีกหลายล็อต ทั้งในรูปแบบของบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคน “มีราคา” ค่างวดในระดับใด
กล่าวสำหรับ “หัวโจกไพร่แดง” ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “อำมาตย์” ตั้งแต่แนวร่วมหัวขบวนยันท้ายขบวน ที่น่าสนใจก็มี อาทิ นายวิสา คัญทัพ กวีและนักร้องประจำเวทีคนเสื้อแดง ที่หายตัวไปในช่วงท้ายของการชุมนุมคนเสื้อแดง เมื่อเดือน พ.ค.53ได้รับการตกรางวัลให้เป็น กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี, เช่นเดียวกับ นางฉวีวรรณ คลังแสง ภรรยานายสุทิน คลังแสง แกนนำ นปช. ซึ่งปัจจุบันจัดรายการทีวีคนเสื้อแดง ก็ได้รับการตกรางวัลให้เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี เช่นเดียวกับ นายวิบูลย์ แช่มชื่น อดีต ส.ว.กาฬสินธุ์ และผู้ก่อตั้งนิตยสาร “ไทยเรดนิวส์” (ถูก ศอฉ.สั่งปิดไปแล้ว) ก็ได้รางวัลเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมี นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล แกนนำ นปช. เชียงใหม่ ที่เคยออกมาโวยวายหลังจากถูกจัดให้ลง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในอันดับที่ไม่ได้เป็น ส.ส. ก็ได้เป็นที่ปรึกษา รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, นายประแสง มงคลศิริ แกนนำ นปช. และอดีต ส.ส.อุทัยธานี พรรคไทยรักไทย ซึ่งอีกมุมหนึ่งนายประแสงคือลูกเขย พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ อดีตรอง ผบ.ทบ.ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ, นายนาวิน บุญเสรฐ แกนนำนปช.สายภาคเหนือ และยังมีความใกล้ชิดกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการ รมว.ต่างประเทศ
นายชินวัฒน์ หาบุญพาด แกนนำ นปช.สายแท็กซี่ และเป็นหนึ่งในบุคคลที่โจมตีรัฐบาลประชาธิปัตย์อย่างหนักในช่วงที่แต่งตั้ง นายกษิต ภิรมย์ เป็นรมว.ต่างประเทศ คนนี้ได้รับการปูนบำเหน็จให้เป็นถึงที่ปรึกษารมว.คมนาคม (พล.อ.อ.สุกำพล สุรรณทัต)
เช่นเดียวกับ นายวิเชียรชนินทร์ สินธุไพร น้องชาย นายนิสิต สินธุไพร แกนนำนปช.ที่เพิ่งออกจากเรือนจำ ก็ได้รับบำเหน็จเป็นที่ปรึกษารมช.คมนาคม (พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก) เช่นเดียวกับพี่ชาย นายนิสิต สินธุไพร ที่ พล.ต.ท.ชัจจ์ ได้โทรศัพท์ขอมาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในช่วงก่อนหน้านี้
นายสมหวัง อัสราษี นักธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังความจริงวันนี้ และเครื่องใช้ไฟฟ้ามิตซูชิต้า ซึ่งเป็นนายทุนคนสำคัญของ นปช. สายนายวีระ(กานต์) มุสิกพงศ์ รายนี้ได้รับรางวัลเป็นที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ ขณะที่ นายอารี ไกรนรา หัวหน้าการ์ด นปช. คนรู้ใจใกล้ชิด “เดอะคางคก” ตู่-จตุพร ที่หลบหนีไปต่างประเทศระยะหนึ่ง ก็ได้รับการตกรางวัลให้เป็นถึงเลขานุการรมว.มหาดไทย กระทั่งนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” แกนนำเสื้อแดง อดีตตัวตลกคาเฟ่ ก็ยังได้รับการตกรางวัลให้เป็นผู้ช่วยเลขานุการ รมช.มหาดไทย (นายฐานิสร์ เทียนทอง)
นายชาญยุทธ เฮงตระกูล อดีต ส.ส.ชลบุรี พรรคไทยรักไทย ผู้สนับสนุนกลุ่มเสื้อแดงชลบุรี ล่าสุดลงสมัครส.ส.เขต แต่สอบตก แต่ได้รับการตกรางวัลให้เป็นเลขานุการรมว.คมนาคม
นายสมบัติ รัตโน เป็นอดีต ส.ส.อุบลฯ และเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มเสื้อแดงอุบลฯ ก็ได้รับรางวัลเป็นผู้ช่วยเลขานุการรมช. คมนาคม
รวมทั้ง ตำแหน่งประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อาทิ นางไพจิตร อักษรณรงค์, นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ, นายวันชนะ เกิดดี, พ.ต.ท.เสงี่ยม สำราญรัตน์, นายรังสี เสรีชัย, นายวีระ ชูสถาน, นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ (เสื้อแดงสายอริสมันต์) และนายอรรถชัย อนันตเมฆ (ดาราแดง ที่ปัจจุบันเป็นพิธีกรเล่าข่าวภาคค่ำ ในช่อง P&P Channel ซึ่งเป็นทีวี “จอแดง” ช่องใหม่) เป็นต้น คนเหล่านี้ก็ได้ดิบได้ดีเหมือนแนวร่วมคนเสื้อแดงคนอื่นๆ เช่นเดียวกับ “โอปอ” นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด จากพิธีกรประจำเวทีเสื้อแดง ก็ยังได้ดิบได้ดีขึ้นชั้นมาเป็นถึง “รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” ที่มีสิทธิเข้าประชุม ครม.ทุกวันอังคาร
ยังไม่นับ นายศักดา นพสิทธิ์ แกนนำ นปช.ชลบุรี ที่มีส่วนสำคัญจากเหตุการณ์ ประชุมอาเซียน2552 ต้องล่มลงไป ก็ได้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับ นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ อดีตประธาน นปก.รุ่นแรก ก็ได้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
และล่าสุดกับ “พี่กี้ร์” อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ ที่หนีการจับกุมไปซุกไข่ฮุนเซนอยู่นานสองนาน ล่าสุดได้เข้ามอบตัวที่ดีเอสไอ โดยถูกแจ้ง 3 ข้อหา คือคดีก่อการร้าย คดีบุกรุกอาคารรัฐสภา และคดีปราศรัยยุยงปลุกปั่น โดยในช่วงแรกศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เหตุเป็นโทษสูง เป็นคดีร้ายแรง และหลบหนีไปนาน แต่ท้ายที่สุดเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายอริสมันต์ก็ได้รับการปล่อยตัวเป็นที่เรียบร้อย
**มหาอุทกภัย โถมกระหน่ำประเทศไทย
และที่จะลืมไม่ได้ และเชื่อแน่ว่าไม่มีใครที่จะลืมลง เพราะนี่คือเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่คนไทยทุกคนไม่อาจลืมเลือน กับวิกฤต “มหาอุทกภัย” น้ำท่วมใหญ่ปี 2554ที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างมหาศาล และสร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสให้กับประชาชน โดย “มหาอุทกภัย” ครั้งนี้ได้ครอบคลุมพื้นที่ 30 จังหวัดทั่วประเทศ มีผู้เสียชีวิต 730 ศพ สูญหาย 3 ราย และประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 4.2 ล้านคน
ไล่มาตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ สิงห์บุรี อ่างทอง ชัยนาท อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และสุดท้ายแม้ว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จะประกาศว่า “เอาอยู่” แต่น้ำก็แตก ทะลักเข้าท่วม กทม. ชั้นใน จนสร้างความโกลาหลวุ่นวายในหลายพื้นที่
อย่างไรก็ตาม มหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดของประเทศในรอบหลายสิบปีที่ยืดเยื้อเรื้อรังนานหลายเดือนนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความ “ไร้ประสิทธิภาพ” ของรัฐบาล ทั้งในการประเมินสถานการณ์และเตรียมแผนรับมือ ตลอดจนความล่าช้าในการแก้ปัญหาหลังเกิดภัยพิบัติขั้นร้ายแรง
แม้ก่อนหน้านี้ จะมีผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายออกมาคาดการณ์ล่วงหน้านานหลายเดือนแล้วว่า ปี 54 จะมีพายุหลายลูกพาดผ่านประเทศไทย ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นสัญญาณอันตรายเตือนภัยให้รัฐบาลได้ตระหนัก ตื่นตัว และกระตืนรือร้นในการเตรียมแผนป้องกันและรับมือกับ “มหาอุทกภัย” ครั้งร้ายแรงที่กำลังจะอุบัติขึ้น
แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะชะล่าใจ กระทั่งปล่อยปละละเลย เพราะมัวแต่มุ่งมั่นให้ความสำคัญแต่งานด้านการเมือง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับคนที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นพี่ชายของนายกรัฐมนตรี
กระทั่งความเป็นผู้นำของ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นว่า หายากยิ่งกว่า “ถุงทราย” วันวานประกาศรับประกันว่ารับมือกับน้ำท่วมได้แน่ “เอาอยู่ค่ะ” แต่วันต่อมากลับบอกว่าคุมสถานการณ์ไม่ได้ โดยอ้างสารพัดปัญหาทั้งพนังเก่า ชาวบ้านย่องทำลาย และ ฯลฯ
ด้วย “วุฒิภาวะ” ความเป็นผู้นำประเทศของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ที่ไม่ประสีประสาทั้งในเรื่องความรอบรู้ ประสบการณ์ชีวิต วิธีคิด และการตัดสินใจ ทำให้การแก้ไขภัยพิบัติ “มหาอุทกภัย” ครั้งใหญ่หลวงนี้ ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น และกว่ารัฐบาลจะกำหนดให้มหาอุทกภัยร้ายแรงครั้งนี้ “เป็นวาระแห่งชาติ” และจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย” (ศปภ.) สถานการณ์ก็เข้าขั้นวิกฤตหนักหนาสาหัส และหลายจังหวัดก็อยู่ในสภาพที่ “สายเกินไป” เสียแล้ว
และสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความ “ล้มเหลว” และ “ไร้ประสิทธิภาพ” ของรัฐบาลในการกู้วิกฤตครั้งนี้ ก็คือ คำสารภาพของ “นายปลอดประสพ สุรัสวดี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในฐานะประธานฝ่ายปฏิบัติการ ศปภ. ที่ออกมายอมรับตาใสว่า “คำนวณน้ำผิดพลาด” จนประชาชนได้รับความเดือดร้อนกันไปทั่ว และต้องอพยพกันโกลาหลวุ่นวาย
นอกจากนี้ ด้วยความไร้ความสามารถในการกอบกู้วิกฤตน้ำท่วมของรัฐบาล จึงทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาประชาชนพังคันกั้นน้ำในหลายพื้นที่ หรืออย่างกรณีม็อบชาวบ้านพังประตูระบายน้ำคลองสามวา หรือปัญหาการนำ “บิ๊กแบ็ก” หรือ "กระสอบทรายยักษ์" ไปกั้นน้ำ จนทำให้ชาวบ้านที่อยู่นอกแนวบิ๊กแบ็กต้องจมอยู่กับน้ำเน่าอยู่เป็นเวลายาวนาน ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
แต่ที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือ ในสถานการณ์ที่ประเทศชาติกำลังเผชิญภัยพิบัติน้ำท่วมหนัก กลับมีกลุ่มบุคคล และ “นักการเมือง” ที่มีพฤติกรรมไม่ต่างจาก “เหลือบน้ำท่วม” คอยสูบกินของบริจาคผู้ประสบภัย เบียดบังเอาไปแอบอ้างเป็นชื่อของตัวเองอย่างหน้าด้านๆโดยไม่มีแม้จิตสำนึกที่เห็นใจชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนแต่อย่างใด
แต่อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางวิกฤตอุทกภัยที่เลวร้าย ยังมี “ทหาร” ที่คอยให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้เดือดร้อนทุกวัน จนกลายเป็นขวัญใจของประชาชนทุกคน ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ตอกย้ำภาพของ "ทหารรับใช้ประชาชน" ได้อย่างเด่นชัด แม้คนเสื้อแดงที่ยังหน้ามืดตามัวจะเกลียดชังและสาปแช่งด่าทอขนาดไหน แต่ทหารที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมก็ไม่เคยโกรธเคือง หรือตอบโต้ใดๆ นั่นเพราะทหารไม่เคยแบ่งแยกว่าประชาชนสีอะไร ขอให้เป็นประชาชนคนไทย พวกเขาพร้อมใจช่วยเหลือทุกคน
**2554 ปี “คันหู”
และปิดท้ายกับปรากฏการณ์ “คันหู” เพลงดังจากคลิปในเว็บไซต์ยูทูบของ “น้องจ๊ะ คันหู” วงเทอร์โบ นักร้องสาวที่เต้นท่า “คันหู” สุดเอ๊กซ์ จนทำให้มียอดผู้เข้าชมเป็นจำนวนมากและสร้างความฮือฮาไปทั้งประเทศ
ทั้งนี้ “คันหู” เป็นปรากฏการณ์ที่โด่งดังอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ต หลังจากที่ นายจิรภัทร คูหาพัฒนกุล หรือ ไผ่ หัวหน้าวงเทอร์โบนำคลิปวิดีโอเพลงคันหูที่ นงผณี มหาดไทย หรือ จ๊ะ นักร้องสาววัย 20 ปีของวงเทอร์โบ ร้องและวาดลวดลายเอาไว้มาโพสต์ลงในเว็บไซต์ยูทูบเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อโฆษณาวงเทอร์โบของเขา โดยมีการใส่เบอร์โทรศัพท์เพื่อติดต่อเอาไว้ ซึ่งผลลัพธ์ของการประชาสัมพันธ์ดังกล่าวแรงเกินกว่าที่ไผ่ได้คาดคิดเอาไว้ เพราะคลิปวิดีโอดังกล่าวมีผู้คลิกเข้าไปเยี่ยมชมเป็นจำนวนเกือบ “สิบล้านครั้ง” ขณะเดียวกันก็มีผู้ “กดไลค์” ในเฟซบุ๊คของจ๊ะนับแสน และถูกบอกต่อกันจนกลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
ปรากฏการณ์ “คันหู” โด่งดังจนเลยออกมาจากโลกอินเทอร์เน็ต จ๊ะถูกเชิญให้ไปออกรายการ “เช้าข่าวข้นคนข่าวเช้า” ในช่วงตอมแมลงวัน เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในฐานะนักร้องนักเอนเตอร์เทนต์ที่มีคนให้ความสนใจสูง ซึ่งการมายืนให้สัมภาษณ์ในรายการนี้ต่างไปจากการมานั่งให้พิพากษาในรายการ “วู้ดดี้เกิดมาคุย” แบบฟ้ากับเหว เพราะการให้สัมภาษณ์ในรายการดังกล่าวพิธีกรซึ่งเป็นนักข่าวทั้งสามได้ให้เกียรติและพูดคุยกับจ๊ะอย่างสุภาพถึงที่มาที่ไปของการแสดงเพลงคันหูของเธอ
นอกจากนี้ ปรากฏการณ์คันหูยังถูกนำไปตัดต่อกับมิวสิกวิดีโอของนักร้องเกาหลีเพื่อเรียกเสียงฮาอยู่ในเว็บไซต์ยูทูบ ถูกนำไปแปลงเป็นเพลงแปลงในชื่อ “คันหู(ปูก็คัน)” ซึ่งเขียนล้อเลียนการเมือง โดยศิลปิน “โฟล์คเหน่อ” ซึ่งถูกปล่อยให้ชมและฟังอยู่ในยูทูบเช่นกัน และในการแสดงเดี่ยวไมโครโฟนครั้งที่ 9 ที่ผ่านไปของ “โน้ส อุดม แต้พานิช” เขาก็ยังนำคันหูไปเป็นหนึ่งในมุกการแสดงเพื่อเรียกเสียงฮาอีกด้วย
หลังจากที่โด่งดังเปรี้ยงปร้าง “จ๊ะ คันหู” ยังได้รับการทาบทามให้มีอัลบั้มเป็นของตัวเองอย่างจริงจัง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการบันทึกเสียงซึ่งคาดว่าอีกไม่นานก็คงจะได้ยินได้ฟังบทเพลงของเธออย่างแน่นอน
กระทั่งล่าสุด สื่อชื่อดังต่างประเทศนำเสนอเรื่องราวของ "จ๊ะ คันหู" หญิงสาวผู้เป็นประเด็นร้อนแห่งปีของไทย ผู้กลบกระแสความแตกแยกทางการเมืองและการประท้วงบนท้องถนนได้ชะงัด โดยรูปของเธอปรากฎตามหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ รายการโทรทัศน์หลายรายการเชิญเธอไปให้สัมภาษณ์ ขณะที่คิวการแสดงของเธอในปี 2012 ก็ถูกจองจนเต็มหมดแล้ว!
งานนี้ถ้าไม่เรียก 2554 ว่าเป็น “ปีคันหู” ก็ไม่รู้จะเรียกเป็นปีอะไร... “อุ๊ย! คันหู”