สร้างกระแส... ดาราหลายคนอยู่ได้เพราะคำคำนี้ แต่สำหรับนางเอกสาวดาวรุ่งอย่าง “มารี เบรินเนอร์” เธอไม่จำเป็นต้องสร้างก็มีกระแสแรงแซงทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ได้สบายๆ แล้ว ถึงแม้ว่าช่วงแรกๆ จะเกิดจากคำวิจารณ์ด้านลบๆ เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใช้เสียงสูงเกินพอดีจนหลายคนบ่นแสบแก้วหู อาการพูดเหน่อชวนให้ผู้ชมหมดอารมณ์ร่วมไปกับการแสดงของเธอ
หรือแม้กระทั่งเรื่องถูกจับให้มาประกบหนุ่มสุดฮอตอย่าง “บอย-ปกรณ์” ถึงสองครั้งซ้อน จนจุดชนวนให้แฟนคลับคู่ขวัญบอย-มาร์กี้ได้หมั่นไส้เพิ่มขึ้นไปอีก แต่ท้ายที่สุดเธอก็สามารถเอาชนะใจหลายๆ คนได้ด้วยนิสัยน่ารัก ติดดิน จริงใจ ไม่เสแสร้ง รวมไปถึงอีกหลากหลายแง่มุมที่จะยิ่งทำให้ตกหลุมรักเธอจนถอนตัวไม่ขึ้นจากบทสัมภาษณ์นี้
พนันได้ว่าไม่เคยเห็นใคร “ยิ้ม” แล้วโลกสดใสได้ขนาดนี้มาก่อน ถึงจะเทียบกับคนวัย 20 ด้วยกัน เชื่อว่าเธอก็ยังครองอันดับหนึ่งความน่ารักสดใสไว้ได้อยู่ดี บอกได้เลยว่าตัวตนที่ได้เห็นในวันนี้ช่างขัดกับภาพ “มารี เบรินเนอร์” จากละครเรื่อง “สามหนุ่มเนื้อทอง” และรายการทอล์กโชว์หลายๆ แห่งที่มักมอบบุคลิกของคนพูดน้อยและขี้อายให้เธอ ทั้งที่ความจริงแล้วมารีเป็นคนคุยสนุกใช้ได้คนหนึ่งเลยทีเดียว
ทุกเรื่องที่บอกเล่าออกมาจากปากของเธอช่วยเรียกเสียงหัวเราะให้คู่สนทนาได้เสมอ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่เล่าสนุกน่าติดตาม ก็คงเป็นเพราะท่าทางเด็กๆ และบุคลิกเป็นกันเองของเธอนั่นแหละที่น่าเอ็นดูจนอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้ แม้กระทั่งประเด็นเครียดๆ ที่อาจสร้างกำแพงในการสนทนาหากพูดคุยกับคนอื่น แต่เมื่อพูดกับมารี มันกลับกลายเป็นเรื่องเบาๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
โดนด่าจนจุก
ว่ากันด้วยประเด็นแรงๆ อย่างกระแสตอบรับจากละครเรื่อง “สามหนุ่มเนื้อทอง” ละครเรื่องแรกในชีวิตของเธอกันก่อน ถ้าได้ติดตามกระแสวิจารณ์บนโลกอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะเว็บไซต์แสดงความคิดเห็นยอดนิยมอย่างพันทิปจะรู้ว่าทันทีที่หน้าของมารีปรากฏบนจอโทรทัศน์พร้อมกับการแสดงที่หลายคนไม่คุ้นเคย ก็ทำเอากระทู้ว่ากล่าวและด่าทอจำนวนมากผุดขึ้นมาจนน่าตกใจ แค่เพียงเกริ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ฟังคร่าวๆ ผู้เสียหายก็เริ่มยิ้มมุมปากให้เห็น บ่งบอกว่าตัวเธอเองไม่ได้ตกข่าวแต่อย่างใด
“เข้าไปเช็กอยู่เหมือนกันค่ะ ตอนแรกๆ อยากรู้มากว่าคนดูเขาจะคิดกับเรายังไง เลยเข้าไปดูในพันทิป พออ่านปั๊บ (ทำท่าสะอึก) โอ้โห! พูดกันแรงมาก เจ็บมาก (เน้นเสียง) บอกว่ารำคาญฝ้ายกันเยอะมากๆ กระทู้หนึ่งใช้คำว่ารำคาญเป็นพันรอบได้มั้ง (หัวเราะเนือยๆ) แต่เราก็อ่านไปเรื่อยๆ นะ อันไหนคิดว่ามันจริง คิดว่าต้องแก้ ก็รับฟังค่ะ”
โดยเฉพาะเรื่องโทนเสียงที่ใช้ในฉากเวลาต้องวีน เหวี่ยง และโวยวาย ผู้ชมหลายคนร่วมกันแสดงความคิดเห็นตอกย้ำความรู้สึกว่าเสียงของเธอมันช่างแสบแก้วหูจนเกินจะรับไหว เป็นเหตุให้ทนดูมารีแสดงไม่ได้อีกต่อไป ถึงขั้นต้องกดรีโมตหนีกันเลยทีเดียว ได้ยินอย่างนี้คนถูกว่าก็ยังคงยิ้มรับเหมือนเดิม แต่เริ่มเม้มปากนิดๆ คล้ายต้องการเก็บความรู้สึกน้อยใจเอาไว้ จากนั้นจึงเปิดใจพูดความรู้สึกของตัวเองออกมา
“ที่เขาพูดกันมันก็จริงค่ะ มันไม่ใช่เรื่องที่เราต้องมานั่งปกป้องตัวเองว่าไม่จริงนะ เพียงแต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเราเลือกไม่ได้ เสียงมันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด (เสียงอ่อยลง) นี่ก็พยายามปรับแล้วนะ ไปเรียนร้องเพลง ควบคุมโทนเสียงมาแล้วด้วย แต่มันก็ยังแก้ไม่ค่อยได้เท่าไหร่เลย ก็คงช่วยไม่ได้แล้วล่ะมั้ง (ยิ้มปลอบใจตัวเอง) ช่วงหลังๆ เวลาต้องแสดงฉากอารมณ์อีกจะพยายามกดเสียงลงค่ะ พยายามปรับจากการตะโกนเป็นใช้เสียงพูดแบบมั่นคงแทน คืออาจจะพูดด้วยอารมณ์โกรธเหมือนเดิม แต่ไม่ต้องเพิ่มเลเวลเสียงมาก” เธอกำลังพูดถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะได้เห็นในละครเรื่อง “แววมยุรา” ละครเรื่องถัดไปของเธอ
ลองมาคิดๆ ดูแล้ว “ฝ้าย” หรือ “สุพรรณิการ์” ตัวละครเปิดซิงการแสดงของเธอ น่าจะมีส่วนอยู่ไม่น้อยที่ทำให้หลายคนรู้สึกไม่ชอบหน้ามารี ย้อนกลับไปขณะที่ “สามหนุ่มเนื้อทอง” ดำเนินมาถึงกลางๆ เรื่อง จะเห็นว่ากระแสต่อต้านมารียิ่งหนักมากขึ้นอีก หากเคยตามอ่านคอมเมนต์ในช่วงนั้นจะรู้ว่าคนดูจำนวนมากไม่ชอบใจในพฤติกรรมของฝ้ายซึ่งเข้าไปเป็นมือที่สาม ทำให้ความสัมพันธ์ของพระเอกกับคนรักเก่าขาดสะบั้นลงอย่างหน้าตาเฉย จึงพานรู้สึกไม่ดีต่อมารีไปด้วย หากมองในแง่ดีนั่นหมายความว่าเธอสามารถแสดงให้คนดูอินได้จนมองตัวมารีซ้อนทับกับฝ้าย แต่ถ้าเลือกได้ มารีอยากให้เข้าใจตัวตนจริงๆ ของเธอมากกว่า
“ถ้าเกิดเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นก็คงระวังตัวมากๆ ค่ะ คือโอเค ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้ แต่การกระทำมันห้ามกันได้ เราอาจจะพูดคุยกับผู้ชายตรงๆ ว่ารู้สึกยังไงกัน ถ้าเขาคิดที่จะมาคบกับเรา เขาก็ต้องจัดการกับชีวิตตัวเองให้ได้ก่อน ให้เขาเลือกด้วยตัวเอง เราคงไม่ไปบังคับอะไรเขา ถ้าเป็นมารี เราคงไม่เข้าไปยุ่งกับผู้ชายที่เขามีแฟนแล้วหรอกค่ะ ให้เขาจบเรื่องของเขาก่อนค่อยว่ากัน”
จะว่าไปแล้วเธอคงรู้สึกช็อกไม่น้อยที่ถูกฟีดแบ็กลบๆ กระหน่ำซ้ำเติมเกินคาดตั้งแต่ละครเรื่องแรกแบบนี้ ถามว่ารู้สึกท้อใจบ้างไหม มารีตอบด้วยเสียงเนิบๆ แนบยิ้มบางๆ ว่า “ไม่ถึงกับท้อค่ะ แค่น้อยใจเฉยๆ” เธอเข้าใจดีว่าการแสดงของตัวเองยังดูไม่เข้าที่เข้าทางเท่าใดนักในฉากแรกๆ แต่หลังจากนั้นมารีก็พยายามเต็มที่ จนแอบรู้สึกภูมิใจกับการแสดงของตัวเองในบางฉากเวลาดูซีนนั้นที่จอมอนิเตอร์อีกรอบ ก็ได้แต่หวังว่าคนดูที่เคยติจะเปลี่ยนมารู้สึกเหมือนกันบ้าง
“แรกๆ แอบน้อยใจเหมือนกันนะ ตอนที่ฝ้ายเปลี่ยนลุคจากห้าวๆ เป็นสาวเปรี้ยว มีแต่คนชมว่าสวย แต่ไม่มีใครชมว่าเล่นเก่งขึ้นหรือเล่นแล้วเหมาะ ไม่มีเลย มีแต่ชมว่าสวย (เม้มปาก) เลยแอบน้อยใจว่าคนเขาคิดกับเราแค่นั้นเองเหรอ แต่พอดูไปเรื่อยๆ หลังละครจบไป ช่วงหลังๆ นี้กระแสบวกๆ ถึงเริ่มมาค่ะ (แววตาสดชื่น) เห็นเขาเมนต์ว่าเราพัฒนาได้ดี เรื่องแรกเล่นได้เท่านี้ก็โอเคแล้ว ที่ประทับใจมากๆ คือคนที่บอกว่าก่อนหน้านี้เขาเคยด่าเราไว้เยอะมาก แต่ตอนนี้รักแล้ว ดีใจมากเลยค่ะ มันเหมือนเราเอาชนะใจเขาได้” เธอยิ้มสดใสตบท้ายอย่างกับเด็กน้อยได้ขนมหวานเป็นของขวัญอย่างไรอย่างนั้น
เข้าคอร์สแก้เหน่อ
“เสียงเหน่อ” คืออุปสรรคอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้คนดูอินไปกับการแสดงของเธอได้ไม่สุดเท่าที่ควร คิดดูว่ากำลังอยู่ในอารมณ์เศร้า จู่ๆ นางเอกเกิดผุดสำเนียงเหน่อขึ้นมา แทนที่คนดูจะน้ำตาคลอไปตาม กลับเปลี่ยนเป็นหลุดขำโดยปริยาย โชคยังดีที่คนส่วนใหญ่มองเอกลักษณ์เฉพาะตัวข้อนี้ของเธอไปในทางน่ารักเอ็นดูมากกว่า จึงมีบางส่วนเท่านั้นที่หยิบมาเป็นข้อตำหนิติเตียน แต่ถึงอย่างนั้นมารีก็ยังไม่เลิกหนักใจกับเสียงเพี้ยนๆ ของตัวเองจนถึงขั้นเทกคอร์สแก้เหน่อกันเลยทีเดียว
“ไปเรียนร้องเพลงมาค่ะ เห็นเขาบอกว่าน่าจะช่วยให้ควบคุมเสียงได้ดีขึ้น แต่พอลองตะเบ็งเสียงอีก มันก็สูงปรี๊ดขึ้นมาแล้วก็เหน่ออีกเหมือนเดิม แก้ไม่หายซะทีค่ะ ครูสอนร้องเพลงยังไม่รู้เลยว่าจะแก้ยังไง” มารีสรุปผลความพยายามให้ฟังด้วยสีหน้าปลงตกแล้วเงียบไปพักหนึ่งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาด้วยสีหน้าสงสัย “แปลกมากนะ จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้เวลาพูดปกติ ไม่เคยมีใครทักว่าพูดเหน่อเลยนะ... ตอนนี้พี่รู้สึกว่าหนูเหน่อไหมคะ” มารีหันมาถามเพื่อย้ำความมั่นใจ เมื่อสองฝ่ายเห็นตรงกัน เธอก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วพูดต่อ
“นั่นสิ เพื่อนหนู เพื่อนคนไทยน่ะค่ะ ยังพูดเลยว่าปกติก็ไม่เห็นจะเหน่อ ทำไมพอเล่นละครแล้วถึงเป็นล่ะ เหมือนพอเราไปพูดในคำที่ปกติเราไม่ได้พูด มันเลยตั้งใจเกินไปจนเพี้ยนมั้งคะ เกี่ยวป่ะ (หัวเราะ) หรืออาจจะเพราะพูดภาษาอังกฤษจนชิน พอพูดภาษาไทยเลยกลายเป็นเอาโทนภาษาอังกฤษมาใส่ภาษาไทยหรือเปล่าไม่รู้ เอ!...แต่ทุกวันนี้ก็คุยภาษาไทยเยอะมากนะ อยู่บ้านมีพูดอังกฤษ เยอรมัน แล้วก็ไทยสลับกันบ้าง แต่หลังๆ พูดไทยเป็นหลักเลย จะพูดอังกฤษก็เฉพาะในชั่วโมงเรียนนู่นแหละค่ะ เพราะเรียนอินเตอร์” เธอหมายถึงหลักสูตรภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ ซึ่งกำลังศึกษาอยู่
เคยได้ยินเพื่อนนักแสดงพูดถึงมารีว่าเวลาอยู่ในกองพูดน้อยมาก หลายคนตีความไปว่าเป็นเพราะอาการเหน่อของเธอ ทำให้เจ้าตัวอายจนไม่กล้าพูดบ่อยๆ แต่จริงๆ แล้วมารีไม่เคยกังวลเรื่องนี้เลย “ไม่เกี่ยวนะ เหน่อก็เหน่อไป” เธอบอกอย่างนั้น เพราะเหตุผลจริงๆ มันมีอยู่แค่นี้เอง
“ก็เวลาทำงาน เขาให้ตื่นเช้าค่ะ มารีตื่นเช้าแล้วจะงัวเงีย (ทำตาปรือประกอบ) ก็เลยไม่ค่อยอยากพูดกับใคร แล้วส่วนมากระหว่างฉากจะเปลี่ยนชุด ไม่ก็ทำผม แล้วเราเป็นคนอ่านบทระหว่างฉากด้วย เลยจะไม่คุยกับคนอื่น แต่บางทีก็ไม่กล้าคุยด้วยแหละ รู้สึกว่าเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นน่ะค่ะ ที่พอคุยได้อยู่ก็มีพี่บอย (ปกรณ์) แล้วก็คิม(เบอลี่) คนอื่นไม่ค่อยได้เข้าฉากด้วยกัน พอเจอกันเลยไม่จะคุยอะไรดี เป็นอย่างนั้นมากกว่าค่ะ”
ดูเหมือนว่ามารีจะมีนิสัยขี้อายติดตัวอยู่นิดๆ ผู้สัมภาษณ์จึงตีความไปว่าเธอน่าจะเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ มารีกวาดตานึกย้อนกลับไปสมัยนั้นแล้วเริ่มเล่าให้ฟัง “ก็ขี้อายเหมือนกันค่ะ แต่เป็นบางเวลา (ยิ้ม) ตอนเด็กๆ จะเงียบๆ ไม่ค่อยทำกิจกรรมของโรงเรียนเท่าไหร่ แต่พอนอกห้องเรียนปุ๊บ จะมีอาการอยากทำนู่นทำนี่ตลอด มีเรียนดนตรี ขี่ม้า เตะบอล เล่นโรเลอร์เบต ฮอกกี้ ไอซ์สเกต (เริ่มนับนิ้วดู) เยอะมากค่ะ แต่ก็เรียนแป๊บเดียวแล้วก็เลิกทุกอย่างเพราะเป็นคนเบื่อง่าย (หัวเราะเบาๆ ให้ตัวเอง) เหมือนพอเริ่มทำอะไรประจำก็จะเริ่มเบื่อละ ทำได้สักพักก็ต้องหยุด”
แล้วจะเบื่องานแสดงไหมเนี่ย? เชื่อว่าคนที่หลงรักมารีแล้วคงชักหวั่นๆ เหมือนกัน คนถูกถามยิ้มขี้เล่นๆ แล้วให้คำตอบ “ยัง (ลากเสียง) แต่ไม่รับประกันว่าจะไม่มีวันเบื่อนะ (หัวเราะ) จริงๆ แล้วตอนนี้เพิ่งเริ่มจะสนุกกับมันเองค่ะ ก่อนหน้านี้เรายังไม่ชินกับมันเท่าไหร่ เลยอาจจะทำให้รู้สึกเหนื่อยหรือว่าท้อบ้าง แต่ตอนนี้ก็โอเคแล้วค่ะ เริ่มเข้าที่ เริ่มชินกับการต้องตื่นเช้า อ่านบท ท่องบท เริ่มสนุก เริ่มอยากทำแล้ว (แววตาเป็นประกาย) เริ่มตื่นเต้น เวลามีงานใหม่ๆ เข้ามาก็รู้สึกอยากลองไปหมด”
อยากเป็นเรยา!
บทร้ายคือหนึ่งในความอยากเหล่านั้นที่เธอพูดถึง ถ้าเลือกได้มารีอยากรับเล่นเป็นตัวละครที่มีหลายมิติ มีทั้งดีและร้ายอยู่ในคนเดียวกัน ถ้าเป็นนางเอก ก็อยากเป็นนางเอกร้ายๆ หรือถ้าจะให้เล่นเป็นนางร้ายเต็มตัวไปเลย เธอก็ไม่หวั่นเหมือนกัน
“อยากเล่นเป็นตัวที่ไม่ต้องดีมากค่ะ เพราะถ้าดีเกินมันไม่เหมือนจริงเท่าไหร่ อาจจะเป็นนางเอกที่ร้ายหน่อย เป็นคนที่ไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่ใช่ตัวที่คนดูดูแล้วเกลียดไปเลย อยากให้มีดีบ้างร้ายบ้างปนๆ กัน หรือจะให้เล่นเป็นนางร้ายก็ได้นะ บทร้ายโยนมาเลย (สีหน้าไม่ยินดียินร้ายจริงๆ) มารีว่าเล่นร้ายมันก็ดีออก มันจินตนาการได้เยอะกว่าบทนางเอกอีกนะ จะร้ายแบบนิ่งหรือแบบโวยวาย มีให้เลือกหลายแบบดีค่ะ”
เผื่อยังนึกไม่ออกว่ามารีชอบร้ายแบบไหน เธอจึงลองยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ อีกทีหนึ่ง “ชอบดูดอกส้มสีทองมาก (เน้นเสียง) ชอบพี่ชมพู่ (อารยา) มากด้วยค่ะ พี่เขาแสดงเก่งมากๆ แสดงได้แบบไม่ห่วงสวยเลย แต่เขาสวยนะ (ยิ้ม) แล้วตัวจริงเขาก็น่ารัก แต่งตัวก็น่ารัก ปลื้มค่ะ” หน้าตามารีแสดงออกอย่างชัดเจนว่ารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
คงไม่ต่างจากเรื่องความรักที่เธอมองว่ามันควรจะมีทั้งขาวและดำปะปนกันไป ไม่ได้มีแค่สีชมพูอย่างในเทพนิยายเพียงอย่างเดียว เมื่อให้เปรียบเทียบระหว่างสามหนุ่มเนื้อทองด้วยกัน มารีจึงขอเลือกคนที่พอดีที่สุด “คงเลือกแบบคุณวัชระที่พี่บอยแสดงค่ะ ดูเซอร์ๆ ดี มีทั้งดีทั้งร้าย ให้ความรู้สึกว่าเขาเป็นคนจริงๆ มากที่สุด เพราะกริชชัยก็ดูเป็นผู้ชายที่ดีมากเกินไป ดูไม่มีอยู่ในความจริง อย่างธีธัชก็... (ถอนหายใจให้กับความเจ้าชู้ของตัวละครนี้) เป็นแฟนกับคนแบบนั้นน่าจะเหนื่อยค่ะ ต้องกังวลตลอดเวลา ไม่เอาดีกว่า”
แต่ถ้าให้จำกัดความผู้ชายที่ตรงสเปกจริงๆ มารีไม่ขออะไรมาก “แค่เข้าใจเราก็พอค่ะ ดูที่นิสัยก่อน ถ้าจูนกันได้มันก็คือได้ ไม่ค่อยมีสเปกมากำหนดเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเด็ก จะผู้ใหญ่ ถ้าพอดีกับเรา มันก็โอเคค่ะ อธิบายไม่ถูก เอาเป็นว่าถ้ามันไม่ใช่ก็ไม่ใช่น่ะค่ะ ถ้าใช่มันก็ใช่” ดูก็รู้ว่าเธอเป็นคนง่ายๆ สบายๆ จริงๆ
“เราเป็นคนเฟรนด์ลี เราเป็นคนนิสัยดี เป็นคนน่ารักค่ะ (ทำหน้าทะเล้น)” ว่าแล้วมารีก็จำกัดความตัวเองเสียเลย เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดว่าที่นึกอยากเล่นร้ายเป็นเพราะตัวจริงแอบร้ายอยู่ลึกๆ “อาจจะมีเอาแต่ใจบ้าง ถ้าไม่พอใจอะไรจะแสดงออกมาทางสายตาหมดเลย แต่ไม่ค่อยไม่พอใจหรอก (ยิ้ม)” จริงๆ แล้วมารีไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก ก็พอจะรับรู้ได้ตลอดบทสนทนาอยู่แล้วว่าเธอเป็นอย่างที่พูดจริงๆ... น่ารัก ติดดิน ยิ้มง่าย และขี้เล่น คือตัวตนทั้งหมดที่สัมผัสได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องปรุงแต่ง
“มารีชอบเดินตลาดค่ะ ชอบไปจตุจักร ไปตลาดรถไฟ ชอบไปเดินซื้อเสื้อผ้าแล้วก็เคยไปขายของด้วยนะ เคยไปขายเสื้อผ้ามือสองกับเพื่อนที่ตลาดรถไฟค่ะ ไปบ่อยเหมือนกัน แต่หลังๆ ไม่ค่อยเหลืออะไรให้ขายแล้ว ขายไปหมดแล้ว (หัวเราะ) แต่ยังชอบแวะไปอยู่ถ้าว่างๆ ชอบไปกินมันเกลียวที่นั่นค่ะ พี่ลองไปดูสิ ของเยอะมากเลยนะ อยู่ด้านหลังเจเจ แนะนำๆ” ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเธอจึงเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจใครหลายๆ คนเรียบร้อยแล้ว
แมนๆ แบบพี่ชาย
ที่เห็นว่าเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ได้แบบนี้ เป็นเพราะเธอถูกเลี้ยงมาแบบเด็กผู้ชายนั่นเอง โดยเฉพาะตอนเด็กๆ ที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่คลุกคลีอยู่กับพี่ชาย จึงทำให้มารีมีนิสัยค่อนไปทางผู้ชายอยู่มาก ลุยถึงขั้นที่ว่ากระดูกแตกยังไม่เข็ด ยังพร้อมจะซนได้อีกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“เคยตกม้าจนกระดูกแตกเลยค่ะ ต้องเข้าเฝือก เดินไม่ได้อยู่นานเหมือนกัน แต่พอหายก็ไปขี่อีก ไม่เข็ด (ยิ้ม) ชอบทำนู่นทำนี่ตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ เห็นพี่ชายทำแล้วรู้สึกว่ามันเท่ดี เลยชอบทำตามเขาตลอด เห็นพี่เล่นโรลเลอร์เบตก็เล่นบ้าง เขาเล่นไอซ์ฮอกกี้ เราก็เล่นตาม เตะบอลก็เคย มีช่วงหนึ่งเล่นทัชรักบี้ด้วย เป็นรักบี้เวอร์ชันผู้หญิง จะเบากว่าผู้ชายหน่อย ไม่ค่อยมีกระโดดชนกันเท่าไหร่ แล้วก็ชอบเล่นแทมโพลีน (เตียงกระโดด) มากๆ ด้วยค่ะ ขึ้นไปกระโดดดึ๋งๆ ได้ทั้งวันเลย” เธอเล่าไปยิ้มไป
ถามว่าสนิทกับพี่ชายมากขนาดไหน มารีลากเสียงให้รู้ว่า “มาก” จริงๆ ถือว่าเป็นไอดอลตั้งแต่ตอนเด็กๆ เลยก็ว่าได้ “ทำตามเขาทุกอย่างเลยค่ะ อยากเหมือนพี่ชายมาก เขาเล่นกีตาร์ไฟฟ้า เราก็อยากเล่น เลยซื้อมาเล่นบ้าง ซื้อด้วยตัวเองเลยนะ จำได้เลย ตอนนั้นอยากได้มากแต่พ่อไม่ยอมซื้อให้ ก็เลยเก็บเงินเองจากค่าขนมนี่แหละค่ะ ทั้งที่ตอนเด็กๆ ได้ตังค์น้อยมากเลยนะ วันละไม่ถึงร้อย แต่ก็เก็บได้ อีกครึ่งหนึ่งค่อยให้พ่อออกให้ ได้มาก็ตื๊อให้พี่สอน แต่เล่นได้แป๊บหนึ่งก็เลิกเหมือนเดิม”
ด้วยความที่เด็กมาก ยังแยกความแตกต่างระหว่างหญิงและชายไม่ออก มารีจึงเดินตามรอยพี่ชายมาตลอดแม้กระทั่งเรื่องตัดผม “คิดดูว่าขนาดผมเรายังตัดตามพี่ชายเลย (อมยิ้ม) ตอนนั้นประมาณ 6-7 ขวบ เห็นพี่เขาตัดผมสั้นเป็นทรงหัวเห็ด ทรงผู้ชายเลย เราก็ยังตัดตาม แม่เขาตัดให้พี่ไงคะ เราก็บอกให้แม่ตัดทรงเดียวกันนั่นแหละ บอกเอาทรงเหมือนพี่ชาย เลยแอบมีช่วงที่ห้าวๆ แมนๆ เหมือนกันเพราะไปเลียนแบบพี่” ดูเหมือนคนเล่าจะนึกเรื่องสนุกๆ ได้เพิ่มขึ้นอีกเรื่องแล้ว
“พูดถึงเรื่องผมนี่ มีที่ขำๆ เยอะมาก มีช่วงหนึ่งเห็นเพื่อนผู้หญิงไว้ผมหน้าม้า เราเข้าใจผิดไปว่าผมม้าคือผมที่มีมาตั้งแต่เกิด ประมาณว่าบางคนมี บางคนไม่มี พอเห็นเพื่อนผมยาวเท่ากันทั้งหัว แล้วตอนนั้นเราผมม้า อยากผมยาวเท่ากันเหมือนคนอื่นบ้าง ก็เลยจับผมม้าตัวเองทั้งจุกตัดออกหมดเลย (หัวเราะ) คิดว่าตัดออกแล้วผมเราจะเท่ากันเหมือนคนอื่น แต่มันกลายเป็นผมชี้ๆ สั้นๆ ทั้งจุกนั้นเลย ตลกมาก เป็นเด็กที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องอะไรเลย” เธอส่ายหน้าเบาๆ ให้กับความเปิ่นในวัยเด็ก
ตอนเด็กๆ ฮอตไหม? ผู้สัมภาษณ์อดสงสัยไม่ได้ มารีหัวเราะหึๆ ในลำคอก่อนบอกความลับ “ไม่อยากจะบอก ตอนเด็กๆ เป็นอะไรที่ตรงข้ามกับคำว่าฮอตเลย ทาขอบตาล่างดำ หัวผูกจุกตรงนี้ (จับผมหน้าทั้งหมดมัดขึ้น) แล้วก็ใส่รองเท้าวิ่งตลอด (หัวเราะ) ตอนนั้นแต่งตัวไม่เป็นเลยแหละ แล้วยังคิดว่าตัวเองดูดีด้วยนะ แถมยังโดนล้อว่าดำตลอดเลยค่ะ เพราะตอนเด็กๆ ดำกว่านี้อีก นี่ก็ดำแล้วนะ (ยิ้ม) ตอนเด็กๆ มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อส้ม ผิวคล้ำกว่าเราอีก พอเดินไปไหนด้วยกัน เลยมีชื่อเรียกเฉพาะค่ะ เขาดำกว่าเรา ให้เขาเป็น “พี่ดำ” เราดำน้อยก็กว่าเป็น “น้องดำ” (หัวเราะเบาๆ)” เห็นความน่ารักของเธอตอนนี้แล้วนึกภาพไม่ออกจริงๆ
East meets West
พอโตขึ้นมาหน่อยมารีก็เริ่มติดคุณพ่อคุณแม่มากกว่าพี่ชาย เพราะพี่ตัดสินใจอยู่ที่เยอรมันจนถึงปัจจุบัน ส่วนเธอก็ต้องย้ายตามคุณพ่อซึ่งเป็นทูตวัฒนธรรมประจำประเทศเยอรมนีในขณะนั้นไปอีกหลายประเทศ ทั้งนิวซีแลนด์ อเมริกา ศรีลังกา จนมาถูกใจประเทศไทยและตัดสินใจตั้งรกรากอยู่บ้านเราจนถึงทุกวันนี้ “อยู่ที่นี่สบายทุกอย่าง ประเทศไทยเราน่าอยู่สุดแล้วนะมารีว่า” เธอบอกเหตุผล
ถึงแม้ชีพจรจะไม่ลงเท้าบ่อยๆ เท่าตอนเด็กๆ แต่มารีก็ยังรักการเดินทางเหมือนเดิม “คุณพ่อเป็นคนชอบเที่ยวค่ะ มารีน่าจะได้ตรงนี้จากพ่อนะ เวลาอยู่ด้วยกันจะชอบคุยกันว่าจะไปเที่ยวไหนดี ชวนกันออกข้างนอกตลอด (ยิ้ม)” แต่ถ้าเป็นนิสัยส่วนที่ได้จากคุณแม่ “น่าจะเป็นนิสัยชอบอยู่คนเดียวค่ะ ถ้าอยู่ว่างๆ แม่จะชอบอ่านหนังสือ แต่เราไม่ชอบอ่านเท่าไหร่ ชอบดูซีรีส์มากกว่า นั่งดูได้ทั้งวันเลย เวลาอยู่กับแม่ จะชอบช่วยแม่ทำกับข้าวค่ะ แค่ช่วยเฉยๆ นะ ทำไม่ค่อยได้หรอกค่ะ เขาสั่งอะไรก็ทำ ช่วยหั่นนู่นหั่นนี่ ช่วยปอกเปลือกได้ แต่เนื้อมันจะชอบหายไปครึ่งหนึ่งตอนทำเสร็จนะ” หยอดมุกแบบนี้ เล่นเอาหัวเราะตามแทบไม่ทัน
เธอทำอาหารได้ทุกแนวทั้งสัญชาติตะวันตกอย่างพาสต้า พิซซ่า หรือแซบๆ แบบไทยๆ อย่างแกงส้ม ส้มตำก็ผ่านมือมาหมดแล้ว โดยเฉพาะส้มตำปูที่ชอบกินเป็นพิเศษ มารีฝันไว้ว่าวันหนึ่งเธออยากเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง “ไม่ได้ชอบทำนะ แต่ชอบกิน (ยิ้มซนๆ) คิดว่าถ้ามีร้านของตัวเองน่าจะดีค่ะ จะไปกินฟรีเมื่อไหร่ก็ได้” เชื่อแล้วว่าเธอชอบกินจริงๆ เพราะในขณะที่คุยกันอยู่ คนพูดก็หยิบผลไม้กินไปด้วยอย่างเพลิดเพลิน แถมยังชวนทีมงานกินเป็นระยะๆ มองดูความสดใสน่ารักของเธอแล้วทำให้นึกถึงคำว่า “East meets West” ขึ้นมาทันที เพราะมารีมีทั้งนิสัยนอบน้อมแบบคนไทย แต่ก็ยังคงความสบายๆ ในแบบตะวันตกเอาไว้ได้อย่างลงตัว
“มารีว่าพ่อแม่เลี้ยงไปทางตะวันตกมากกว่านะคะ คือเขาจะค่อนข้างปล่อยลูกให้เรียนรู้อะไรๆ ด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ปล่อยจนเกินไป จะมีคำแนะนำให้เราตลอด ซึ่งเป็นคำแนะนำที่เราไม่กล้าปฏิเสธ (ยิ้มมุมปาก) สมมติว่าวันนี้ขอไปนอนบ้านเพื่อนเป็นครั้งที่สามของอาทิตย์นี้แล้ว เขาจะไม่พูดว่าไม่ให้ไป แต่คุณแม่จะบอกว่าครั้งที่สามแล้วนะ คือจะไม่ใช่ประโยคคำสั่ง ไม่เชิงบังคับ แต่เหมือนเตือนๆ นิดหนึ่ง แต่ถ้าในสถานการณ์เดียวกัน ถามคุณพ่อ คุณพ่อจะบอกให้ไปถามแม่ค่ะ คุณแม่คือคนดูแลลูกแล้วก็ตัดสินใจแทบจะทุกเรื่องในบ้านเลย”
โดยเฉพาะช่วงหลังๆ ที่ดูจะเข้มงวดกับมารีมากเป็นพิเศษในเรื่องกิริยามารยาท “ตอนเด็กๆ จะไม่ค่อยได้สอนเรื่องการวางตัวแบบผู้หญิงไทยให้เราเท่าไหร่ แต่พอกลับมาอยู่ที่ไทย เริ่มเห็นว่าเราโตขึ้นก็จะพูดจะสอนมากขึ้น อย่างเราชอบนั่งอย่างนี้ (ชี้ให้ดูท่านั่งสบายๆ ขณะพูดโดยพับขาข้างหนึ่งไว้บนเก้าอี้) เขาก็จะบอกให้เอาเท้าลง มันน่าเกลียด (ทำหน้าดุเลียนแบบคุณแม่) พอใส่กระโปรงสั้นก็จะว่า เพิ่งมาเป็นมากๆ ช่วงหลังๆ นี่แหละค่ะ สงสัยจะเป็นห่วง” น้ำเสียงของเธอไม่มีอาการรำคาญแต่อย่างใด
ขอเวลาหน่อยนะ
คงไม่แปลกถ้าคอละครจะไม่รู้สึกสนุกไปกับการแสดงของเธอในช่วงแรกๆ เพราะแม้แต่มารีก็ยอมรับว่าตัวเธอเองยังหาความสนุกจากการทำงานไม่เจอเหมือนกัน “ช่วงแรกยังไม่มีความคิดว่าอยากเป็นนักแสดงเต็มตัวเลยค่ะ แค่มีโอกาสเข้ามาก็ลองทำดู แล้วก็พยายามทำให้ดีที่สุด ณ ช่วงเวลานั้น พูดตรงๆ ว่ายังรู้สึกไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ แอบไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปนั่งรอทั้งวัน บางทีนัดเรา 5-6 โมง แต่ได้ถ่ายจริงห้าทุ่มเที่ยงคืน แต่พอทำไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจว่าที่เขาต้องเลตเพราะอะไร แสงมันเปลี่ยนเลยต้องสลับคิวสลับฉาก จากที่เคยรอไม่เป็นก็เริ่มปรับได้แล้ว ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกสนุก รู้สึกอยากทำจริงๆ ขึ้นมาแล้วค่ะ”
พอเริ่มเปิดใจให้กว้างขึ้นได้ งานของเธอจึงพัฒนาไปได้เร็วตามไปด้วย จากก่อนหน้าที่มักจะมีความรู้สึกขัดแย้งในใจว่าสิ่งที่ตัวละครทำดูไม่สมจริง ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในชีวิตจริงแน่ๆ ทำให้มารีไม่สามารถอินไปกับบทได้อย่างเต็มที่ “อย่างฉากรถชน เรากำลังยืนเถียงอยู่กับอีกคน แล้วพระเอกก็มาขับรถชนก้นเรา มารีว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ตอนแรกคิดอย่างนั้น พอแสดงแล้วรู้สึกไม่เชื่อ มันเลยออกมาไม่ดี แต่พอได้ทำงานมากขึ้น ลองมามองภาพกว้างๆ อีกทีแล้วคิดว่ามันคือละครเอนเตอร์เทนคนดู คิดว่าถ้าเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นกับเราจริงๆ เราคงรู้สึกเหมือนตัวละครนั่นแหละ พอเริ่มเข้าใจปุ๊บ อะไรๆ ก็ง่ายขึ้นค่ะ”
แต่คงไม่ง่ายจนเกินไป เพราะการบ้านครั้งใหม่ของเธอคือ “แววมยุรา” ซึ่งเป็นละครรีเมกที่หลายคนคอยจับตามองในฐานะนางเอกเต็มตัวครั้งแรก ซึ่งแน่นอนว่าถ้าแสดงได้ไม่ดีเท่าเวอร์ชันก่อน ก็อาจจะถูกสับเละ ยกมาเปรียบเทียบกันอย่างไม่ไว้หน้า อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเรื่อง “สามหนุ่มเนื้อทอง” แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มารีก็ยังยืนยันว่าจะทำให้สุดความสามารถที่มีแน่นอน
“เรื่องถูกเปรียบเทียบมันต้องมีอยู่แล้วค่ะ แต่คงปล่อยๆ ไป เป็นคนแบบว่าถ้ามีอะไรไม่ดีเกี่ยวกับเรา จะพยายามไม่ใส่ใจ ถ้าชมเราเมื่อไหร่ เราค่อยใส่ใจ” เธอหัวเราะหน้าทะเล้นอยู่สักพักจึงเริ่มเข้าโหมดจริงจัง “เปล่าหรอกค่ะ แค่คิดว่าจะทำให้เต็มที่ที่สุด ผลออกมายังไงก็ค่อยว่ากัน ตอนนี้ไปถ่ายละครทุกครั้ง มารีก็ถือว่าได้ฝึกตัวเองไปในตัว ได้พัฒนาไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว มันน่าจะเป็นธรรมดาของละครเรื่องแรกค่ะที่อาจจะไม่สามารถทำให้คนประทับใจเราได้ทุกคน แต่ในเรื่องต่อไปก็น่าจะมากขึ้นนะ” ท้ายประโยคเสียงเบาลงเหมือนกำลังบอกตัวเองเสียมากกว่า
“จริงๆ แล้วแค่เราได้เล่นละครก็รู้สึกดีแล้วค่ะ ไม่ได้ตื่นเต้นว่าเรื่องนี้ได้เป็นนางเอกเต็มตัวแล้ว เพราะยังไงมารีก็ยังต้องปรับตัวอีกเยอะค่ะ ทั้งเรื่องบุคลิก เป็นคนชอบยืนหลังค่อม เรื่องเสียงก็ต้องปรับโทนให้ต่ำลง ต้องท่องบทเยอะๆ ต้องหัดจินตนาการคาแร็กเตอร์ให้ได้เยอะๆ ก็อยากให้รู้ค่ะว่ามารีกำลังพยายามอยู่ อยากให้คนดูเห็นพัฒนาการของเรา อยากให้เขามองเห็นเรามากกว่าคำว่าสวย อยากให้เห็นว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น มารีรู้ค่ะว่ายังต้องปรับอีกหลายอย่างมาก แต่ต้องปรับไปเรื่อยๆ ทีละอย่าง ขอเวลาหน่อยแล้วกันค่ะ” อ้อนกันขนาดนี้ จะใจร้ายปฏิเสธลงอย่างไรไหว
---ล้อมกรอบ---
ถูก FC มาร์กี้หมั่นไส้
อย่างที่รู้ๆ กันว่าคู่ขวัญบอย-มาร์กี้ เขามีคนชอบอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองไม่แพ้คู่อื่นๆ เลยทีเดียว พอมีนางเอกหน้าใหม่อย่างมารีมาแย่งไอ้หน้าหนวดไป แฟนคลับของบู้บี้จึงเกิดอาการไม่พอใจ พานไม่ชอบหน้ามารีไปซะอย่างงั้น จึงลองถามเรื่องนี้กับเจ้าตัวดู “แฟนคลับมาร์กี้เขา...” ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็ดูเหมือนมารีจะรู้ว่ากำลังจะพูดอะไร
“หมั่นไส้ใช่ไหม (ยิ้มอย่างเข้าใจ) เราก็รู้ค่ะ ก็ไม่ได้อยากจะเถียง เข้าใจในความคิดของเขานะ แต่อยากจะให้เข้าใจว่ามันคือการตัดสินใจของผู้ใหญ่ เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะแย่งคู่กับพี่บอยนะ จริงๆ แล้วโดยส่วนตัว มารีไม่ได้อยากเล่นกับใครเป็นพิเศษหรอกค่ะ กับพี่บอยก็ดีค่ะ พี่เขาช่วยสอนช่วยส่งอารมณ์ให้เยอะมาก ได้เล่นกับพี่บอยก็ถือว่าโชคดีแล้ว แต่ก็แอบคิดว่าถ้าได้เล่นกับคนอื่นบ้างก็คงจะดี ถ้าได้เปลี่ยนไปคู่กับคนอื่นบ้าง คนดูจะได้ไม่เบื่อ”
และแน่นอนว่า “นางเอกของพี่บอย” ทั้งสองคนไม่มีเกาเหลากันแน่นอน เจอกันก็คุยก็ทักกันดี แถมมารียังชมว่ามาร์กี้น่ารักอีกด้วย “เคยคุยกันบ้างค่ะ คุยแป๊บเดียวก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนน่ารักค่ะ เฟรนด์ลีมากจริงๆ” เอาล่ะ แฟนคลับมาร์กี้ยิ้มได้หรือยัง
รักฉันนั้นเพื่อเธอ
สัปดาห์แห่งความรักแบบนี้ ถ้าไม่พูดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เสียหน่อย ก็ดูจะเชยเกินไป จึงขอเสนอ “มาเฟีย” และ “สนู้ปปี้” น้องหมาตัวโปรดที่มารีรักมากมาย คิดดูว่าสัมภาษณ์ไปยังลูบหัวมันไปด้วย น่าอิจฉาจริงๆ
“มาเฟียเป็นพันธุ์ปอมฯ ค่ะ ชอบเพราะขนมันฟูๆ น่ารักดี ส่วนสนู้ปปี้ขนไม่ค่อยเยอะ แต่ก็นิสัยน่ารักนะ อยู่เป็นเพื่อนเราได้ตลอด ถึงไปหลงที่ไหนก็จำหน้ามันได้ค่ะ นอนบนเตียงด้วยกันอยู่ทุกวัน ตอนเช้าตื่นขึ้นมามันก็จะทักทายเราตลอด รอเฝ้าเราตื่น ติดเรามาก ไม่ยอมแยกเลย ไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน ยังไปด้วยเลยค่ะ แต่เวลาไปกองถ่าย เอาไปด้วยไม่ได้ เจอคนแล้วมันชอบเต้น (ยิ้มอย่างเอ็นดู) ต้องปล่อยไว้ที่บ้าน ให้คุณแม่ช่วยดูบ้าง แต่ส่วนมากมันจะอยู่กันเองได้ค่ะ ให้มันอยู่ในห้องนอน มีบ้านมีของเล่นของมันครบหมดเลย มันก็จะเล่นกันสองตัวนั่นแหละ”
ก่อนจะมาลงตัวที่หมาแบบนี้ จริงๆ แล้วมารีเลี้ยงมาหลายประเภทเหมือนกัน “เคยเลี้ยงแฮมสเตอร์ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เคยเลี้ยงเต่าด้วยค่ะ แต่มันตายบ้าง หายไปบ้าง เพราะตอนนั้นเรายังเด็กมากอยู่เลย ก็เลยเลิกเลี้ยงไป แต่จริงๆ แล้วเราชอบหมามาตั้งแต่เด็กเลยนะ แต่คุณแม่ไม่ค่อยยอมให้เลี้ยง จะยอมเฉพาะสัตว์เล็กๆ บอกว่ากลัวบ้านเลอะ เดี๋ยวมันแทะนู่นแทะนี่พัง” ว่าแล้วก็เริ่มย้อนความหลังให้ฟัง
“จริงๆ แล้วเราเคยเลี้ยงหมาใหญ่สองตัวนะ ตัวหนึ่งมันผิดปกตินิดหนึ่ง มันก็เลยดุ กัดคน เราเป็นคนเดียวที่จับมันได้ เลยต้องให้ค่ายทหารเอาไปฝึกเป็นหมาทหารแทน อีกตัวหนึ่งไม่เล็กไม่ใหญ่ เลี้ยงไปได้สักพักมันก็ตายเพราะโดนวางยา แต่จริงๆ แล้วมันน่ารักมากเลยนะ ถึงมันจะซน แต่มันก็ไม่ทำร้ายคน ไม่รู้ทำไมคนต้องมาทำร้ายมันด้วย (น้ำเสียงตัดพ้อ) แล้วตัวที่สามก็เป็นปอมฯ ขาว แต่เป็นโรคไข้หัด ก็เลยตายไป ก็เลยเหลือสองตัวนี้แหละค่ะที่รักมาก หวงมาก พยายามจะดูแลให้ดีที่สุด กลัวมันจะเป็นอะไร”
รู้แล้วว่าเหตุใดเธอจึงเคยให้สัมภาษณ์ว่าอยากรับบทเป็นลำเภา ซึ่งเป็นสัตวแพทย์มากกว่า เพราะเธอเป็นคนรักหมามากขนาดนี้นี่เอง
เลขนำโชคของมารี
เพิ่งมีผลงานละครเรื่องแรกก็มีคนชื่นชอบเยอะแยะแล้ว และมารีก็ไม่เคยนึกรำคาญที่มีแฟนคลับเข้ามาพูดคุยหรือคอยถ่ายรูป ทั้งยังสร้างช่องทางบนโซเชียลเน็ตเวิร์กไว้อำนวยความสะดวกให้แฟนๆ อย่างเต็มที่อีกด้วย
“ก็พยายามคุยกับทุกคนให้ได้มากที่สุดค่ะ มีสร้างทวิตเตอร์ขึ้นมาใหม่เพื่อคุยกับแฟนคลับด้วยนะ มารีเล่นเองหมดเลย แล้วก็มีแฟนเพจเฟซบุ๊ก มีอินสตาแกรม สร้างล็อกอินใหม่ใน Skype กับ MSN ด้วย เวลาว่างๆ บางครั้งก็จะเข้าไปคุย ใครแอดมาก็คุยหมด คือเราให้เวลาเท่าที่ให้ได้น่ะค่ะ แต่หลักๆ จะติดต่อกันทางทวิตเตอร์แล้วก็ในเว็บบอร์ดค่ะ (ยิ้มตาใส) มีเว็บของตัวเองแล้วด้วย แฟนคลับตั้งให้ค่ะ mariebroenner8.com”
ที่ต้องมีเลข 8 ห้อยท้ายชื่อ ไม่ได้ต้องการใบ้หวยแต่อย่างใด แต่เกิดจากเรื่องบังเอิญที่ฟังแล้วก็ตลกดี “จริงๆ ชื่อมันมาจากตอนเสิร์ชเฟซบุ๊กแล้วมันมีเพจที่ชื่อ “มารี เบรินเนอร์” อยู่หลายเพจ เฟซบุ๊กเลยสร้างชื่อให้เราอัตโนมัติว่าเป็นเพจที่ 8 พอแฟนคลับมาเห็น เข้าใจว่าเลข 8 คือเลขโปรดของเรา เลยเอาไปก๊อบทำเป็นเว็บให้ (ยิ้ม) แต่ก็ดีเหมือนกันค่ะจะได้เหมือนในเฟซบุ๊ก” มันอาจจะเป็นเลขนำโชคของเธอก็ได้ ใครจะรู้
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล: มารี เบรินเนอร์
เชื้อชาติ: ไทย-เยอรมัน
วันเกิด: 2 พ.ค. 2535
ส่วนสูง: 172 ซม.
น้ำหนัก: 50 กก.
การศึกษา: นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ หลักสูตรภาษาอังกฤษ
ผลงาน: มิวสิควิดีโอเพลง “พยางค์เดียว” และ “ปล่อยรัก” ของรุจ เดอะสตาร์, ละครเรื่อง “สามหนุ่มเนื้อทอง” และ “แววมยุรา” ซึ่งกำลังถ่ายทำอยู่
รางวัลที่ได้รับ: รองอันดับ 2 Miss Photo Hut Expo 2009, ชนะเลิศ Her World Idol 2010
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์น้องมารี