ย้อนไปเมื่อสัก 10 กว่าปีก่อน ถ้าเอ่ยชื่อของ โมเม - นภัสสร บุรณศิริ คนที่ได้ยินก็คงจะเห็นภาพของนักร้องบับเบิลกัม ออกมาวาดลวดลายทั้งร้องทั้งเต้นด้วยลีลาคิขุ อาโนเนะ ตามความนิยมในสมัยนั้น ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านเลยไป หลายสิ่งหลายอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
แล้วถ้าเป็นสัก 4 - 5 ปีที่ผ่านมาล่ะ ชื่อของเธอก็คงจะเป็นที่รู้จักในฐานะของดีเจรายการเพลงสากล ที่มีน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟังและมีความรู้ด้านเพลงสากลพอตัว
ส่วนในปัจจุบัน ถ้าพูดถึงชื่อของ นภัสสร บุรณศิริ ขึ้นมา สาวน้อยสาวใหญ่ในบ้านเราย่อมรู้จักเธอในฐานะเจ้าของรายการ ‘โมเมพาเพลิน’ รายการทางอินเทอร์เน็ตซึ่งนำเสนอเรื่องราวของความสวยความงาม การแต่งหน้า ที่ว่ากันว่าดีและตรงไปตรงมาที่สุดในประเทศไทย
แล้วอิทธิพลของรายการนี้ต่อสาวๆ มีมากแค่ไหนกัน? เอาเป็นว่า ถ้าโมเมพูดว่าเครื่องสำอางชิ้นไหนยี่ห้อไหนดี คุ้มค่าน่าหามาใช้ สินค้าชิ้นนั้นก็จะหายไปจากตลาดอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นเครื่องชี้วัดได้อย่างดีว่า วันนี้ โมเม - นภัสสร บุรณศิริ ได้กลายเป็นกูรูความงามที่ทรงอิทธิพลต่อสาวๆ ในประเทศไทยไปแล้ว จากเดิมที่เธอเคยเป็นนักร้อง พิธีกร ดีเจ วันนี้เธอมาเป็นกูรูความงามได้อย่างไร และเธอมีทัศนคติอย่างไรกับเรื่องของความสวยความงามบ้าง
ไปพูดคุยกับเธอ...
มาเริ่มต้นทำรายการเกี่ยวกับความสวยความงามได้อย่างไร?
ตัวเราแล้วชอบอยู่แล้ว มันต่อเนื่องมาจากตอนที่สมัยเป็นนักร้อง เราไม่ได้มีคาราวานช่างหน้าช่างผมไปกับเราทุกที่ คือในกรุงเทพฯ น่ะมี แต่เวลาทัวร์หรือเล่นคอนเสิร์ตต่างจังหวัด ต้องดูแลตัวเอง ก็เลยต้องหัดแต่งหน้าทำผมเองมาตั้งแต่นั้น แรกๆ ก็อาศัยลักจำช่างแต่งหน้าที่แต่งให้เรานั่นแหละ
แต่ว่าจุดหักเหที่มาทำรายการนั้น จริงๆ แล้วตอนแรก เราไม่ได้อยากทำรายการบิวตี้เลย แต่ทำรายการสอนภาษาอังกฤษ ชื่อ ‘กู๊ด อิงลิช วิธ โมเม’ มาก่อนซึ่งพี่ๆ เขาเห็นว่าเรามาอัดรายการทีไรก็ฟาดหน้าตัวเองตลอด แต่งหน้าเอง ทำผมเอง เขาก็ถามนะว่า เอาไหม พี่มีช่างนะ เราก็บอก ไม่เป็นไรมั้งพี่ มันเปลืองงบ จริงๆ เราก็แต่งแค่พอดูได้นะ แต่ก็ไอ้พอดูได้สำหรับเราเนี่ย มันแน่นมากสำหรับโปรดิวเซอร์ในตอนนั้น คือการที่นางเห็นโมเมแต่งหน้าเต็มเนี่ย จะเป็นมหกรรมสำหรับเขาเลยของที่เอามาใช้ก็ซื้อมาเองทั้งนั้น คือโมเมชอบอยู่แล้ว ก็ค่อยๆ ทยอยซื้อของมา ใครบอกอะไรดี เราก็ลอง ก็ลองหมด ชอบอยากลอง อยากรู้
เขาเห็นว่าไหนๆ เราก็มาทางนี้ ก็เลยชวนจัดรายการบิวตี้เสียเลย
ก็นั่นแหละ ประกอบกับเราดูยูทูบ แล้วก็เห็นว่ามันมีวิดีโอที่ฝรั่งสอนแต่งหน้าตัวเองเยอะมาก แล้วทำไมไม่มีเป็นภาษาไทยบ้าง ก็เลยเอาตัวไอเดียตรงนี้มาคุยกัน ทางทีมงานก็เอา ก็เลยถ่ายกันเล่นๆ ก่อนยังไม่มีไฟไฮโซอะไรเลย สตูฯ มืดๆ เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง เพราะว่าการถ่ายเรื่องแต่งหน้าเนี่ยมันยาก ต้องลองผิดลองถูกอยู่นาน คลิปแรกจะเป็นอะไรที่มั่วมาก นอกเหนือจากนั้นก็คือ บุคคลิกภาพอันเป็นความจริงของเรายังไม่ค่อยสื่อออกมาเท่าไหร่ ตอนนั้นเรายังเป็น “อะค่ะ คุณผู้ชมเราจะเบลนนะคะ ในการเกลี่ยสีตา” (ทำน้ำเสียงเรียบร้อย) แต่ในชีวิตจริง เราเป็นผู้หญิงมึงมาพาโวย โวยวายกรีดร้องและจริงจัง
แรกๆ ก็กลัว ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วพูดได้มากแค่ไหน เพราะว่าเราโตมาจากการทำงานกับสื่อ สื่อแมส คือสื่อทีวี วิทยุ ซึ่งเวลาที่จะพูดอะไรก็ตามเนี่ย จะต้องระมัดระวังและกระมิดกระเมี้ยนพอสมควร ตอนนั้นไม่รู้ว่าทางของเราเองคืออะไร แต่ทำไปๆ สักพัก ตัวจริงมันเริ่มออกมา คือเวลาจะเล่าอะไรก็ตามจะไม่ใช่แค่เดินมาบอกว่าสิ่งนี้เป็นแบบนี้ แต่เราจะมีความเห็นของเรา และมันจะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะแรง เราไม่ได้เล่าแค่ผิวๆ แต่ลงลึก ว่าไม่ชอบเพราะว่าสีมันแย่ ทาลงไปแล้วมันทำให้หน้าฉันเหี่ยวนะ คือเล่าให้เห็นหมด แล้วพอคนดูดู มันก็เลยเห็นภาพ เลยทำให้โพสซิชันนิ่งของทุกอย่างมันดูต่างจากรายการบิวตี้อื่นๆ
เรียกว่าเป็นรายกาลบิวตี้ที่ค่อนข้างคัลท์ (Cult)
สิ่งที่คัลท์ได้ มันจะต้องเป็นสิ่งที่ต้องมีคนติดตามถูกต้องไหม เหมือนเป็นลัทธิ ซึ่งเราก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องแย่นะ แต่ว่าก็จะบอกคนที่ติดตามเราอยู่เสมอว่า ต้องมีสติกับสิ่งที่ดู มีสติที่จะนำไปใช้ คือเรารู้ว่าของที่เรานำมาใช้เนี่ย มันไม่ใช่ของราคาถูก เพราะฉะนั้นคุณจะควักเงินซื้ออะไรซักอย่าง คุณต้องมีสติ ต้องไปลองเล่นกับมัน ลองเหมือนที่โมเมลอง ก่อนจะเสียเงินซื้อ
แต่ของที่โมเมใช้ในรายการนั้น ขายดีจนถึงขั้นขาดตลาดหลายชิ้นเลย
ก็จริง แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าเราแจ๋วขนาดนั้น คือรายการมันเริ่มต้นจากการที่ไม่ได้มีสปอนเซอร์ เราทำกันแบบอยากทำ ของทุกอย่างที่นำมาใช้ในรายการในช่วง 2 ปีแรกเนี่ย เงินโมเมหมด ทุกบาททุกสตางค์ เพราะใช้เองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมุมมองความคิดเห็นที่มีต่อข้าวของแต่ละอย่าง มันเลยเป็นสิ่งที่จริงมากๆ ไม่ได้รับการถูกชักนำโดยอะไรทั้งสิ้น คนดูพอดูต่อไปเรื่อยๆ ก็รู้ว่ามันจริง ลองใช้ตามแล้วดีจริง มันก็เลยเกิดความเชื่อ คือว่าถ้านางบอกว่าดี มันต้องดี และด้วยความที่เราเป็นคนจริงใจ ก็จะบอกว่าฉันมีผิวแบบนี้ ฉันเป็นสิว ฉันใช้อะไรอยู่บ้าง คงเป็นจุดนั้นมั้ง ที่ทำให้คนดูรู้สึกว่ามันเวิร์ก
ตอนหลังเราก็มีสปอนเซอร์เข้ามาบ้างใช่ไหม
เราก็ทำให้รู้เลยว่าเป็นโฆษณา คือต้องเห็นโลโก้ เห็นทุกสิ่งอย่าง ให้เห็นไปเลย จะไม่มีการมาไทร์ อิน หรือหยิบมาเนียนๆ ไปว่าดี ว่าชอบ ด้วยความที่เราทำงานสื่อ ก็ต้องมีจรรยาบรรณพอ เราต้องกรองให้เขาก่อนระดับหนึ่งว่า มันดีไม่ดีอย่างไร ถ้าไม่ดีขอข้ามไปเลยไม่พูดถึงดีกว่า เพราะถ้าพูดถึงปั๊บ เดี๋ยวไปตระเวนซื้อกันอีก เรารู้สึกว่า สงสาร ซึ่งถ้าเราจะอยู่ในตรงนี้ต่อไปเรื่อยๆ ความน่าเชื่อถือมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะว่าถ้าอยากมาเร็ว ไปเร็ว รวยเร็ว ทำได้ไหม ก็ทำได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำ
ในทัศนคติของ คุณมองว่าความสวยความงามกับผู้หญิงมันเป็นสิ่งคู่กันเลยใช่ไหม
เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้หญิงดีขึ้นกับตัวเอง และคนรอบข้างที่ดูผู้หญิงก็จะรู้สึกดีไปด้วย (ตอบทันที) สมมติคุณตื่นเช้ามาหน้าตาแย่ สิวขึ้น ใต้ตาไม่โอเค แต่ต้องออกไปทำงานแล้ว แล้วก็บากหนังหน้าออกไปทั้งอย่างนั้น ส่องกระจกทีไรก็รู้สึกเครียดและไม่มีความสุข ดังนั้นถ้าหล่อนไม่มีความสุขกับตัวเอง ใครจะมีความสุขกับการมองหล่อน สิ่งเหล่านี้มันส่งออกมาผ่านบุคลิกภาพนะ ถ้าคุณไม่มั่นใจกับตัวเอง คุณไม่มีความสุขกับการดูหน้าตัวเอง คุณก็จะรู้สึก วันนี้ไม่มั่นใจ ทำอะไรก็ไม่ดีไปหมด
อีกกรณีแต่ถ้าวันนี้โอเค ฉันเห็นแล้วสิว ใต้ตาฉันก็ไม่โอเค แต่ฉันซ่อมได้ จนฉันมองกระจกแล้วรู้สึกว่า เออ! ว่ะ มันโอเค เราก็จะไม่โฟกัสกับเรื่องความงาม สามารถจะใช้ชีวิตทุกอย่างได้เต็มที่
แล้วผู้หญิงที่ไม่สนใจเรื่องนี้เลยมีไหม
มีค่ะ และเราขอปรบมือให้ คือถามว่า ถ้าเกิดความมั่นใจเขาเกิดขึ้นได้ โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งอะไรเลย คุณเป็นคนที่แจ๋วมาก จริงๆ แล้วถ้าทำได้อย่างนั้นนะ จะประหยัดมากเลย แต่ว่ามันก็ขึ้นอยู่ว่าลักษณะงานที่ทำและปัจจัยรอบๆ ข้างด้วย คือบางทีก็ไม่ได้ทำสวยเพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่ทำเพื่อคนรอบข้างด้วยเบาๆ คือดูแล้วก็สุนทรีย์ในการชมกันไป แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งเดียวในชีวิตที่จะต้องนึกถึง
มีแฟนๆ รายการเป็นผู้ชายบ้างหรือเปล่า
มีเยอะค่ะ ผู้ชายแท้ก็มี ผู้ชายใจหญิงก็มี จริงๆ แล้ว คนชมส่วนใหญ่ก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ แต่ว่าในส่วนของผู้ชาย เราก็จะพูดเผื่อบ้างในหลายๆ ตอนเช่นถ้าเป็นชายหนุ่ม ทำดังต่อไปนี้ เอาจริงๆ ผู้ชายเดียวนี้แต่งหน้าเยอะนะ แต่เขามีความสามารถในการแต่งที่ไม่ให้รู้ว่าแต่ง บางคนเขาเก่งกว่าผู้หญิงอีก เป๊ะมาก...ถ้าจะรู้ได้ว่าโบกหน้ามาหรือเปล่า ก็ต้องส่องแว่นขยายดู ต้องเอานิ้วไปถูๆ ถึงจะได้รองพื้นติดมา
เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิงก็ทารองพื้นกันหมดแล้ว?
เรื่องของการเลือกรองพื้นนี่ ก็เป็นอีกเรื่องที่คนไทยมีปัญหา เราจะพยายามบอกเสมอว่าให้เลือกสีรองพื้นให้ตรงกับผิวจริงๆ ของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชายหรือว่าเป็นผู้หญิงก็ตาม อย่าพยายามเลือกให้ขาวกว่าหน้าหนึ่งเบอร์ เข้าใจว่าทุกคนอยากขาวเหมือนเกาหลี ญี่ปุ่น แต่มันต้องดูปัจจัยรอบข้างด้วย เช่น โทนสีผิวของเขาเป็นสีขาวอมชมพู แต่บ้านเราขาวเหลือง หรือเข้มเหลือง ไม่ได้ออกชมพูอย่างเขา บางทีคนก็เข้มจนเขียวเลย ซึ่งมันถามว่าสวยได้ไหม มันสวยได้ เพียงแต่ว่าต้องเลือกของที่ใช้ ให้ถูก ดังนั้นใครที่ซื้อตามตามหนังหน้าโมเม คือไปที่เคาน์เตอร์แล้วบอกว่า หนูจะไม่ใช้สีอื่น หนูจะใช้สีที่พี่โมเมใช้เท่านั้น จงหยุด มีสติ ต้องเคารพในสิ่งที่ตัวเองเป็น
การแต่งหน้าให้ดี ขึ้นอยู่กับการเคารพตัวเองด้วยไหม
ถูก! เราจะบอกตลอดตั้งแต่ทำรายการแรกๆ เลยว่าอย่าพยายามเปลี่ยนหน้าตัวเองให้เหมือนคนอื่น อย่าไปคิดว่า พลอย-เฌอมาลย์ ใช้สีนี้แล้วสวย ฉันจะต้องใช้สีนี้ อั้มใช้สีนี้แล้วสวย ฉันถึงจะต้องใช้สีนี้ ต้องดูก่อนว่าตัวเองเป็นคนหน้าแบบไหน รู้ตัวเองรึยัง ถ้ารู้แล้วก็ใช้ให้เหมาะ
คือมันต้องผิดมาก่อน แต่ก็ต้องเปิดใจกว้างเพราะจะแก้ไขสิ่งที่ผิดได้เร็วกว่า เขาจะรู้ว่า ตาย สิ่งที่ฉันทำมาตลอดนี่ผิด คือผู้หญิงทุกคนสวยแบบของตัวเองได้ ความสวยไม่ได้สวยแบบเดียวกันทั้งหมด มันไม่มีหรอกไม่มีมาตรฐานของความสวย สุดท้ายแล้วเรื่องของความสวยความงามก็เป็นเรื่องที่หลากหลาย มันซับเจคทีฟ (subjective-แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน) มากๆ
แล้วมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องการไปทำศัลยกรรม
ก็ไม่ได้ผิดหรอก แต่การจะแต่งหน้าหรือทำศัลยกรรมก็ตาม มันต้องศึกษาข้อมูลของสิ่งที่เราจะทำให้ดีๆ ก่อน อย่าฟังอะไรด้านเดียว อย่าฟังโมเมคนเดียว อย่าแต่อ่านหนังสือเล่มเดียว หรือไปปรึกษาหมอคนเดียวแล้วทำเลย จงหาข้อมูลเพิ่มเติม ถ้าอยากทำจริงๆ คือโมเมไม่ได้คิดว่าการทำศัลยกรรม หรือว่าการพบหมอในเรื่องใบหน้าหรือร่างกายเป็นสิ่งประหลาดนะ เรารู้สึกว่าในเมื่อวิวัฒนาการในการแพทย์มันสามารถทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นได้ โดยผ่านกระบวนการอะไรก็แล้วแต่ ก็จงหาข้อมูลเกี่ยวกับมันเยอะๆ แล้วตัดสินใจให้ดีๆ ทุกเรื่องมันมีข้อดีและข้อเสียทั้งนั้น
และมันไม่ได้เกี่ยวกับการขาดความเคารพตัวเองโดยตรง คือถ้าคุณเองมองกระจกทุกวันแล้วคุณไม่ชอบตัวเองจริงๆ ก็จงไปทำเถอะ เคารพตัวเองในที่นี้ เป็นภาพรวมของทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องแค่ว่า ฉันหน้าตาเป็นอย่างนี้ แต่รวมถึงเคารพในความเป็นตัวเอง นิสัย วิธีการ จิตใจ และทุกอย่าง ว่า เฮ้ย! ฉันมีศักดิ์ศรีแบบนี้ ทุกอย่างโดยภาพรวม และถ้าเกิดฉันแฮปปี้กับตัวเองในเรื่องนิสัยใจคอ ในเรื่องครอบครัว ในเรื่องเพื่อน ในเรื่องแฟน ทุกอย่างแฮปปี้หมด แต่ฉันส่องกระจกทุกวันแล้วฉันเครียด ฉันไม่มีความสุขกับจมูกอันนี้จริงๆ เชิญไปพบหมอเลย
สุดท้ายแล้วทุกคนอยากสวยได้ แต่ก็ต้องมีสติ เคารพความเป็นตัวเอง และก็รู้ทันตัวเอง
>>>>>>>>>>>>
……….
เรื่อง : เอกชาติ ใจเพชร
ภาพ : พงษ์ศักดิ์ ขวัญเนตร