ความสวยความงาม เป็นเรื่องคู่กับผู้หญิงมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งถ้าผู้หญิงที่มีผิวขาวนวลเนียนสว่างใส ก็ยิ่งดูสวย ดังจะเห็นได้จากกระแสนิยมสมัยใหม่ที่ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง นางแบบ ก็มักจะโดดเด่นจากสีผิวที่ขาวสว่างใสทั้งนั้น
เมื่อคนส่วนใหญ่ของสังคมเห็นตรงและมีทัศนคติที่เหมือนๆ กันว่า ‘ความสวย = ความขาว’ ต่างนิยมชมชอบในภาพลักษณ์ของสีผิวขาวมากขึ้น ผลิตภัณฑ์และบริการเสริมความงามจึงผุดขึ้นอย่างมากมาย ตั้งแต่วิธีจากธรรมชาติไปจนถึงวิธีทางการแพทย์ ซึ่งราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น เพื่อตอบสนองค่านิยมคลั่งความขาวนั่นเอง
เพราะฉะนั้นทางลัดไปสู่ความขาวจึงเป็นทางอันตรายที่บั่นทอนและทำลายสุขภาพของสาวๆ และผู้ที่อยากผิวขาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อทางการแพทย์ออกมาเตือนถึงวิธีการทำให้ผิวขาวโดยวิธีต่างๆ นั้น สามารถทำให้อวัยวะเสื่อมจนถึงขั้นพิการได้ ขาวสวยแต่พิการจะเลือกอย่างไหน?
เส้นทางสู่ผิวขาว
ในเมื่อธรรมชาติไม่เป็นใจให้เกิดมามีผิวเนียนขาวราวกระดาษ วิธีต่างๆ ที่สาวๆ สรรหามาเพื่อผลัดสีผิวให้ขาวดั่งใจ เริ่มด้วยวิธีดั้งเดิมอย่างการขัดตัวหรือพอกตัวด้วยขมิ้น มะขาม หรือสมุนไพรพื้นบ้าน ที่สามารถหาซื้อได้ในราคาประหยัด ถัดมาก็เป็นเรื่องของครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่ง หรือผสมสารสกัดจากธรรมชาติ ที่อวดอ้างว่าทาแล้วขาวใสแน่นอนแต่ไม่รู้ว่าต้องใช้กี่ขวดถึงจะขาวสมใจ แล้วก็ตามมาด้วยอุปกรณ์สปาสำเร็จรูปที่สามารถทำได้ที่บ้าน เช่น โคลนพอกตัว เกลือขัดผิว ต่างๆ ที่หาซื้อได้ง่ายและราคาไม่แพง สุดท้ายเมื่อหนทางในการบำรุงผิวภายนอก ยังทำให้ขาวไม่ทันใจ สิ่งต่อมาที่จะช่วยเร่งความขาวจากภายในก็คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีส่วนผสมจากวิตามินซีและ ‘กลูต้าไธโอน’ ยาที่ใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งคงคุ้นหูกันในเรื่องของสรรพคุณในการเปลี่ยนสีผิวให้เป็นสีขาวอมชมพู แลดูสุขภาพดี แบบทันใจ โดยมีสารพัดวิธี ทั้งใช้กิน ใช้ดื่ม หรือแม้กระทั่งฉีด และล่าสุดกับยาที่ชื่อว่า ‘ทรานสมิน’ ยาที่ว่านี้ในทางการแพทย์ คือ ยาห้ามเลือดชนิดหนึ่ง ที่ใช้สำหรับการทำให้เลือดแข็งตัว หรือจับตัวเป็นลิ่ม แต่สถาบันเสริมความงามต่างๆ กลับนำมาใช้ในการรักษาฝ้า และใช้เป็นยาปรับสีผิวให้ขาวขึ้น ซึ่งในปัจจุบันอาจยังไม่ได้รับความนิยมเท่ากลูต้าไธโอน
ภัยแอบแฝงจาก ‘กลูต้าไธโอน’
ในปัจจุบันเราจะพบว่ากลูต้าไธโอนเป็นผลิตภัณฑ์ปรับสีผิวให้ขาวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะหาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง และเห็นผลเร็ว จากสรรพคุณที่แสนจะยั่วยวนให้สาวๆ หนุ่มๆ หลายคนอยากจะมีผิวขาว จึงทำให้ลืมเรื่องผลข้างเคียงที่มีอันตรายหากได้รับสารเหล่านี้มากเกินไป ตั้งแต่อาการเล็กๆ น้อยๆ อย่าง การฉีดเข้าที่เส้นเลือดดำ ก็จะทำให้เกิดอาการแพ้ และอาจช็อกได้ หรือการฉีดกลูต้าฯร่วมกับวิตามินซีในปริมาณมาก ก็จะทำให้เกิดอาการมึน เวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม และแม้กระทั่งข่าวที่ออกมาเป็นระยะว่า หากมีการใช้กลูต้าไธโอนในปริมาณมากและใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของผิว และอาจลุกลามถึงขั้นเป็นมะเร็งเลยทีเดียว และยิ่งเป็นที่น่าตกใจเมื่อพบว่ากลูต้าฯ อาจส่งผลให้มีอาการอักเสบของจอประสาทตา และเมื่ออักเสบบ่อยๆ ก็อาจทำให้ตาบอดได้
ซึ่ง นายแพทย์ประวิตร อัศวานนท์ กรรมการสมาคมแพทย์ผิวหนัง ได้ให้ความรู้เรื่องของกลูต้าไธโอนว่า
“กลูต้าไธโอนในทางการแพทย์ของประเทศไทย เป็นยาฉีดใช้กับพวกคนไข้มะเร็ง ส่วนกลูต้าไธโอนที่ใช้สำหรับเสริมความงาม ก็เป็นยาตัวเดียวกัน ก็มีทั้งใช้กินและฉีด ในแง่ของความปลอดภัยกลูต้าฯ สำหรับใช้กินจะปลอดภัยกว่าอย่างฉีด แต่ว่าจะนิยมให้ฉีดทางเส้นเลือดมากกว่า ซึ่งการฉีดกลูต้าฯ เข้าไปจะ เป็นการหยุดการสร้างเมลานินหรือเม็ดสีของผิว ก็จะทำให้สีผิวเพี้ยนไปจากเดิม ผิวจะขาวขึ้น ในการที่เรามีสีผิวที่ต่างไปจากเดิมนานๆ ก็จะมีผลเสียต่อร่างกายได้ ซึ่งก็มีออกมารณรงค์หลายปีแล้ว ว่าอย่าทำ เพราะมันเกิดการแพ้ได้และค่อนข้างรุนแรง ส่วนผลในระยะยาวยังไม่มี เพราะว่าส่วนใหญ่ในงานวิจัยก็ทำไม่เกิน 6 เดือน เราจะรู้แค่ว่าผลระยะสั้นเป็นยังไง แต่ว่าผลระยะยาวจริงๆ ยังไม่มีใครรู้”
ทั้งนี้ยังทิ้งข้อคิดให้กับผู้ที่นิยมใช้กลูต้าไธโอนสำหรับเร่งความขาวเพื่อเตือนให้รู้ว่าแท้จริงแล้วการเปลี่ยนสีผิวไม่ได้ส่งผลดีให้กับร่างกายของเราเลย
“เราเกิดมาสีผิวอะไรก็ควรจะต้องภูมิใจในผิวของตัวเอง การที่จะพยายามเปลี่ยนสีผิวด้วยวิธีที่ไม่ปลอดภัย มันไม่สมควร วิธีทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นวิธีชั่วคราว ไม่ได้เปลี่ยนสีผิวเราได้ถาวร”
ความคิดของผู้นิยมความขาว
ในเมื่อค่านิยมยุคปัจจุบันที่ถือว่าความขาว คือ ความสวย ผู้คนทั้งชาย-หญิง หรือเพศที่สามจึงหันมาสนใจในเรื่องเสริมความขาวกันมากขึ้น ปณิตา เพ็ชรน้ำสิน เป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ต้องใช้ผิวขาวสำหรับการประกอบอาชีพพริตตี้ ซึ่งเธอบอกว่าไม่กลัวอันตรายของกลูต้าฯ เพราะได้ศึกษาข้อมูลและฉีดกับแพทย์ที่เชื่อถือได้
“จริงๆ ก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนดำนะ แต่ว่าก็อยากจะขาวให้มากกว่านี้อีก เพราะเห็นว่าคนขาวมักจะได้เปรียบ ใครๆก็จะมองที่คนขาวๆ ก่อน อีกอย่าง บางงานที่เรารับ ต้องมีเจอแดด แล้วก็ทำให้เราคล้ำลง เราเลยต้องไปฉีด เพื่อที่จะได้ขาวๆ สวยๆ โดยส่วนตัวไม่กลัวนะ กับข่าวเรื่องกลูต้าฯ เพราะคิดว่าคนอื่นเขาก็ฉีดกันเยอะแยะ อีกอย่างเราศึกษามาดีแล้ว ทั้งจากอินเทอร์เน็ต หรือทั้งจากพี่หมอที่ฉีดให้ คือรู้จักกับพี่หมออยู่แล้ว เลยไว้ใจเขา แล้วสถานที่ที่เราไปฉีดกลูต้าฯ นั้น ก็คือโรงพยาบาล ถ้าเขาไม่มั่นใจในความปลอดภัยเขาคงไม่กล้ามาฉีดในนี้ ส่วนเรื่องที่มีข่าวว่าฉีดแล้วตาบอดก็มีพี่ที่รู้จักเป็นนะ แต่ว่าคือเขาฉีดติดต่อกันมานานหลายปี แต่เราก็ไม่ได้ถึงขั้นนั้นไง คงไม่น่าจะเป็นอะไร”
ส่วนอีกมุมองหนึ่งของ นุชนาถ วิทยานันท์ สาวพนักงานธนาคารที่เชื่อว่าความขาว เป็นสิ่งที่จะช่วยเสริมความมั่นใจให้กับตนเองได้
"อยากขาว เพราะว่าด้วยค่านิยมของคนเดี๋ยวนี้ ใครๆ ก็ชอบคนขาวไว้ก่อน แค่ขาวก็ได้เปรียบไปกว่าครึ่งแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร ทั้งงานหรือเข้าสังคม ยังไงคนขาวก็ดูดีกว่า รู้สึกว่าขาวแล้วมั่นใจ แต่ว่ายังไงก็ยังไม่กล้าฉีด กลัว เพราะฉีดกลูต้าฯ มันฉีดเข้าเส้นเลือดเลย กินแบบเม็ดดีกว่ารู้สึกว่าปลอดภัยกว่า แล้วก็มาพอกผิว ขัดผิว บำรุงมันดีกว่าเพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง"
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การอยากมีผิวขาว ก็ไม่ใช่ความคิดที่ผิด เพียงแต่เส้นทางในการมีผิวขาวนั้น เราต้องเลือกให้ปลอดภัยกับชีวิตมากที่สุด ไม่ใช่วิธีสวยทางลัด ที่มีความเสี่ยงและผลข้างเคียงต่อร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแค่หันมาเอาใจใส่ดูแลตัวเอง ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ ก็ทำให้สวยเปล่งปลั่งได้ไม่ต่างกัน
.........
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK