ASTVผู้จัดการรายวัน - แพทย์เผยวัยรุ่นไทยคลั่งฉีดกลูต้าไธโอน ตะลึ่ง!อายุต่ำสุดแค่ 14 ปี เตือนเสี่ยงอันตรายถึงขั้น “ตาบอด-มะเร็งผิวหนัง”แนะอยากผิวสวยพักผ่อนเพียงพอ-ออกกำลังกายสม่ำเสมอ-ดื่มน้ำสะอาดช่วยได้
นพ.จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบวัยรุ่นไทยยังคงนิยมฉีดกลูต้าไธโอเหราะความคลั่งผิวขาวแบบสาวเกาหลี ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก เนื่องจากในวงการแพทย์ใช้กลูต้ารักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาตับอักเสบ เนื่องจาก กลูต้าไธโอนเป็นสารโปรตีนเบื้องต้น ช่วยเพิ่มการทำงานของตับในการฟอกพิษ ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งเมื่อเซลล์ตับมีการฟอกสารพิษแล้ว เนื้อเยื่อก็อาจมีการบาดเจ็บ สึกหรอ ดังนั้นตัวสารดังกล่าวก็จะเป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมฟื้นฟูสภาพของเนื้อเยื่อตับและช่วยให้มีภูมิต้านทานดีขึ้นด้วย การใช้ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญ และใช้ยาเป็นช่วงๆ ไม่ใช้ติดต่อกัน ซึ่งการฉีดเพื่อให้ผิวขาวนั้นถือว่าเป็นการประยุกต์ใช้ตามคุณสมบัติรองของกลูต้าไธโอน สามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวหรือที่เรียกว่าเมลานิน ( Melanin)
"ที่น่าห่วงไปกว่านั้น พบว่ากลูต้าไธโอนที่ฉีดให้บริการวัยรุ่นเป็นของลอกเลียนแบบที่ผลิตในประเทศอื่นๆ โดยพิมพ์ว่าผลิตในอิตาลีเช่นเดียวกันกับที่วงการแพทย์นำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคตับ ซึ่งไม่แน่ใจว่าผ่านการตรวจของหน่วยงานอย่าง อย.หรือไม่ เป็นไปได้ว่า หากเป็นผลิตภัณฑ์เถื่อนก็เป็นอันตรายมาก ดังนั้นจึงต้องมีการเฝ้าระวังวัยรุ่นไทยจะได้รับผลกระทบจากกระแสการฉีดดังกล่าว โดยเฉพาะขณะนี้พบว่าวัยรุ่นที่นิยมฉีดผิวมีการฉีดเริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 14 ปีทั้งกลุ่มผู้หญิง ผู้ชาย และเพศที่สาม ซึ่งก่อนหน้านี้ ผู้ที่ฉีดสีผิวมักเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน และบางคนฉีดเป็นประจำทุก 1-2 สัปดาห์ เพราะเข้าใจว่าจะยิ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ผิวขาวรวดเร็วยิ่งขึ้น” นพ.จิโรจกล่าว
นพ.จิโรจ กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่น่าวิตก ก็คือปริมาณการฉีดเข้าร่างกายที่เกินขนาด 2-3 เท่าตัว ซึ่งทำให้เม็ดสีผิวลดลง ซึ่งเม็ดสีผิวของคนเราสร้างมาจากเซลล์สร้างเม็ดสี (เมลาโนไซท์) ในผิวหนัง มีประโยชน์ เหมือนแผ่นกรองแสง ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระ หากใช้ไปมากๆและใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เม็ดสีผิวลดลง ภูมิต้านทานก็ลดด้วย เกิดการระคายเคืองแพ้แสงแดดได้ง่ายขึ้นเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหน้าได้
นอกจากนี้ยังอาจเกิดผลกระทบต่อจอตาโดยตรง ซึ่งมีหน้าที่รับแสงในการมองเห็นทำให้จอประสาทตาอักเสบได้ง่ายถ้าอักเสบบ่อยๆอาจถึงขั้นตาบอด ประการสำคัญที่สุดที่ขอเน้นย้ำก็คือขณะนี้ ทั้งสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แพทยสภา ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ยังไม่รับรองความปลอดภัยของการฉีดกลูต้าไธโอน ส่วนกลูต้าไธโอนชนิดใช้รับประทานนั้นขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ขึ้นทะเบียนรับรองโดยอนุญาตให้ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งมีผลต่อสุขภาพน้อยกว่า แต่หากกินนานๆก็อาจรบกวนการทำงานของไตได้เช่นกัน
นพ.จิโรจกล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ข้อเท็จจริงนั้น สีผิวของคนเราในแต่ละคนแตกต่างกัน คนที่มีสีผิวเข้มจะมีแคปซูลของเม็ดสีเมลานินมาก คนที่มีผิวขาวจะมีแคปซูลของเมลานินน้อย การใช้สารเพื่อทำให้ผิวขาวจะมีผลเพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นเมื่อสารหมดฤทธิ์ผิวก็จะกลับมามีสีเหมือนเดิมอีก ดังนั้นจึงขอฝากความห่วงใยไปยังวัยรุ่นไทย ขอให้พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ และดูแลสุขภาพ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็พอ พร้อมทั้งดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ ก็จะมีผิวที่ดีแล้ว
นพ.จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบวัยรุ่นไทยยังคงนิยมฉีดกลูต้าไธโอเหราะความคลั่งผิวขาวแบบสาวเกาหลี ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก เนื่องจากในวงการแพทย์ใช้กลูต้ารักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาตับอักเสบ เนื่องจาก กลูต้าไธโอนเป็นสารโปรตีนเบื้องต้น ช่วยเพิ่มการทำงานของตับในการฟอกพิษ ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งเมื่อเซลล์ตับมีการฟอกสารพิษแล้ว เนื้อเยื่อก็อาจมีการบาดเจ็บ สึกหรอ ดังนั้นตัวสารดังกล่าวก็จะเป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมฟื้นฟูสภาพของเนื้อเยื่อตับและช่วยให้มีภูมิต้านทานดีขึ้นด้วย การใช้ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญ และใช้ยาเป็นช่วงๆ ไม่ใช้ติดต่อกัน ซึ่งการฉีดเพื่อให้ผิวขาวนั้นถือว่าเป็นการประยุกต์ใช้ตามคุณสมบัติรองของกลูต้าไธโอน สามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวหรือที่เรียกว่าเมลานิน ( Melanin)
"ที่น่าห่วงไปกว่านั้น พบว่ากลูต้าไธโอนที่ฉีดให้บริการวัยรุ่นเป็นของลอกเลียนแบบที่ผลิตในประเทศอื่นๆ โดยพิมพ์ว่าผลิตในอิตาลีเช่นเดียวกันกับที่วงการแพทย์นำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคตับ ซึ่งไม่แน่ใจว่าผ่านการตรวจของหน่วยงานอย่าง อย.หรือไม่ เป็นไปได้ว่า หากเป็นผลิตภัณฑ์เถื่อนก็เป็นอันตรายมาก ดังนั้นจึงต้องมีการเฝ้าระวังวัยรุ่นไทยจะได้รับผลกระทบจากกระแสการฉีดดังกล่าว โดยเฉพาะขณะนี้พบว่าวัยรุ่นที่นิยมฉีดผิวมีการฉีดเริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 14 ปีทั้งกลุ่มผู้หญิง ผู้ชาย และเพศที่สาม ซึ่งก่อนหน้านี้ ผู้ที่ฉีดสีผิวมักเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน และบางคนฉีดเป็นประจำทุก 1-2 สัปดาห์ เพราะเข้าใจว่าจะยิ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ผิวขาวรวดเร็วยิ่งขึ้น” นพ.จิโรจกล่าว
นพ.จิโรจ กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่น่าวิตก ก็คือปริมาณการฉีดเข้าร่างกายที่เกินขนาด 2-3 เท่าตัว ซึ่งทำให้เม็ดสีผิวลดลง ซึ่งเม็ดสีผิวของคนเราสร้างมาจากเซลล์สร้างเม็ดสี (เมลาโนไซท์) ในผิวหนัง มีประโยชน์ เหมือนแผ่นกรองแสง ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระ หากใช้ไปมากๆและใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เม็ดสีผิวลดลง ภูมิต้านทานก็ลดด้วย เกิดการระคายเคืองแพ้แสงแดดได้ง่ายขึ้นเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหน้าได้
นอกจากนี้ยังอาจเกิดผลกระทบต่อจอตาโดยตรง ซึ่งมีหน้าที่รับแสงในการมองเห็นทำให้จอประสาทตาอักเสบได้ง่ายถ้าอักเสบบ่อยๆอาจถึงขั้นตาบอด ประการสำคัญที่สุดที่ขอเน้นย้ำก็คือขณะนี้ ทั้งสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แพทยสภา ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ยังไม่รับรองความปลอดภัยของการฉีดกลูต้าไธโอน ส่วนกลูต้าไธโอนชนิดใช้รับประทานนั้นขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ขึ้นทะเบียนรับรองโดยอนุญาตให้ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งมีผลต่อสุขภาพน้อยกว่า แต่หากกินนานๆก็อาจรบกวนการทำงานของไตได้เช่นกัน
นพ.จิโรจกล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ข้อเท็จจริงนั้น สีผิวของคนเราในแต่ละคนแตกต่างกัน คนที่มีสีผิวเข้มจะมีแคปซูลของเม็ดสีเมลานินมาก คนที่มีผิวขาวจะมีแคปซูลของเมลานินน้อย การใช้สารเพื่อทำให้ผิวขาวจะมีผลเพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นเมื่อสารหมดฤทธิ์ผิวก็จะกลับมามีสีเหมือนเดิมอีก ดังนั้นจึงขอฝากความห่วงใยไปยังวัยรุ่นไทย ขอให้พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ และดูแลสุขภาพ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็พอ พร้อมทั้งดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ ก็จะมีผิวที่ดีแล้ว