ในยุคข้าวยากหมากแพง เงินแค่ 10 บาทจะหาซื้อของกินให้อิ่มท้องก็คงยากลำบาก แต่ในอีกมุมของกรุงเทพฯ ก็ยังมีของดีในราคาสบายกระเป๋า ที่ลูกค้ารู้สึกได้ถึงความคุ้มค่า ทั้งความอิ่ม อร่อย และราคาถูก จนทำให้คนที่ได้ลองชิมต้องติดใจในรสชาติของขนมร้านนี้ “ขนมถังแตกป้าติ๋ม” ที่ใครๆ ต่างบอกเล่าสู่กันจากปากต่อปากมานานกว่า 4 ปี
“ก่อนหน้านี้ขายน้ำเต้าหู้มาก่อน แล้วมาได้สูตรทำขนมถังแตกจากเพื่อนของแม่ จึงลองเปลี่ยนมาทำดู เริ่มต้นขายจาก 4 เตา ก็ขายดีขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีลูกค้าแวะเวียนมาซื้อเป็นประจำ จนต้องเพิ่มจำนวนเตาเป็น 20 เตา”
ยุทธชัย ไชยมงคล ทายาทขนมถังแตก บอกเล่าพร้อมกับก้มหน้าก้มตาทำขนมอย่างขะมักเขม้นเคียงข้างป้าติ๋ม และคนในร้านอีก 3 คน ทุกคนมือเป็นระวิงกับงานที่อยู่ตรงหน้าจนแทบไม่มีเวลาวางมือ เพราะลูกค้าต่างจ้องจับจองซื้อขนมอยู่เต็มหน้าร้านจนทางเดินมีแต่คนยืนรอคิวแน่นขนัด คนขายก็เร่งมือทำ พอเอาขนมออกจากเตาปุ๊บก็ใส่ถุงปั๊บ ส่งถึงมือผู้บริโภคแบบสดๆ ร้อนๆ เหมือนโรงงานทำขนมอย่างไงอย่างงั้น ซึ่งในแต่ละวันขนมถังแตกร้านป้าติ๋มผลิตได้มากกว่า 3,000 ชิ้น และมีหลากหลายรสชาติให้เลือกชิม
“ปกติขนมถังแตกจะมีแค่ไส้มะพร้าว งา น้ำตาล แต่ของเรามีไส้หลายอย่าง ทั้งหมด 6 ไส้ ก็จะเป็นฝอยทอง ลูกเกด มะพร้าว สังขยา ข้าวโพด และเม็ดขนุน ซึ่งแต่ละไส้เป็นส่วนประกอบของขนมไทยทั้งหมด”
ราคาขนมนั้นก็แสนถูกเมื่อเทียบกับปริมาณที่ได้ เพราะเจ้าของร้านใส่ไส้แบบไม่อั้น เพราะกลัวลูกค้ากินไม่อิ่ม ซึ่งไส้แต่ละอย่างก็จะมีราคาแตกต่างกัน แบ่งออกเป็นสองราคา แต่มาตรฐานความอร่อยเหมือนกันทุกประการ เพียงแต่วัตถุดิบที่ใช้นั้น คือไส้ขนมที่มีต้นทุนต่างกันไป ได้แก่ ไส้มะพร้าว สังขยา และข้าวโพด มีราคา 7 บาท ส่วนไส้ฝอยทอง เม็ดขนุน และลูกเกด มีราคา 10 บาท ทั้งอิ่ม อร่อย และราคาถูก จะหากินขนมที่มีคุณสมบัติครบถ้วนแบบนี้คงหาไม่ง่ายในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ
หลายคนคงอยากรู้ว่าทำไมขนมชนิดนี้เรียกว่า ถังแตก เรื่องเล่าของขนมโบราณที่ชื่อว่า “ถังแตก” เนื่องจากเป็นขนมทำด้วยแป้ง มีไส้ดั้งเดิมที่ทำมาจากมะพร้าว โรยด้วยงา น้ำตาล เนื้อแป้งแน่นๆ ชิ้นใหญ่ กินแค่ชิ้นเดียวก็อิ่มไปอีกนาน ถือว่าเป็นขนมคนจนสำหรับคนไม่ค่อยมีเงิน จึงกลายเป็นที่มาของชื่อขนมถังแตก แต่ไม่ได้ถูกปากเฉพาะคนจนเท่านั้น สมัยนี้คนทั่วไปก็ชอบกิน เพราะเป็นขนมที่หาซื้อง่าย กินอิ่ม คนจึงนิยมซื้อกิน และที่สำคัญมีราคาถูกมากเหมือนกันกับร้านขนมถังแตกป้าติ๋มนี่เอง เพียงแค่รสชาติอาจเปลี่ยนไปเพื่อให้ถูกใจคนกินสมัยนี้
“ขนมร้านเราที่ต่างจากถังแตกสมัยก่อน คือรสชาติ แต่ก่อนจะออกเปรี้ยวๆ หน่อย แต่ของเราไม่เปรี้ยวเพราะแป้งข้าวเจ้าหมักที่เราใช้เป็นแป้งที่ทำขึ้นมาใหม่ๆ ตลอดเลย เราต้องลองทำกันมาเป็นปี กว่าจะได้รสชาติที่ลงตัว มีตัวแป้งนุ่ม หอม รสชาติออกหวานนิดหน่อย”
สิ่งพิเศษสุดของขนมถังแตกร้านนี้อยู่ตรงที่ใส่ไส้เยอะ ขายถูก แถมมีรสชาติติดปากคนชิมจึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า วัตถุดิบทุกอย่างที่ใช้ต้องคัดเป็นพิเศษ งาก็ต้องใหม่ ฝอยทองก็จะสั่งทำพิเศษแบบไม่หวานมาก มะพร้าวก็ต้องสั่งเอาไม่แก่และไม่อ่อนเกินไป จนบางทีอดคิดไม่ได้ว่าให้ไส้เยอะขนาดนี้แล้วจะได้กำไรจากไหน แต่ด้วยความคิดกว้างของพ่อค้าสมัยใหม่ที่เข้าใจลูกค้า เขาจึงตอบกลับมาทันทีว่า “ลูกค้าซื้อ กินอิ่ม เราก็อยู่ได้”
“ลูกค้าเรามีทั่วไปหมด บางคนก็มาหาหมอที่โรงพยาบาลศิริราช มาซื้อยาก็แวะมาที่ร้าน บางคนเดินผ่านหลังกลับมาจากทำงาน บางทีก็เป็นนักเรียนเข้ามาซื้อ ลูกค้าบางคนก็ฝากซื้อต่อๆ กันมา ส่วนใหญ่มันเป็นเรื่องการบอกต่อปากต่อปากมากกว่า ถ้าอร่อยถูกปากลูกค้าก็จะเข้ามาซื้อเรื่อยๆ ส่วนมากลูกค้าจะซื้อไส้ฝอยทองและมะพร้าว แต่ช่วงนี้ร้านจะขายไส้ฝอยทองและเม็ดขนุนดีที่สุด”
ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ขนมถังแตกป้าติ๋มจะขายดีเป็นพิเศษ และขายดีทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะตอนเช้า กลางวัน เย็น เพราะทุกวันหยุดจะมีคนมาร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นจำนวนมาก และวันธรรมดาช่วงพักกลางวันก็ขายดีเช่นกัน ถ้าใครอยากลิ้มลองรสชาติขนมถังแตกประยุกต์ก็เชิญมาที่ร้านขนมถังแตกป้าติ๋มได้เลย
ขนมถังแตกป้าติ๋ม ตั้งอยู่บริเวณตลาดท่าน้ำพรานนก หน้าธนาคารกสิกรไทย (ใกล้โรงพยาบาลศิริราช)
เปิดบริการ : 06.00น.-18.00 น. (ทุกวัน)
ราคา : 7-10 บาท
โทร. : 08-5937-1193, 08-5110-0467
3 อันดับรสชาติที่ลูกค้านิยม
- ไส้ฝอยทอง (10 บาท)
- ไส้เม็ดขนุน (10 บาท)
- ไส้มะพร้าว (7 บาท)
ข่าวโดย M-Lite/ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร