xs
xsm
sm
md
lg

มงกุฎแห่งความฝัน “จูลี่-พัชริดา รอดคงคา”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เวทีการประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ปีนี้ดูจะฮอตกว่าปีที่ผ่านมา สาวงามแต่ละคนล้วนหุ่นดี พกความมั่นใจมาอย่างทะลักทะล้น กล้าเผยส่วนเว้าส่วนโค้งกันมากขึ้น โดยเฉพาะการสวมชุดว่ายน้ำแบบทูพีชหลากสีสัน บาดตาบาดใจหนุ่มๆ และสาวงามที่ชนะใจกรรมการในปีนี้คือสาวหน้าหวานลูกครึ่งไทย-อังกฤษ “จูลี่-พัชริดา รอดคงคา” เด็กสาวธรรมดาซึ่งใช้ชีวิตอยู่ประเทศอังกฤษมาตลอด ไม่เคยผ่านเวทีประกวดนางงามมาก่อน ไม่เคยมีประสบการณ์ในวงการบันเทิง อะไรที่ทำให้เธอมีวันนี้ ได้กลายเป็น “มิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 2011” คนล่าสุด คงเป็นเรื่องที่หลายคนอยากรู้

แม้ว่าเธออาจจะไม่ใช่สาวงามที่สวยที่สุด เด่นที่สุด แต่ด้วยความพยายาม และความตั้งใจจริง ที่ยอมตัดสินใจจากประเทศอังกฤษบ้านที่เกิดและเติบโตมา เพื่อสานฝันที่อยากเป็นนางงาม ทำให้เธอชนะใจกรรมการ และชนะใจประชาชนได้ในที่สุด ยิ่ง M-Lite ได้มีโอกาสได้พูดคุย และทำความรู้จักเธอมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเธอไม่เหมือนเด็กสาวที่โตมาจากเมืองนอก เพราะเธอมีความเป็นไทยอยู่ในตัวมาก ทั้งบุคลิกภายนอกที่อ่อนน้อม พูดภาษาไทยชัดเจนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน และมีรอยยิ้มน่ารัก ที่ใครได้อยู่ใกล้เป็นต้องมีความสุข

บินลัดฟ้าเพื่อประกวดนางงาม
เธอเกิดและเติบโตที่ประเทศอังกฤษมาตลอด จะบินกลับมาเที่ยวประเทศไทยบ้างช่วงวันหยุดประมาณปีละครั้ง และด้วยความที่คุณแม่ (จันทนา รอดคงคา) ปลูกฝังความเป็นไทยมาตลอด เธอจึงชอบวัฒนธรรมไทย เวลาว่างเธอชอบดูละครไทย ติดตามข่าวสารของวงการบันเทิงไทย และพอถึงเวลาที่เหมาะสม เธอจึงตัดสินใจบอกครอบครัวว่าอยากลองมาประกวดนางงาม และอยากเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ประเทศไทย ซึ่งทางครอบครัวเธอก็ให้ความสนับสนุน และเป็นกำลังใจให้อย่างดี
 

“จูลี่เกิดที่อังกฤษ แล้วก็เรียนที่นั่นมาตลอด ตอนเรียนจบไฮสคูลก็หยุดไปหนึ่งปี คืออยากจะรู้ว่าเราอยากทำอะไรต่อ ตอนนั้นก็ช่วยงานร้านอาหารคุณแม่ที่อังกฤษ อยู่ที่เมือง South Devon เป็นเมืองใกล้ๆ ทะเล เปิดเป็นร้านเล็กๆ ชื่อร้าน Torbay Thai Takeaway&Restaurant ขายอาหารไทย มีลูกค้าประจำทั้งคนไทย และคนอังกฤษ เขาก็รู้จัก เชียร์จูลี่ เมืองที่จูลี่อยู่ทุกคนรู้จักร้านคุณแม่ คนอังกฤษชอบกินแกงเผ็ดเป็ดย่าง, แกงเขียวหวาน, แกงมัสมั่นเนื้อ แม่จะตุ๋นเนื้อไว้เลย เนื้อก็จะนุ่ม อร่อยค่ะ จูลี่จะชอบกินน้ำพริกกะปิ, น้ำพริกปลาร้า, ส้มตำ ถ้าอยู่คนเดียวก็จะทำอาหารแบบง่ายๆ อย่างสลัดผัก, ยำ ดีต่อสุขภาพค่ะ
  

เริ่มช่วยงานที่ร้านอาหารตั้งแต่อายุ 12-13 ช่วยทุกอย่าง เสิร์ฟอาหาร รับโทรศัพท์ ดูคุณแม่ทำอาหาร ก็คอยช่วยทุกอย่าง จูลี่มองว่าการที่ได้ช่วยทำงานตั้งแต่เด็กเป็นเรื่องที่ดี ได้เรียนรู้ประสบการณ์ สอนให้รู้จักรับผิดชอบ มีเงินเก็บ ไม่ต้องรบกวนคุณพ่อกับคุณแม่ค่ะ
  

พออายุ 20 ปี ก็คิดว่าเราเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อยากลองหาประสบการณ์ อยากมาเรียนที่ไทยบ้าง เพราะไม่เคยมีโอกาสได้มาอยู่อย่างจริงๆ จังๆ ที่นี่ เคยมาเที่ยวช่วงปิดเทอมตอนเด็กๆ ก็รู้สึกว่าชอบเมืองไทยมาก ชอบทุกอย่างที่นี่
  

จริงๆ การตัดสินใจมาอยู่ที่ไทยเป็นการตัดสินใจที่ยาก เพราะจูลี่เป็นคนที่อยู่กับพ่อแม่มาตลอดตั้งแต่เด็ก คุณแม่จะสนิทกันมากเป็นเหมือนพี่สาว เป็นเพื่อน แต่ก็ใช้วิธีคุยกันทุกวันผ่าน skype ก็จะเห็นหน้ากัน แม่ก็จะให้กำลังใจตลอด
  

เหตุผลที่จูลี่ตัดสินใจย้ายมาอยู่เมืองไทยก็เพื่อเตรียมตัวประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์แล้วก็เรียนด้วยทั้งสองอย่าง ก่อนที่จะมาก็ปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ คุยกันก่อน เขาก็สนับสนุนเต็มที่อยากให้ลูกทำตามฝัน แต่ก่อนมาคุณพ่อยังอยู่ท่านก็เป็นห่วงมาก เขาจะภูมิใจกับหนู ทุกคนรู้ว่าพ่อรักขนาดไหน ที่เขายอมให้มาเพราะเขารู้ว่าเราดูแลตัวเองได้ และมีความรับผิดชอบสูง เขาก็บอกให้ดูแลตัวเองให้ดี เป็นตัวของตัวเอง ห่างจากครอบครัวประมาณปีกว่าๆ ก็คิดถึงแม่ แต่ก็ทำให้โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ เพราะต้องรับผิดชอบ ทำอะไรด้วยตัวเอง แต่ก็มีพี่ชายอยู่ด้วย เขาก็เป็นกำลังใจให้ตลอด ให้คำแนะนำเพราะเขาเป็นผู้ใหญ่
  

สำหรับเรื่องภาษาไม่มีปัญหาค่ะ คุณแม่จะสอนตลอด ที่อังกฤษก็มีคนไทยเยอะ แล้วคุณแม่จะชอบสั่งละครไทยมาดู จูลี่ก็ได้ดูละครไทยตลอด ช่วยได้เยอะเลยค่ะ แต่อยากฝึกพูดให้ชัดกว่านี้ และเก่งกว่านี้ จะมีติดตามข่าวดาราไทยตามอินเทอร์เน็ต ชอบชมพู่-อารยา, พลอย-เฌอมาลย์,อั้ม-พัชราภา เก่งๆ กันทั้งนั้น นางแบบก็ชอบโย-ยศวดี นางงามก็ชอบพี่หนูสิ-สิริรัตน เรืองศรี และปานเลขา ว่านม่วง
 
จริงๆ ตอนเด็กฝันหลายอย่างค่ะ ฝันอยากเป็นนางแบบแคตวอล์ก ด้วยความที่เราสูงด้วย แต่ต้องผอมกว่านี้ นางแบบต้องหุ่นเพรียวๆ แล้วก็มีฝันอยากเป็นนางงาม อยากเป็นนักร้องบ้าง อยากเป็นแอร์โฮสเตส ตามประสาเด็กผู้หญิงน่ะค่ะ ชอบทางด้านนี้ตั้งแต่เด็ก แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ทำ
  

การที่จูลี่เลือกเข้าประกวดเวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์เพราะเคยดูการประกวดเวทีนี้มาประมาณ 3-4 ปีแล้ว ก็รู้สึกว่าเวทีนี้สวยดี ผสมผสานระหว่างนางแบบกับนางงามด้วย ก็อยากจะลองเข้าประกวด อยากลองดูว่าจะทำได้ไหม เสน่ห์ของเวทีนี้จูลี่มองว่าดูเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจ ออกจะอินเตอร์หน่อย พอได้มาสัมผัสก็รู้สึกว่ามันไม่ง่ายเลยการเป็นนางงาม ต้องใช้ความอดทน และต้องตั้งใจจริงๆ มีความสามารถจริงๆ ต้องซ้อมเดิน ซ้อมโพส ต้องทำให้สวย ต้องจำบล็อกกิ้งมากมาย แต่ก็รู้สึกดีใจที่ได้มาประกวด ได้เจอเพื่อนเยอะด้วยค่ะ ทุกคนนิสัยดี รักกันหมด
  

สำหรับตำแหน่งที่ได้รับจูลี่คิดว่าเป็นเพราะความตั้งใจ ความเป็นตัวของตัวเองถึงทำให้ชนะใจกรรมการได้ ความหวังตอนนี้อยากจะคว้ามงกุฎมิสเวิลด์มาให้ได้ คิดว่าการที่เราเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษก็ได้เปรียบเพราะเรารู้จักวัฒนธรรมของที่นั่น อยากจะพรีเซ็นต์อะไรไทยๆ ตอนนี้ก็มั่นใจ แต่ก็ต้องฝึกทุกอย่าง ฝึกแต่งหน้าทำผมเองด้วย ต้องเก่งขึ้น เหลือเวลาประมาณเดือนกว่าๆ ตอนนี้ต้องเตรียมตัวทำหลายอย่างเลยค่ะ ฟิตหุ่น ลดน้ำหนัก ซ้อมเดิน อยากเดินให้แข็งแรงกว่านี้ เพราะเวทีเมืองนอกเขาจะเดินแข็งแรงกว่า การตอบคำถาม การเลือกชุดไทย การแสดง”
  

หลายคนคงสงสัยว่าเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ แต่ทำไมใช้ชื่อ-นามสกุลไทย ซึ่งเรื่องนี้เธอบอกว่าเป็นความตั้งใจที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อไทย เพื่อที่จะแสดงความเป็นสาวไทยเวลาเป็นตัวแทนไปประกวดบนเวทีระดับโลก อยากให้ชาวต่างชาติจดจำชื่อไทยของเธอ แต่จริงๆ แล้วเธอมีชื่ออังกฤษว่า “จูเลียน่า แบลชฟอร์ด”
  

“ชื่อที่อังกฤษชื่อจูเลียน่า แต่เพื่อนที่โรงเรียนเรียกว่าจูลี่ ก็เลยกลายมาเป็นชื่อเล่น แม่เล่าว่าก่อนที่หนูจะเกิดมีคนพูดกับแม่ แนะนำว่าให้ตั้งชื่อลูกว่าจูเลียน่า เขาเล่าว่าเจ้าหญิงฮอลแลนด์ก็ชื่อจูเลียน่าเหมือนกัน คุณแม่ก็เลยอยากตั้งชื่อนี้ให้ลูกสาว ชื่อไทยน้าสะใภ้ตั้งให้ค่ะ “พัชริดา” ความหมายว่าความเป็นผู้แข็งแกร่ง เพราะตอนนั้นอยากตั้งชื่อไทย ที่ใช้ชื่อไทยประกวดเพราะจูลี่อยากจะมีชื่อไทย แล้วเราประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์เป็นตัวแทนคนไทยก็เลยอยากจะใช้นามสกุลไทยค่ะ สมมุติถ้าได้ตำแหน่ง เวลาไปเมืองนอกจะได้พรีเซนต์ความเป็นไทยมากกว่า”

ชุดว่ายน้ำทูพีชเขินแต่ต้องมั่นใจ
สังเกตว่าการประกวดเวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์ปีนี้ ดูจะเป็นที่จับมอง หลายคนโฟกัสที่ชุดว่ายน้ำทูพีชสุดเซ็กซี่ ซึ่งบรรดาเหล่าสาวงามก็พกความมั่นใจกันแบบจัดเต็ม ตัวจูลี่เองก็สารภาพว่าตอนแรกที่เห็นชุดก็รู้สึกเขิน แต่เห็นคนอื่นใส่แล้วมั่นใจ ก็พยายามเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองมากขึ้นด้วยการหมั่นขยันซ้อม ขยันเดิน บวกกับการลดน้ำหนักอย่างจริงจังก็ช่วยให้ดูดีขึ้นได้
  

“ตอนแรกที่เห็นชุดก็รู้สึกเขินเหมือนกันค่ะ แต่พอได้ลองใส่หลายๆ ชุด เห็นทุกคนมั่นใจ เราก็มั่นใจด้วย เพราะถ้าใส่แล้วไม่มั่นใจภาพก็จะออกมาไม่สวย หลังจากนั้นทุกคนก็ระวังเรื่องการกิน เพราะไม่อยากจะมีพุง อยากจะใส่ใชุดว่ายน้ำให้ดูดี
  

แรกๆ ก็มีเกือบท้อเหมือนกันค่ะ เพราะเห็นทุกคนหุ่นดี แล้วตัวเองใหญ่กว่าเพื่อนค่ะ (หัวเราะ) ก็รู้สึกกังวลเหมือนกันค่ะ น้ำหนักจากตอนแรกวันที่มาสมัคร 66 กก. เหลือ 56 กก. ตอนเก็บตัวก็จะมีอาหารมากมายเลี้ยงพวกเรา จูลี่ใช้วิธีไม่กินแป้ง ของทอดเลย กินแต่ผัก ผลไม้ พอผ่านไปได้มันก็เริ่มชิน และก็ออกกำลังกาย ช่วงเก็บตัว เริ่มตั้งแต่วันที่สมัครวันแรก วันนี้ก็ผอมลงมา แต่ยังรู้สึกว่าไม่ได้ดีที่สุด อยากให้ผอมกว่านี้ และฟิตหุ่นให้เฟิร์ม พอผอมลงเรื่อยๆ ก็เริ่มมีความมั่นใจ มีคนบอกว่าพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ก็มีกินวิตามินบำรุง ดื่มน้ำเยอะๆ เรื่องบุคลิกก็ต้องปรับ แต่ก่อนจะเดินหลังค่อม เพื่อนนางงามก็ช่วยเหลือตลอด จะคอยดัดหลัง คอยเตือนว่าจูลี่หลังค่อมนะ พี่ที่เดินเก่งๆ ก็จะช่วยแนะนำ
  

ที่ผ่านมาได้ก็ต้องเข้มแข็ง สู้ตลอด สำหรับจูลี่คิดว่ายาก เพราะต้องลดน้ำหนัก และเป็นเวทีครั้งแรก ก็ต้องซ้อมเดินให้หนักขึ้น ซ้อมโพสท่าให้หนักขึ้น เพราะคนอื่นก็เคยผ่านเวทีมาบ้างแล้ว เขาจะเป็นแล้ว หนูก็ต้องเร็วขึ้น ต้องวิ่งตามเขาให้ทัน พอทำได้ก็ดีใจมาก ตอนประกาศเข้ารอบ 10 คนก็ดีใจแล้ว พอเข้ารอบ 5 คน ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกเลย ดีใจมาก อยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ได้ แรงผลักดันที่สำคัญมาจากคุณแม่กับคุณพ่อค่ะ ท่านคอยสนับสนุนตลอดและให้กำลังใจ ถ้าไม่มีท่านก็คงไม่มีกำลังใจขนาดนี้
 
จูลี่มองว่าการใส่ชุดว่ายน้ำแบบทูพีชก็ดีนะคะ เพราะเราได้ฝึกใส่ก่อนที่จะประกวดระดับเวทีโลก เพราะเวทีมิสเวิลด์ก็ต้องใส่ชุดว่ายน้ำแบบนี้อยู่แล้ว มันทำให้เรามั่นใจมากขึ้น ถ้าเกิดไม่ได้ใส่ แล้วไปเวทีโลกอาจจะเขิน พอไปถึงตรงนั้นมันต้องมั่นใจจริงๆ
  

ชุดที่จูลี่ชอบจะเป็นชุดราตรีค่ะ ที่เข้ารอบ 10 คน ก็เห็นชุดก่อนที่จะประกวดจริง แต่ก็คิดว่าเราคงใส่ไม่ได้ ชุดอาจจะเล็กไป หรืออาจจะใส่ไม่สวย แต่พอเข้ารอบ 10 คน เห็นชื่อจูลี่อยู่บนชุด ก็ดีใจ ที่มีโอกาสได้ใส่ ชุด 5 คนสุดท้ายยิ่งสวยมาก เก๋มากจริงๆ
 

วิธีสร้างความมั่นใจก่อนที่จะออกไปเดินบนเวทีคือ หลังเวทีเราทุกคนจะยืนเต้นกัน แล้วก็บิวท์อารมณ์ให้มั่นใจขึ้น แม่จะสอนให้หายใจเข้าลึกๆ แล้วจะทำให้ตัวเราตรงด้วย หายใจออกทิ้ง ลืมทุกอย่าง แม่จะบอกว่าเวลาเดินออกไปก็ให้นึกว่าแม่กับพ่อนั่งดูอยู่ หรือว่าเพื่อนๆ นึกว่าเดินให้เพื่อนๆ ดู ไม่ต้องกลัว แต่จูลี่ก็ตื่นเต้นอยู่แล้ว เป็นเวทีแรกด้วยก็ตื่นเต้นมาก

ความตั้งใจที่ยิ่งใหญ่
สิ่งสำคัญที่เป็นแรงผลักดันให้เธอทำตามฝัน แม้ว่าจะยากขนาดไหน ต้องใช้ความอดทน ความพยายามแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ท้อ สู้ทำตามความฝันจนสำเร็จ คืออยากจะดูแลคุณแม่แทนคุณพ่อที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย และตั้งใจอยากให้คุณแม่กลับมาอยู่ไทยด้วยกัน
 

“แรงผลักดันที่ทำให้ประกวดก็เพราะอยากจะดูแลคุณแม่แทนคุณพ่อด้วยค่ะ คิดว่าอายุ 20 ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็อยากจะมีโอกาสได้ดูแลแม่ เพราะท่านก็ดูแลเรามาตลอดชีวิตแล้ว ก็อยากจะทดแทนท่าน ตอนนี้ก็มั่นใจว่าจะดูแลคุณแม่ได้ค่ะ อยากให้มาอยู่ที่ไทยด้วยกัน คิดถึง ไม่ได้อยากจะห่างกัน เพราะตอนที่คุณพ่อเสีย หนูอยู่ที่ไทย ก็ไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก
 

ตอนที่ทราบข่าวว่าคุณพ่อเสียชีวิต หนูก็บินกลับไปเลย แต่ไม่ทันไปเจอคุณพ่อที่โรงพยาบาลท่านเสียชีวิตแล้ว เราก็เข้าไปกอด วันที่พี่ชายโทร. มา บอกว่ามีเรื่องจะบอก เราก็รู้จากน้ำเสียงว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ แต่คิดว่าเป็นคุณย่าเพราะท่านอายุเยอะแล้ว แล้วไม่ค่อยสบาย แต่พอพี่ชายบอกว่าพ่อ ตอนแรกมันไม่ซึมเข้าไป ก็ต้องขอให้พี่ชายพูดอีกที พี่ก็บอกพ่อตายแล้วนะ หนูก็ช็อกไปเลย เพราะคุณพ่อไม่ได้เป็นอะไรมาก่อน แข็งแรงมาก ทุกคนก็แปลกใจหมด คิดว่าเป็นเพราะช่วงหลังพ่อทำงานหนัก แล้วอาจจะมีเรื่องเครียด แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าคุณพ่อยังอยู่ เพราะเราไม่ได้ลา เหมือนคิดว่าเขาไปไหนสักที่นึง แล้วเขาก็จะกลับมา" (น้ำตาซึม)
 

ยิ่งได้คุยกันเธอยิ่งรู้สึกว่าเธอเป็นสาวหวาน เรียบร้อย นิสัยดี เธอบอกเป็นเพราะการเลี้ยงดูตั้งแต่เด็กที่ทั้งคุณแม่และคุณพ่อปลูกฝังความเป็นไทยให้เธอ ไม่ว่าจะเป็นการเคารพผู้ใหญ่ การมีสัมาคารวะ พูดจาสุภาพ อ่อนหวาน
 

“คุณแม่จะเน้นความเป็นไทย ท่านจะสอนให้เคารพผู้ใหญ่ตลอด ยกมือไหว้ สอนภาษาไทย คุณพ่อจะออกแนวห่วงเรื่องผู้ชาย อย่าไปเชื่อผู้ชายมากนะ เพราะท่านก็เป็นผู้ชาย ก็ค่อนข้างจะหวงลูกสาวค่ะ แต่ไม่ดุค่ะ ใจดี ถึงคุณพ่อจะเป็นฝรั่งแต่ท่านจะพูดเสมอว่าชอบความเป็นไทย คนอื่นก็จะบอกว่าคุณพ่อสอนหนูเหมือนคนไทย ท่านจะชอบความเป็นไทยที่คนไทยรักกัน
 

จูลี่มีพี่ชาย (เก่ง-เอกดนัย ธำรงค์วัฒนกุล) ที่เป็นคนไทยแม่เดียวกัน ที่อังกฤษจะมีพี่ชายพ่อเดียวกัน (จิลล์ แบลชฟอร์ด) จริงๆ จูลี่สนิทกับทั้งสองคน แต่จะสนิทกับพี่ชายที่อังกฤษ เพราะโตมากับเขา อยู่กับเขาตลอด ตอนเด็กเขาจะชอบแกล้ง ตอนนี้เขาจะภูมิใจมากที่เราได้ตำแหน่ง เขาบอกว่าเขาดีใจแทนคุณพ่อ พี่ชายทั้งสองคนจะห่วงเรามาก คอยให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา ตอนเด็กก็เคยคิดอยากจะมีพี่สาว น้องสาวเหมือนกัน แต่ไม่มีโอกาส”

ไม่มีวันลืมคุณพ่อ
บุคคลที่ที่เธอพูดถึงบ่อยๆ ก็คือคุณพ่อ ถึงแม้ท่านจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เธอก็ยังนึกถึง และพูดคุยกับท่านเสมอ ไม่มีวันที่จะลืมได้ และสิ่งที่เธอทำทั้งหมดก็เพื่อจะทำให้ท่านภูมิใจ เพราะเชื่อมาตลอดว่าคุณพ่อจะคอยอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจเสมอ
 

“ตอนเด็กจูลี่จะมีเวลาอยู่กับคุณพ่อเยอะค่ะ เพราะคุณแม่ก็ทำงานอยู่ร้านอาหาร พ่อก็ทำงานธุรกิจส่วนตัว ก็จะนั่งรถไปกับพ่อ ได้อยู่ด้วยกัน ท่านจะเรียกจูลี่ว่า “เบบี้เกิร์ล” จะสนิทกับคุณพ่อมาก ตอนเด็กๆ จะเรียกพ่อว่าพ่อจ๋า พ่อชอบให้เรียก เรียกแม่ว่าแม่จ๋า สนิทกับครอบครัวมาก เป็นครอบครัวอบอุ่น
 

ถึงวันนี้พ่อเสียไปแล้ว แต่จูลี่จะไม่มีวันลืมเลย จะพกรูปในกระเป๋าตังค์ ตอนประกวดก็ได้คุยกับคุณพ่อ ก็รู้สึกดีที่ได้คุยกับท่าน แม่เก็บกระดูกพ่อไว้ อยู่กับแม่ครึ่งหนึ่งที่อังกฤษ อยู่กับจูลี่ครึ่งหนึ่งที่คอนโด จูลี่ก็จะชอบนั่งคุยกับท่าน อยากได้กำลังใจ เชื่อว่าท่านอยู่ใกล้ๆ เพราะท่านเป็นห่วงจูลี่มาก
 

ฝันเห็นคุณพ่อตอนก่อนที่จะมาเก็บตัวในโรงแรม ก่อนประกวด จูลี่กำลังคุยกับเพื่อน แล้วมีกรรมการนั่งอยู่ แล้วเห็นคุณพ่อนั่ง อยู่กับกรรมการ มีแสงสีขาว ทองๆ เป็นประกาย แล้วท่านก็ยิ้มให้จูลี่ คุณพ่อเป็นคนที่ยิ้มแล้วมีเสน่ห์มาก หลังจากนั้นก็ตื่นขึ้นมา ท่านจะให้กำลังใจเวลาทำอะไรว่าลูกทำได้อยู่แล้ว เวลาจูลี่ตั้งใจจะทำอะไรก็จะทำให้ดีที่สุด”

แฟชั่นนิสต้า
ด้วยความที่เป็นคนรักศิลปะ และได้เห็นคุณพ่อ (ปีเตอร์ ชาร์ล แบลชฟอร์ด) ทำธุรกิจเกี่ยวกับส่งออกเสื้อผ้า ได้เห็นเสื้อผ้าแบบใหม่ๆ จึงเกิดเป็นความชอบในเรื่องของแฟชั่น และการดีไซน์เสื้อผ้า เธอจึงตัดสินใจเรียนต่อด้านแฟชั่นดีไซน์ ที่วิทยาลัยนานาชาติในประเทศไทย Raffles International Design Institute
 

“ชอบวาดรูปตั้งแต่เด็ก ชอบเล่นแต่งตัวให้บาร์บี้ ตัดผม เย็บเสื้อผ้าให้ มีซนบ้าง ชอบเอาเครื่องสำอางคุณแม่มาแต่งหน้า เลอะไปหมดเลย แม่ก็จะชอบแต่งตัวน่ารักๆ ให้ ตอนเด็กได้เห็นคุณพ่อทำธุรกิจด้านส่งออกเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ได้เห็นเสื้อผ้าที่พ่อขาย ก็เป็นความชอบ เลยพัฒนามาเป็นแฟชั่นดีไซน์ เพราะอยากเรียนอะไรที่ชอบ อยากเป็นนักออกแบบ อยากมีร้านเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง ถ้ามีโอกาสก็อยากเป็นนางแบบด้วยค่ะ อยากใส่เสื้อผ้าที่เขาทำ เรียนหนักค่ะ แต่ช่วงเก็บตัวต้องดร็อปเอาไว้ก่อน
 

สไตล์การแต่งตัวก็ชอบแต่งตัวแบบหลายแนว บางครั้งก็ชุดน่ารัก บางครั้งก็ชุดเก๋ๆ บางทีก็กางเกงยีนส์ เสื้อยืดสบายๆ ส่วนมากจะแต่งตัวสบายๆ น่ารักๆ แนววินเทจ ผสมกันหลายอย่างค่ะ เวลาออกไปข้างนอกก็ชอบใส่ที่คาดผมที่เขาฮิตๆ กัน ลายดอกไม้ ชอบสไตล์การแต่งตัวของพี่ชมพู่-อารยา, พลอย-เฌอมาลย์ ชอบแนวๆ นี้ การเลือกเสื้อผ้าของจูลี่ก็ไม่ได้จำเป็นว่าต้องเป็นแบรนด์เนมค่ะ อยู่ที่ความชอบ สไตล์ การออกแบบ ผ้า และก็สี จูลี่ชอบไปเดินสวนจตุจักรด้วยค่ะ ไปกับเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกัน ที่นั่นจะมีทุกอย่างค่ะ เครื่องประดับ เสื้อผ้า หลายแบบ”

ตัวตนน่ารัก อ่อนหวาน
ภายนอกดูเป็นสาวหน้าหวาน ที่มีบุคลิกมั่นใจ มีรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ ตัวตนจริงๆ ของเธอ เป็นเด็กเรียบร้อย เข้ากับคนอื่นได้ง่าย และมองโลกในแง่ดี เป็นผู้หญิงที่ทำให้คนรอบข้างสดใสได้
 

“คนอื่นจะบอกว่าจูลี่เป็นคนน่ารัก เข้ากับคนอื่นง่าย ไปไหนจะมีคนรักตลอด หนูเป็นคนหวาน ในความคิดหนูไม่คิดตัวเองเซ็กซี่ จะออกแนวสาวหวานมากกว่า เรียบร้อย มองโลกในแง่ดี บางทีอาจจะดีเกินไป
เวลาว่างก็จะชอบฟังเพลง เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข ทำให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง รีแลกซ์ได้ ชอบฟังทุกแนว ทั้งไทย-อังกฤษ เพลงช้า เพลงเร็ว ถ้าเป็นศิลปินไทย ชอบโปเตโต้ค่ะ เพลงฝรั่งชอบเวียนน่า ร้องเพลงพอได้ค่ะ แต่ไม่ค่อยได้ร้องให้ใครฟัง ร้องให้ตัวเองฟังมากกว่า แล้วก็จะชอบวาดรูป ชอบออกกำลังกาย เจอเพื่อน การที่เราเรียนแฟชั่นดีไซน์ก็ชอบไปช้อปปิ้ง ชอบไปเดินดูเสื้อผ้า ว่าร้านเขาจัดเป็นยังไง ชอบสเก็ตเสื้อผ้า ลายดอกไม้ กราฟฟิกดีไซน์”
 

เห็นหน้าหวานๆ เรียบร้อย น่าปกป้อง ทะนุถนอม แต่ขอบอกว่าเธอก็มีเขี้ยวเล็บไม่เบา เพราะเธอเรียนวิชาศิลปะป้องกันตัวอย่างมวยไทยไชยาเอาไว้ป้องกันตัว (ศูนย์ศึกษาสยามยุทธ์บ้านครูแปรง)
“ตอนเด็กเรียนมวยไชยาเพราะว่าดีตรงที่ถ้าจะมีคนทำร้ายเรา เราก็สามารถใช้เข่าก็ได้ ใช้เข่าป้องกัน แล้วอีกมือหนึ่งก็ตอบโต้เขาได้เลยค่ะ ใช้ป้องกันและตอบโต้ได้ในเวลาเดียวกัน ใช้แรงทั้งตัว มีเวลาก็อยากไปเรียนอีก
 

จริงๆ ชอบดูมวยตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แล้วเห็นว่ามวยไชยาแตกต่าง ท่าก็จะสวยงาม รู้สึกว่าดี พ่อก็อยากให้เรียนด้านนี้ จะได้ป้องกันตัวเอง พ่อจะได้ไม่เป็นห่วง นอกจากนั้นก็จะมีเล่นโยคะ ว่ายน้ำ เข้าฟิตเนสด้วยค่ะ เล่นเบาๆ ไม่สร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่เกิน”

คุณพ่อสั่งว่า No Boy
หนุ่มๆ เตรียมเฮ เพราะสาวสวย หวาน น่ารักคนนี้ เธอบอกว่ายังไม่มีแฟน เพราะคุณพ่อสอนตลอดเรื่องการคบผู้ชาย เธอจึงขอเลือกดีๆ และตอนนี้เธอให้ความความสำคัญกับเรื่องงาน เรื่องการเรียน เรื่องครอบครัวมาเป็นอันดับหนึ่ง
 

“ยังไม่มีแฟนค่ะ แต่มองว่าความรักเป็นสิ่งที่ดี เวลามีความรักก็จะมีความสุข คุณพ่อบอกว่า No boy ให้ดูดีๆ เวลามีคนเข้ามาจูลี่ก็จะเป็นคนที่ดูออกว่าเจ้าชู้ไหม จูลี่ไม่มีสเป็กขอให้เขาเป็นคนดีและรักเราจริงก็พอ จริงๆ ชอบคนสูง เพราะหนูก็สูง เรื่องผิวยังไงก็ได้

ตอนนี้อยากตั้งใจเรียน ทำทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน ตอนนี้ก็ดีใจมากที่ทำความฝันเป็นจริงได้ รู้สึกว่ามีเกียรติที่ได้รับมงกุฎ ดีใจที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสจูลี่ได้มายืนตรงนี้”



ชื่อ-สกุล : พัชริดา จูเลียน่า แบลชฟอร์ด
ชื่อเล่น : จูลี่
ลูกครึ่ง ไทย-อังกฤษ
วัน/เดือน/ปีเกิด : 15 มกราคม 2534
ส่วนสูง 178 ซม.
น้ำหนัก 56 กก.
สัดส่วน 33-26-37
ประวัติการศึกษา : กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 1 คณะ Fashion Design ที่ Raffles International Design Institute

ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์

ภาพโดย พลภัทร วรรณดี, ธัชกร กิจไชยภณ



















กำลังโหลดความคิดเห็น