อีกคนคือราชินีเพลงร็อก ส่วนอีกคนคือราชินียิมนาสติก ดูอย่างไรสองแม่ลูกคู่นี้ก็ช่างต่างกันราวกับเป็นแม่เหล็กคนละขั้ว เพราะคนแม่ “แหวน-ฐิติมา สุตสุนทร” มักมาในมาดสาวแกร่ง เฉียบ และเท่ ส่วนคนลูก “ปันปัน-เต็มฟ้า กฤษณายุธ” เธอคือเด็กสาวผู้แสนอ่อนหวานและสดใส อะไรทำให้ผู้ใหญ่วัย 49 และเด็กวัย 15 กลายเป็นเพื่อนซี้ต่างวัยกันได้ พื้นที่หน้ากระดาษนี้มีคำตอบ
แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่สองแม่ลูกคู่นี้ขึ้นปกนิตยสารร่วมกัน แต่นี่อาจเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ทำให้ได้เห็นแม่แหวนและน้องปันปันในมุมที่น่ารักกว่า ลึกกว่า และซึ้งมากกว่าที่ไหนๆ ที่เคยนำเสนอ ผู้สัมภาษณ์รู้สึกอย่างนั้น และเชื่อว่าผู้อ่านจะสัมผัสได้เช่นกัน หลังจากปล่อยให้ตัวเองอมยิ้มไปกับคำกระเซ้าเย้าแหย่กันเองเป็นระยะๆ ระหว่างคู่ซี้ต่างขั้วคู่นี้
เรียนทุกอย่างที่ขวางหน้า
ปันปัน-เต็มฟ้า กฤษณายุธ เรียนยิมนาสติกมาตั้งแต่อนุบาล ถูกส่งให้เข้าแข่งขันยิมนาสติกระดับยุวชนตั้งแต่ 7 ขวบ ซ้อมอย่างหนัก กระทั่งได้เป็นดาวรุ่งระดับเยาวชน เธอกวาดเหรียญทองมาแล้วหลายต่อหลายรายการ นอกจากนี้ยังได้ตำแหน่งราชินียิมนาสติกและนักกีฬาดีเด่นมาไว้ในครอบครอง ทั้งยังสามารถเป็นนักกีฬาทีมชาติอย่างที่ฝันไว้ได้
ข้อมูลดังกล่าวอาจทำให้หลายคนทึ่งในความสามารถของนักยิมนาสติกวัย 15 ปีรายนี้ แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันคือคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมด คุณแม่แหวน-ฐิติมา สุตสุนทรที่มองเห็นความสามารถของลูกและสนับสนุนจนได้ดี
“หนูเห็นคนเต้นบัลเล่ต์ในหนังสือ เห็นในการ์ตูน ในหนัง เต้นกับเพลงเพราะๆ แต่งตัวสวยๆ แต่งหน้าสวยๆ หนูก็อยากทำแบบนั้นบ้าง ก็เลยบอกคุณแม่ว่าอยากเรียน คุณแม่ก็เลยพาไปสมัครเรียนค่ะ” ปันปันเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางนักกีฬา ก่อนปล่อยให้คุณแม่ช่วยเสริมรายละเอียด
“ตอนเริ่มเรียนแค่อนุบาลเองค่ะ ไปเรียนครั้งแรกขำๆ เรียนบ้างหยุดบ้าง แต่น้องชอบคุณครูคนแรกมาก พออีกวันเปลี่ยนคนสอน น้องร้องไห้บอกไม่เอาแล้ว หนูไม่เรียนๆ (หัวเราะ) แต่ก็เรียนมาเรื่อยจนจะขึ้น ป.1 เริ่มมาเรียนจริงจังที่โรงเรียนครูอารีย์นาฏยศิลป์ ซึ่งครูอารีย์เคยเป็นครูของพี่ด้วย พี่เคยเรียนเต้นแจ๊ซกับครูครั้งหนึ่ง”
แล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อปันปันเห็นเพื่อนร่วมคลาสเรียนบัลเล่ต์คนหนึ่งออกไปแสดงโชว์ของตัวเองด้วยการตีลังกาแบบลีลายิมนาสติก เธอจึงขอเรียนยิมนาสติกเพิ่มเติม กระทั่งเริ่มเรียนอย่างจริงจัง ด้วยช่วงขาที่ยาวและความตัวอ่อนที่เธอมี โค้ชชาวจีนที่ดูแลอยู่เห็นว่าปันปันมีสรีระเหมาะกับการเป็นนักกีฬายิมนาสติก จึงช่วยผลักดันจนทำให้เธอค้นพบตัวเอง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผ่านขั้นตอนการค้นหาความสามารถพิเศษมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
“เอ... เราเรียนอะไรไปบ้างนะ แม่นึกไม่ออก มีว่ายน้ำ ไอซ์สเกต แล้วก็เทนนิส” พอพูดถึงกีฬาชนิดสุดท้าย ทั้งสองก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนอธิบายว่ามันตลกอย่างไร “เล่นเทนนิสอย่านับเลยค่ะ ไปไม่กี่ครั้งเอง เล่นก็ไม่ได้ด้วย เขาให้เดาะลูก 50 ครั้งแค่นั้นก็ทำไม่ได้แล้ว ตีก็ไม่โดน ขอครูไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็แอบไปกินขนม เสร็จแล้วก็ไม่ยอมลงมาเรียนอีกเลย” ปันปันย้อนวัยซนให้ฟัง จากนั้นแม่แหวนจึงเริ่มเล่าต่อ
“ปันปันไม่มีพรสวรรค์ด้านเทนนิสจริงๆ ตีไม่โดนเลย น่าเกลียดมาก (หัวเราะ) ก็เลยเลิกไป แล้วก็พาไปเรียนว่ายน้ำ เขาก็ดูสนุกดี แต่เราแค่อยากให้เขาว่ายเป็น ไม่ได้คิดจะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ แล้วก็เริ่มมาเรียนบัลเล่ต์นี่แหละค่ะ จากนั้นก็เรียนยิมฯ แล้วก็เริ่มเล่นไอซ์สเกต อันนี้โอเค เคยไปแข่งแล้วได้เหรียญทองด้วย แต่ก็เลิกไปเพราะคิดว่ามันอันตราย เพราะเมืองไทยไม่มีที่เล่นระดับที่จะมาเรียน Professional ต้องเรียนรวมกับผู้ชายที่เรียนฮ็อกกี้ เขาล้มเข้ามา ขาเจาะโดนขาน้องเลย ตอนนั้นซ้อมยิมฯ หนักมากด้วย ก็เลยเอาดีทางยิมฯ อย่างเดียว”
นอกจากนี้ยังมีคลาสเรียนดนตรีอย่างเปียโนและไวโอลินด้วย ในฐานะของคุณแม่ การค้นหาความสามารถพิเศษที่เหมาะกับลูกไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่แม่แหวนก็ทำสำเร็จด้วยทริกง่ายๆ คือ “ให้เขาทำในสิ่งที่เขาชอบนั่นแหละค่ะดีที่สุด”
“พยายามให้เขาได้ลองอะไรหลายๆ อย่าง แต่ที่สำคัญคือทุกอย่างที่พูดมา กีฬาทุกชนิด ปันปันเขาเป็นคนคิดขึ้นมาเองว่าอยากเรียน เราก็มีหน้าที่สนับสนุนแล้วก็คอยดูว่าเขาถนัดอะไรบ้าง อย่างบัลเล่ต์มันจะมีสอบค่ะ แล้วสอบทุกครั้ง น้องก็ทำได้ดี ผลมันชัดเจนมาก พอมาเล่นยิมฯ เขาก็ได้เหรียญทอง แต่หลังๆ พอเริ่มเป็นนักกีฬา ซ้อมหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มอิดออด คิดว่าจะทำไปเพื่ออะไร จุดมุ่งหมายอยู่ตรงไหน เป็นนักยิมฯ แล้วจะไปทำอะไรต่อ เราก็ต้องคิดต้องพยายามเป็นที่ปรึกษา หาคำตอบให้เขา”
“หนูโชคดีค่ะที่คุณแม่มีเวลาให้ บางคนเขาอยากเรียนแต่ไม่มีใครไปส่ง จัดเวลาไม่ได้ ก็ต้องเลิกไป หนูว่าหนูโชคดีที่คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนตลอด ไม่งั้นเราอาจจะไม่รู้ว่าเราอยากทำอะไร ไม่งั้นหนูก็อาจจะยังเล่นเทนนิสอยู่ก็ได้ (หัวเราะเสียงใส)” ปันปันอธิบายความรู้สึกของตัวเองแทนคำขอบคุณคุณแม่
กำลังใจจากคนรู้ใจ
นักกีฬ่าย่อมคู่กับการซ้อม ยิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นนักกีฬาทีมชาติด้วยแล้ว ยิ่งต้องซ้อมหนักกว่านักกีฬาทั่วไปหลายเท่า แม่แหวนเข้าใจความลำบากของลูกสาวดี จึงรับหน้าที่คอยไปรับไปส่ง ดูแลเรื่องคิว เป็นเพื่อนคู่คิด รวมทั้งเป็นช่างเสื้อจำเป็นด้วย เธอลงทุนถึงขั้นปักเลื่อมที่ชุดนักกีฬาให้ลูกใส่ด้วยมือตัวเองทุกครั้ง แม้ในขณะที่ต้องเตรียมขึ้นคอนเสิร์ต ยังแอบหนีบเอาชุดของลูกไปทำต่อ เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดคุณแม่ตัวจริง
“จริงๆ แล้วคุณแม่หลายๆ คนก็ทำนะ เพราะชุดที่แข่งมันไม่มีคนทำให้ไง เราก็เลยหัดทำ ซึ่งทำออกมาแล้วก็สวยเหมือนกัน (ยิ้ม) อาศัยถามๆ จากคุณแม่คนอื่นๆ ว่าเขาทำกันยังไง เราก็ทำตาม ตอนที่เขายังตัวเล็กๆ ใส่ชุดเล็กๆ ก็ใช้ปักเลื่อม แต่พอโตไม่ปักแล้ว ปักไม่ไหว ใช้ติดเพชรแทน แต่แพงกว่ามากเลย” เมื่อจบประโยค คนที่นั่งข้างๆ จึงขอพูดบ้าง ซึ่งเป็นคำพูดไม่กี่ประโยคที่ทำให้คนเป็นแม่ยิ้มแก้มปริจนสังเกตได้
“ที่จริงคุณแม่จะไม่ทำก็ได้ ไม่ต้องมานั่งปักเลื่อมให้หนูก็ได้ ให้คนอื่นทำแทนก็ได้ แต่คุณแม่ก็ทำ แล้วเวลาคุณแม่ทำให้ จะรู้สึกใส่แล้วมั่นใจค่ะ เพราะคุณแม่ปักสวย”
ในทางกลับกัน ถามว่าปันปันทำอะไรให้คุณแม่เป็นพิเศษบ้าง เวลาคุณแม่เหนื่อยๆ “ไหนลองคิดดูซิ คิดออกไหม” แม่แหวนกระเซ้าลูกสาวอย่างเอ็นดู “ช่วย... (นิ่งคิด) ช่วยพูดคุยค่ะ” คำตอบซื่อๆ ใสๆ ของปันปัน ช่วยสร้างเสียงหัวเราะให้แก่คนเป็นแม่อีกครั้ง สาวน้อยวัย 15 แสดงอาการเก้อเขิน เอียงหน้าซบไหล่คุณแม่ ก่อนขยายความสิ่งที่จะพูดเพิ่มเติม “ช่วยพูดคุยสิ่งที่ดีๆ ช่วยหิ้วของ เทน้ำให้คุณแม่ดื่มเวลาคุณแม่เหนื่อย แล้วก็ให้กำลังใจคุณแม่ค่ะ”
“คิดออกแล้ว” แม่แหวนช่วยลูกสาวคิด “ทุกวันนี้เขาก็ช่วยติดขนตาปลอมให้ด้วย เพราะเรามองไม่เห็น (หัวเราะ) เวลาไปออกงานแล้วไม่มีช่างแต่งหน้า เขาก็จะช่วยติดขนตาให้ประจำ”
“แล้วก็ช่วยให้คำแนะนำเรื่องสไตล์การแต่งตัวด้วยค่ะ บางทีใส่เสื้อตัวนี้แล้วพุงใหญ่ก็จะบอก” ปันปันพูดเสริม แม่แหวนหัวเราะถูกใจ “บางทีเรารีบๆ แต่งตัว ปันปันเขาก็จะบอกว่าหม่ามี้ใส่อย่างนี้ไม่ดีเลยนะ ไม่เอาๆ ไม่ถูกกาลเทศะ หรืออย่างตอนคอนเสิร์ตที่เชียงใหม่ เขาเคยไปดูเรา พอลงมาจากเวทีเขาวิจารณ์เลยนะ บอกวันนี้ดีนะ มุกผ่าน แต่บางทีก็บอกมุกนี้ฝืดนะ ไม่โอ อะไรแบบนี้” คุณแม่ชาวร็อกพูดถึงลูกสาวด้วยแววตาเอ็นดู
หัดดูแลตัวเอง
ระหว่างที่บทสนทนากำลังดำเนินต่อไป ปันปันหยิบถ้วยชาขึ้นมาเพื่อรินน้ำให้ตัวเองและคุณแม่ดื่มแก้กระหาย แม่แหวนหันไปเตือนลูกสาวเบาๆ ว่า “เทดีๆ นะ ระวังหก” จึงทำให้ผู้สัมภาษณ์ได้ข้อมูลใหม่จากการยืนยันของปันปันเองว่า “ปกติเป็นคนซุ่มซ่ามค่ะ ชอบทำของตกแล้วก็ชอบลืมของ (หัวเราะแบบเขินๆ)” พูดจบ คุณแม่จึงเริ่มอธิบายเหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
“คงเป็นเพราะคุณแม่จะทำนู่นนี่ให้เขาตลอด เพราะที่ผ่านมาเราเห็นว่าเขาเหนื่อย ตื่นหกโมงเช้าไปโรงเรียน กลับจากโรงเรียนเลิกสี่โมง รับจากโรงเรียนไปโรงยิม พอเลิกสามทุ่มกลับบ้าน มีการบ้านก็ทำ ไม่มีก็นอน แล้วเขาจะเอาเวลาตรงไหนไปทำ เราก็เลยทำให้เขาทุกอย่าง เขาก็เลยทำอะไรเองไม่ค่อยเป็น พอจะหยิบจับอะไรก็หล่นไปหมด แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นแล้วค่ะ หลังจากเขาไปเก็บตัวเป็นนักกีฬาที่ต่างประเทศ พี่ไม่ได้ไปกับเขา เขาไปเอง ต้องดูแลตัวเอง เลยเริ่มทำเป็น”
ปันปันรับหน้าที่ขยายความต่อ “ประมาณ 3 ปีที่แล้วถูกส่งไปฝึกที่จีนค่ะ เป็นครั้งแรกที่ไปอยู่ที่อื่นแล้วไม่มีคุณแม่ไปด้วย ไปกับเด็กคนอื่น 8-10 คน ไปนอนรวมกัน ตื่นเช้ามาก็ไปซ้อมยิมฯ ต้องซักเสื้อผ้าเอง ต้องทำทุกอย่างเองเพราะไม่มีใครมาดูแลเราเหมือนที่แม่ทำให้ เขาดูแลเราในฐานะนักกีฬา ไม่ได้ดูแลเหมือนคนในครอบครัว แล้วเด็กขนาดนั้น ไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วยตลอดหนึ่งเดือน มันก็... เฮ่อ! (ถอนหายใจเพราะอธิบายความรู้สึกไม่ถูก) ปกติถ้าคุณแม่อยู่ หนูก็จะอ้อนแม่ได้ จะบอกคุณแม่ได้ว่าปันเหนื่อยจังหม่ามี้ อยากพัก คุณแม่ก็จะให้พัก จะช่วยคุยกับโค้ชให้”
“ตอนไปแข่งที่คาซัคสถานเมื่อต้นปีก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาได้ฝึกตัวเอง เขาก็มาบ่นให้พี่ฟังว่าปันปันต้องล้างจานทุกวันเลย (ทำน้ำเสียงอ้อนเลียนแบบลูกสาว) แล้วพอเขากลับมาได้สักอาทิตย์กว่า คุณแม่ก็ไปอเมริกา เขาก็เลยต้องดูแลตัวเอง จัดของเอง ตอนนี้ก็เลยทำทุกอย่างเองได้แล้ว (ยิ้ม) เหลือแค่เรื่องงานบ้านนี่แหละค่ะที่ต้องหัดกันต่อไป บอกเขาว่าเขาจะได้ดูแลตัวเองได้ เวลาไม่มีใครอยู่ดูแลลูก”
“หลังๆ เวลาคุณแม่บอกเดี๋ยวแม่ทำให้ ปันก็จะบอกไม่ต้องๆ เดี๋ยวปันทำเอง เพราะรู้สึกว่าตัวเองทำแล้วเร็วกว่า” ปันปันหันไปยิ้มหยอกเย้าคุณแม่เมื่อพูดจบประโยค
กลัวลูกเจ็บ
สำหรับคนเป็นแม่ ความเจ็บปวดของลูกย่อมเป็นสิ่งสุดท้ายที่อยากให้เกิดขึ้น แม่แหวนจึงเฝ้าคอยสังเกตสุขภาพร่างกายของลูกเป็นประจำ กลัวว่าปันปันจะบาดเจ็บเรื้อรังเหมือนนักกีฬาคนอื่นๆ
“พยายามจัดสรรการเล่นสำหรับเขา ไม่ให้หนักเกินไปเพราะกลัวเขาเจ็บค่ะ เพราะมีหลายคนเล่นยิมฯ แล้วบาดเจ็บ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่เราเป็นห่วงมาก นักกีฬาส่วนใหญ่พอบาดเจ็บก็ต้องเล่นไปรักษาไป จนหมดอายุการใช้งาน อายุเกินขีดจำกัดนักกีฬาแล้ว เขาก็หาเด็กใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งเราไม่ได้อยากให้ลูกมีชีวิตแบบนั้น ก็เลยต้องพยายามสังเกตเขาตลอดเวลา” แม่แหวนพูดให้ฟังด้วยสีหน้ากังวล
“เมื่อเร็วๆ นี้เขาก็เพิ่งจะเจ็บช่วงหลัง เป็นช่วงรอยต่อระหว่างหลังและก้น เพราะว่าตัวเขาอ่อนมาก เวลาเขาหักตัวแล้วตัวเขาจะพับไปบนรอยต่อนั้นพอดี พอทำบ่อยๆ เข้า มันก็เลยบาดเจ็บ ยิ่งช่วงก่อนไปคาซัคสถาน เป็นช่วงที่ซ้อมหนักมาก มีโค้ชมาติวเข้ม คุณแม่ก็เลยหาข้อมูล ถามคนที่ทำงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การกีฬา เลยรู้ว่าเป็นเพราะช่วงหลังช่วงอื่นของน้องไม่ได้ถูกดัดให้อ่อน แต่ไปหักตรงรอยต่อนั้นที่เดียว เลยทำให้บาดเจ็บ แต่ถ้าตรงอื่นอ่อนด้วย มันจะสมดุล รอยต่อตรงนั้นจะได้ไม่ต้องรับน้ำหนักเยอะอยู่ที่เดียวเวลาพับตัว มันละเอียดอ่อนมากค่ะ แล้วเราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ เพื่อความปลอดภัยของลูกเรา”
แท้จริงแล้วอาการบาดเจ็บเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนักกีฬา แต่ถ้าเลือกได้หัวอกคนเป็นแม่ก็ไม่อยากให้ลูกเสี่ยง จึงทำให้คุณแม่ขาร็อกต้องหันมาทบทวนเรื่องการเป็นนักกีฬาของลูกอีกครั้ง
“นักกีฬาแต่ละคนจะเจ็บไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเจ็บซ้ำๆ อยู่ที่เดิม มีเด็กคนหนึ่ง เขาซ้อมจนตรงน่องบวมออกมาเป็นถุงน้ำ ต้องไปผ่าตัดก็มี พอเห็นแบบนี้เราก็เริ่มกลัวว่าการที่ลูกต้องมาทุ่มเทให้ตรงนี้เพื่อแลกกับอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นมาภายหลัง ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ยิ่งถ้าขึ้นไปเป็นนักกีฬาระดับสูงไปอีกยิ่งจะหนัก คือตอนนี้เขาเป็นนักกีฬาทีมชาติระดับประชาชนอยู่แล้ว แต่ถ้าจะเตรียมตัวสำหรับไปแข่งซีเกมส์ เขาก็ต้องซ้อมหนักมากขึ้นไปอีก หลังๆ พี่เลยเริ่มกลัวว่ามันจะส่งผลไม่ดีต่อน้อง ก็เลยมาคิดๆ ดูอีกที” คนเป็นแม่พูดอย่างไม่มีวี่แววเสียดายตำแหน่งนักกีฬาทีมชาติของลูกแม้แต่นิดเดียว
เลิกเป็นนักกีฬาทีมชาติ!
อาการบาดเจ็บของน้องคือหนึ่งเหตุผลที่ทำให้กลับมาคิดเรื่องอนาคตการเป็นนักกีฬาทีมชาติต่อไป และดูเหมือนว่าทั้งคู่จะคิดตกแล้ว โดยบอกกับคู่สนทนาว่า “พี่บอกที่นี่เป็นที่แรกเลยนะเนี่ยว่าจะเลิกเป็นนักกีฬายิมฯ แล้ว ตอนนี้น้องก็เลิกมาได้เกือบเดือนแล้วค่ะ” ทั้งยังเปิดใจอธิบายเบื้องลึกเบื้องหลังที่ค่อนข้างซับซ้อนให้ฟังว่าเหตุใดจึงตัดสินใจเช่นนี้
“มันเป็นช่วงที่พี่ไปทัวร์คอนเสิร์ตที่อเมริกาพอดี ระหว่างนั้นปันปันเก็บตัวเพื่อเป็นทีมชาติซีเกมส์อยู่ แล้วทางโรงเรียนบัลเล่ต์เขามีจัดแสดง อยากให้น้องเต้น เป็นงานที่จัดร่วมกับโรงเรียนญี่ปุ่นเพื่อสมทบทุนสึนามิ แล้วก็มีทางแกรมมี่ติดต่อเข้ามาด้วย บอกว่าอยากให้น้องไปร่วมแสดงคอนเสิร์ตพี่เบิร์ด ปันปันก็โทร.มาปรึกษาพี่ บอกว่าเอายังไงดี คิวเต็มไปหมด พี่ก็บอกให้น้องตัดสินใจเอง อะไรที่ทำแล้วชอบ มีความสุขก็ทำไปเถอะ แต่ว่าต้องจัดเวลาให้ดี ปรากฏว่าเขาก็เลือกมาทางเต้นหมดเลย หยุดไปยิมฯ สองอาทิตย์ ซึ่งแสดงว่าเขาเลือกด้วยตัวของเขาเองแล้วว่าเขาจะไม่ไปซีเกมส์”
หากต้องการเก็บตัวเพื่อเดินทางไปแข่งซีเกมส์ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ นักกีฬาไม่สามารถขาดการซ้อมนานๆ ได้ ซึ่งปันปันรู้กฎข้อนี้ดี และรู้ว่าถ้าเลือกซ้อมเต้นในงานคอนเสิร์ตเป็นเวลาสองอาทิตย์ จะถือเป็นการสละสิทธิ์การเป็นนักกีฬา แต่สุดท้ายเธอก็เลือกจะเต้นบัลเล่ต์และโชว์เต้นบนคอนเสิร์ตมากกว่า แม่แหวนจึงเคารพการตัดสินใจของลูกและยินดีสนับสนุนทุกทางที่ปันปันเลือกเดิน
“ตอนนี้คุณแม่ก็เลยไม่พูดไม่ต่อรองแล้ว รู้แล้วว่าถ้าเขาอยากเต้น ถึงทางยิมฯ จะรับปันปันไปเก็บตัวต่อ ลูกจะไม่แฮบปี้แล้ว เพราะว่าเขาชอบมาทางนี้แล้ว ตามใจเขาดีกว่าค่ะ”
จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้หลายคนอาจมองว่าปันปันเลิกเป็นนักกีฬาอย่างง่ายดาย เพียงเพราะต้องการมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง แต่แท้จริงแล้วเรื่องเรียนต่างหากคือสาเหตุหลักที่ทำให้แม่ลูกคู่นี้ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะเดินบนเส้นทางสายใหม่ เส้นทางที่พวกเขาเลือกเอง
“ที่จริงเราคิดกันมาเป็นปีแล้วค่ะเรื่องจะเลิกเป็นนักกีฬา คิดมาตั้งแต่ตอนที่น้องยังไม่มีอาการบาดเจ็บเลย ตั้งแต่ปีที่แล้วที่เขาไปสอบชิงทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนได้ที่หนึ่ง ได้ทุนเรียนฟรีที่อเมริกา 10 เดือน (สอบด้วยคะแนนภาษาอังกฤษ ไม่เกี่ยวกับความสามารถด้านกีฬา) เราก็เลยมาปรึกษาทางอาจารย์ที่ยิมฯ แต่เขาบอกว่าเขาอยากปลุกปั้นให้น้องไปซีเกมส์ เราก็เลยตัดสินใจทิ้งทุนไป ซึ่งน่าเสียดายมาก” ว่าแล้วปันปันก็ช่วยขยายความว่าน่าเสียดายขนาดไหน
“การที่จะได้ทุนฟรี ฟรีหมดทุกอย่างแบบนี้ ทั้งค่าเรียน ค่าที่พัก มันหาไม่ได้แล้ว เทียบกับเล่นยิมฯ ตอนนั้น จริงๆ แล้วหนูอยากไปอเมริกามากกว่านะ” และเมื่อโอกาสเวียนมาบรรจบอีกรอบ เธอจึงไม่อยากปล่อยโอกาสดีๆ ทางการเรียนให้หลุดมือไปอีก
“เมื่อตอนต้นปี เขาเปิดให้สอบชิงทุนโรงเรียนนานาชาติฮาโรว์ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ใหญ่และมีชื่อของอังกฤษที่มาตั้งในเมืองไทย แล้วน้องก็สอบได้ ก็เลยคุยกันว่าไหนๆ ไม่ได้ไปทุนอเมริกาครั้งนั้นแล้ว เราก็เรียนเมืองไทยนี่แหละ จะได้มีโอกาสทำอะไรได้หลายๆ อย่างพร้อมกับเรียนภาษาอังกฤษไปด้วย ได้เต้นบัลเล่ต์ ได้ขึ้นคอนเสิร์ตอย่างที่น้องอยากทำ ซึ่งพี่ก็สนับสนุนค่ะ” คุณแม่คู่คิดพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
ชีวิตมีมากกว่านั้น
นักกีฬาส่วนใหญ่ในเมืองไทย มักมุ่งด้านกีฬาเพียงอย่างเดียว ส่วนด้านการเรียน อาจไม่เน้นมากนัก แต่สำหรับคนรักเรียนอย่างปันปันแล้ว เธอไม่อยากให้โอกาสทางการเรียนต้องลดลงเพราะให้ความสำคัญกับด้านกีฬาอย่างเดียว “หนูไม่อยากให้ชีวิตมีแค่กีฬาอย่างเดียวค่ะ” เธอบอกอย่างนั้น
“นักกีฬาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เรียน ตอนนี้ดร็อปเรียนกันไปหมดแล้ว ออกจากโรงเรียนเลยก็มี แล้วก็มาอยู่ที่ค่ายกันหมด ซึ่งหนูดร็อปไม่ได้เพราะหนูไม่ใช่เด็กโรงเรียนกีฬาที่ชีวิตเน้นเรื่องกีฬาอย่างเดียว หนูยังอยากเน้นด้านวิชาการอยู่ แต่ถ้าหนูเลือกจะเป็นนักกีฬายิมฯ ต่อจริงๆ หนูก็ต้องดร็อปเรียนไปอยู่ค่ายเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งหนูทำไม่ได้ค่ะ เพราะเพิ่งสอบได้ทุนมา จะมาขอดร็อปตอนเปิดเรียนเลยก็ไม่ได้ อีกอย่างถ้าจะเลือกยิมฯ ก็ต้องทิ้งทุกอย่างหมดเลย ทั้งบัลเล่ต์ คอนเสิร์ต แล้วก็ทุนโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งหนูเคยทิ้งทุนอเมริกาไปแล้วหนหนึ่งแล้ว คุยกับคุณแม่แล้วก็คิดเหมือนกัน เลยคิดว่าหนูจะไม่ทิ้งเรื่องการเรียนอีกแล้วค่ะ”
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ตัดอาชีพนักกีฬาทิ้งอย่างไม่เสียดายคือเรื่องเวลา ตอนที่ยังเป็นนักกีฬายิมนาสติก ปันปันแทบไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่เคยได้กินข้าวพร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูก คนอื่นอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับปันปันแล้ว เธอคิดว่าการได้ใช้เวลากับครอบครัวคือการชาร์จพลังที่สำคัญมาก
“ช่วงที่เรียนยิมฯ ก็สงสารคุณแม่มาก ต้องไปรับไปส่งตลอด คุณแม่เหนื่อยมาก อีกอย่างคือแทบไม่มีเวลาครอบครัวเลย เราไม่ได้เจอกันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูกเลย เช้าก็ไปเรียน ซ้อมยิมฯ กลับถึงบ้าน 4-5 ทุ่ม พ่อก็หลับแล้ว ตื่นเช้าไปโรงเรียน พ่อก็ยังไม่ตื่น บางทีก็ต้องไปค้างที่ยิมฯ ไม่ได้เจอกัน 3-4 วัน ไม่ได้กินข้าวเช้าด้วยกันเลย พอเที่ยงคุณแม่ก็ต้องซื้อข้าวไว้ให้กินในรถ พอทำแบบนี้นานๆ เข้า มันเครียดเหมือนกันนะคะ รู้สึกเหมือนไม่ได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง”
ถามว่าปันปันไม่รู้สึกเสียดายบ้างหรือที่ต้องยุติเส้นทางนักยิมนาสติกไว้เพียงเท่านี้ เธอตอบว่า “ก็มีบ้างค่ะ คือตอนเล่นยิมฯ หนูคิดว่าหนูอยากเป็นทีมชาติ คำว่าทีมชาติน่ะค่ะ มันรู้สึกเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก ใครๆ ก็อยากเป็น แต่พอตอนนี้เราได้เป็นทีมชาติแล้ว ก็เหมือนกับเราได้ทำสิ่งที่หวังไว้แล้วค่ะ ถึงจะแข่งอีกกี่แมตช์ก็ไม่สำคัญแล้วในความคิดหนู เพราะหนูได้ทำสิ่งที่อยากทำแล้ว”
เชื่อว่าหลายคนคงเสียดายที่ไม่ได้เห็นปันปันบนสนามซีเกมส์ ถ้ามีใครที่คอยเชียร์เธออยู่ สาวน้อยอดีตนักยิมนาสติกคนนี้ฝากบอกมาว่า “อยากให้เข้าใจว่าหนูก็อยากเลือกทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับหนู เป็นสิ่งที่ชอบมากที่สุด ที่สำคัญคือทางเลือกนี้หนูไม่ต้องทิ้งการเรียน แล้วก็อย่าลืมไปดูคอนเสิร์ตที่หนูขึ้นแสดงนะคะ” เธอปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะใสๆ
นักร้อง นักเต้น หรือนักแสดง?
ถ้าปันปันจะเอาดีบนเส้นทางสายบันเทิง ดูเหมือนว่าจะมีทางเลือกที่หลากหลายอยู่เหมือนกัน เพราะเธอเคยขึ้นร้องเพลงคู่กับคุณแม่ในคอนเสิร์ตครบรอบ 25 ปี แหวน ฐิติมา ทั้งยังถนัดเรื่องเต้น โดยเฉพาะเต้นบัลเล่ต์ และล่าสุดกำลังจะได้แสดงในงานคอนเสิร์ตสุดอลังการของพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ นอกจากนี้ แม่แหวนยังส่งลูกสาวเข้าคลาสการแสดงไว้เรียบร้อยแล้ว ถามว่าปันปันวาดฝันในวงการไว้แค่ไหน เด็กสาววัย 15 ปีคนนี้จึงให้คำตอบด้วยความคิดแบบผู้ใหญ่เกินกว่าที่เราคาดคิดไว้
“หนูไม่ได้หวังอะไรมากค่ะ มันจะมามันก็มา เราไม่สามารถจะไปกำหนดได้ว่าเราจะดังขนาดไหน หรือคนจะชอบเรามากขนาดไหน มันขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของเราด้วย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้หรือสอนกันได้ แต่หนูจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่หนูเอาไปใช้ได้จนแก่ ซึ่งก็คือเรื่องการเรียน หนูอยากจะมีอาชีพที่ดีค่ะ”
“หนูว่าคนที่ประสบความสำเร็จในวงการบันเทิงมันน้อย และมันก็แค่เป็นส่วนหนึ่งของคนที่ไม่ประสบความสำเร็จหรือผิดหวังไปแล้ว ซึ่งตอนนี้เราไม่เห็นตัวของเขา เขาไปทำงานตรงไหนแล้วเราก็ไม่รู้ สมมติว่าช่วงเราแก่ ถ้าเราเน้นวงการบันเทิงอย่างเดียว ไม่สนใจเรื่องเรียน เราคงไม่รู้จะทำอะไรต่อ เพราะเราไม่มีความรู้อย่างอื่น หนูก็เลยอยากจะเน้นความรู้พื้นฐาน เผื่อทำเป็นอาชีพที่แน่นอนมั่นคงในอนาคต”
นิสัยรักการเรียนแบบนี้ เดาว่าต้องถ่ายทอดมาจากผู้ปกครองแน่นอน เพราะแม่แหวนเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องการเรียน เป็นนักร้องไปพร้อมๆ กับคว้าปริญญาบัณฑิตจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ จึงสนับสนุนเรื่องเรียนมาก่อน ส่วนงานในวงการ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจะดีกว่า
“โอกาสจะได้ทำงานในวงการมีมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา แต่สิ่งที่แน่นอนคือต้องเรียนหนังสือให้จบ ต้องทำให้สำเร็จ แล้วเวลาที่เหลือ คนเราต้องมีเวลาที่เหลือค่ะ เราค่อยมาทำส่วนอื่นๆ อีกไม่นานเราก็เรียนจบแล้ว พอเรียนจบเราค่อยมาคิดอีกทีเป็นสเต็ปไป ตอนนี้น้องก็กำลังเข้าเรียนการแสดงที่เอ็กแซ็กท์ คาดว่าอีกไม่นานจะไปเรียนดนตรีแล้วก็ร้องเพลง ถึงตอนนั้นค่อยมาดูกันอีกทีว่าเขาทำอะไรได้ดี แล้วเราค่อยสนับสนุนเขา”
“หนูรักหม่ามี้ค่ะ”
เห็นสนิทกัน สามารถหยอกล้อพูดคุยกันได้เหมือนเพื่อนซี้แบบนี้ บางครั้งก็มีช่วงเวลาเครียดๆ และระบายอารมณ์ใส่กันบ้าง แต่เพราะทั้งสองเข้าใจความต่างของกันและกัน จึงทำให้แม่ลูกคู่นี้มีความสุขเสมอที่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน
“ด้วยวัยพี่ด้วยมั้ง เป็นเพราะวัยทองหรือเปล่าก็ไม่รู้ ก็บอกเขาเหมือนกันว่าช่วงนี้จะหงุดหงิดหน่อยนะ แต่ปันปันเขาไม่เป็นนะ เขาไม่เคยหงุดหงิดใส่เราเลย แต่เวลาเราหงุดหงิด เขาจะเป็นคนรับไปเต็มๆ เลย เสร็จแล้วก็จะเงียบ ปล่อยให้เราอารมณ์เย็น แล้วก็จะบอกว่ามันไม่ได้ผิดที่ปันนะ (หัวเราะ) ก็ภูมิใจในตัวเขาค่ะ เขาทำอะไรๆ ได้ดีในหลายๆ อย่าง แต่เราก็ไม่ได้ไปคาดหวังเรื่องความสามารถของเขามาก มีความรู้สึกว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราหวังก็ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด สิ่งที่เราดีใจก็คือการที่เขาเป็นเด็กที่ดี เขาไม่เกเร แค่นี้ก็พอแล้ว”
หันมาถามคนเป็นลูกบ้าง ถามว่าอะไรคือส่วนที่ชอบที่สุดในตัวแม่แหวน คนถูกถามยิ้มใสๆ และให้คำตอบน่ารักๆ ว่า “หนูชอบเดินห้างกับคุณแม่ค่ะ เดินกับใครก็ไม่สนุกเท่าเดินกับแม่ เวลาไปกับเพื่อนก็โอเค แต่ไปกับคุณแม่สะดวกกว่า คุณแม่ช่วยเลือกได้ทุกอย่าง เพราะเราเดินด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แม่จะรู้หมดว่าหนูชอบ-ไม่ชอบอะไร รู้เหมือนที่เรารู้หมดเลย แต่เวลาเดินกับเพื่อน ความคิดแตกต่างกัน ก็เดินเฮฮากันไป แต่กับคุณแม่ ความคิดเราตรงกันทั้งเรื่องการชอปปิ้งแล้วก็การกิน ไปกับคุณแม่สนุกที่สุดแล้วค่ะ”
คุณแม่เท่ไหม ภูมิใจในตัวคุณแม่ไหม? เสียงใสๆ ตอบกลับมาทันทีที่ถาม “คุณแม่ไม่เท่ แต่คุณแม่น่ารัก (ทั้งแม่ทั้งลูกยิ้มชื่นมื่นพร้อมๆ กัน) อยู่ที่บ้านคุณแม่ไม่ได้เป็นคนเท่ แต่คุณแม่เป็นแม่บ้าน เป็นแม่ศรีเรือน คุณแม่ทำอาหารเก่ง ดูแลบ้าน ดูแลทุกคน อยู่ที่บ้านก็ไม่ได้จะเป็นร็อกเกอร์สาว เท่ๆ คุณแม่ทำอาหารอร่อยค่ะ ทำให้กินเกือบทุกมื้อเลยแล้วก็อร่อยหมดเลย ชอบสปาเกตตีฝีมือคุณแม่ที่สุด”
“ถ้าเป็นที่โรงเรียน ก็มีเพื่อนมาชมคุณแม่ให้ฟัง บอกว่าแม่เราน่ะเป็นแฟนคลับของแม่เธอเลยนะ แม่เพื่อนฝากมาขอลายเซ็นคุณแม่ด้วย เพื่อนหลายคนก็เลยกลายเป็นแฟนคลับแม่ไปเลย มาขอลายเซ็นแม่เรา ก็จะรู้สึกว่าคุณแม่เท่มาก ภูมิใจค่ะ”
บอกรักกันบ่อยไหม “วันเว้นวันค่ะ (หัวเราะ) บางทีก็บอก บางทีก็ไม่บอก” ปันปันพูดด้วยท่าทีทะเล้น ก่อนปล่อยให้คุณแม่เป็นคนอธิบาย “เขาจะชอบพูดว่ารักหม่ามี้ (ลากเสียงยาว) เราก็มีตอบเหมือนกัน บอกว่า I love you too” อีกครั้งที่ต้องบอกว่าสองแม่ลูกคู่นี้น่ารักจริงๆ
---ล้อมกรอบ---
เงาสะท้อนจากแม่สู่ลูก
ลองให้แม่แหวนและลูกปันปันพูดถึงตัวตนของกันและกัน แม่แหวนนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนเริ่มเป็นคนแรก
“เขาเป็นเด็กที่รับผิดชอบมาก มีสมาธิ พูดแล้วมันจะดีหมดเลยนะ (หัวเราะ) แล้วก็เป็นเด็กที่มีความตั้งใจ ที่สำคัญคือเขาเป็นคนมีน้ำใจ อันนี้ต้องยกประโยชน์ให้คุณพ่อของเขา (ปุ๊-กรุงเกษม กฤษณายุธ) คุณพ่อเขาเป็นคนมีน้ำใจค่ะ เพื่อนเยอะมาก โดยเฉพาะสมัยหนุ่มๆ และทุกคนดีกับเขาหมดเลย เขาก็เลยเอาสิ่งเหล่านี้มาสอนลูก แล้วก็เอามาตั้งชื่อลูก “ปันปัน” เพราะอยากให้ลูกเป็นคนดี มีน้ำใจ รู้จักเสียสละ แล้วก็แบ่งปัน”
ถึงคราวปันปันพูดถึงคุณแม่บ้าง “คุณแม่เป็นคนที่อดทน ตั้งใจ แล้วก็เป็นคนที่รักลูกมาก (ลากเสียง) อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี ที่หนูเป็นอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะคุณแม่คุณพ่อสอนให้รู้จักคิด รู้จักตัดสินใจในการดำเนินชีวิต รู้จักใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น แล้วก็ทำประโยชน์ร่วมกับสังคมค่ะ”
“โห! ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลย” แม่แหวนกระเซ้าลูกตบท้าย
รักเราไม่ทิ้งกัน
นับวันหนูน้อยปันปันจะยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนี้หลายคนเริ่มเห็นแววสาวสวยเจ้าเสน่ห์ในอนาคตแล้ว ในฐานะคุณแม่ ถามว่าหนักใจมากน้อยแค่ไหนที่น้องโตเป็นสาวขึ้นทุกวันๆ และอาจมีหนุ่มๆ แห่เอาขนมจีบมาแจกเป็นระยะๆ แม่แหวนอมยิ้มแล้วให้คำตอบสบายๆ ตามสไตล์ ฟังแล้วอดยิ้มไปกับแม่ลูกคู่นี้ไม่ได้จริงๆ
“ก็คิดอยู่เหมือนกัน คิดว่าไม่เห็นมีใครมาจีบมันสักคนเลย (หัวเราะ) เขายังมีความเป็นเด็กอยู่เยอะค่ะ ไม่เห็นจะคิดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ พี่ก็ไม่ได้ไปกำหนดกะเกณฑ์อะไรเขามากมาย แต่จะบอกว่าช่วงเรียนหนังสือ ถ้าเป็นไปได้ก็อย่ามีเลย มันเสียเวลาเรียน เพราะเขาชอบเรียนไงคะ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะยังไง คงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนเรื่องข่าวกุ๊กกิ๊กในวงการ ถ้ามันจะมี พี่คิดว่าเราสอนลูกให้เป็นคนดีพอสมควร เขาน่าจะคิดได้ ไม่ทำตัวเสียหายค่ะ”
ถามว่าถ้าวันหนึ่งเกิดชอบใครขึ้นมา ปันปันจะกล้าปรึกษาคุณแม่ไหม แม่แหวนตอบว่า “ทุกวันนี้เวลาชอบใคร ก็จะมาเล่าให้ฟังตลอด บอกชอบคนนี้มาก แต่ส่วนใหญ่เป็นดารานะ เป็นคนที่เขาปลื้มๆ ส่วนใหญ่จะชอบคนคิ้วเข้มๆ น่ะ (หัวเราะ) แต่จริงๆ เขาก็คุยกับคุณพ่อเรื่องนี้เหมือนกันนะ คุณพ่อว่าไงบ้างลูก” หน้าที่การตอบคำถามจึงถูกโอนมาให้ปันปันอีกครั้ง
“พ่อบอกว่าแค่ชอบคนที่จริงใจกับเราก็พอ ประมาณว่ารักเราไม่ทิ้งกันค่ะ (ยิ้มแฉ่ง) แต่ตอนนี้ยังไม่ได้คิดเรื่องแบบนี้เลยค่ะ เต้นอย่างเดียว (หัวเราะ)”
คุณแม่ของคุณแม่
สิ่งที่แม่แหวนถ่ายทอดให้น้องปันปัน แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากสิ่งที่คุณยายส่งต่อให้แม่แหวนอีกที โดยเฉพาะความเป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียนที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กหญิงฐิติมา สุตสุนทร
“คุณแม่ของพี่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องเรียน เขาจะให้ลูกหมดเลย เขาอยากให้ลูกเรียนหนังสือสูงๆ ไม่ว่าค่าเรียนเท่าไหร่ เขาจะทุ่มเทให้ แต่เผอิญว่าเราได้เป็นนักร้องตั้งแต่ตอนเรียนปี 3 พอเราหาเงินเองได้ เขาก็ไม่ต้องจ่ายค่าเรียนให้เราแล้ว แต่สิ่งที่เขาส่งมาให้เราแล้วเรารับรู้ได้คือคุณแม่เขาจะรักลูกมาก ตื่นเช้ามาก็ทำกับข้าวให้ ส่งลูกไปโรงเรียน เหมือนที่เราทำให้ลูกของเราในตอนนี้ แต่สิ่งที่ต่างกันคือคุณแม่มีลูกตั้ง 4 คน แสดงว่าเขาต้องรับภาระหนักกว่าเราอีก”
“คุณแม่ของพี่จะไม่มาบังคับเราว่าต้องเรียนนู่นเรียนนี่นะ เขาจะปล่อยให้เราตัดสินใจทำด้วยตัวเองได้หมดทุกอย่าง ซึ่งเราก็สอนลูกแบบนั้นเหมือนกัน ให้เขาทำตามสิ่งที่เขาอยากจะทำ ถือว่าเป็นสิ่งที่ได้รับมาจากคุณแม่โดยตรงเลยค่ะ”
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : ปันปัน-เต็มฟ้า กฤษณายุธ
วันเกิด : 6 พ.ย. 2539
ส่วนสูง : 172 ซม.
น้ำหนัก : 49 กก.
การศึกษา : Year 10 (ม.4) โรงเรียนนานาชาติฮาโรว์
ความสามารถ : เต้นบัลเล่ต์, แจ๊ซ, ยิมนาสติก, ร้องเพลง, เล่นเปียโน, ไอซ์สเกต
ผลงาน : มิวสิกวิดีโอเพลง “Look Like Love” บี้ สุกฤษฎ์, คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ด “แฟนซีแฟนซน”
รางวัลที่ได้รับ : คว้า 1 เหรียญทอง 2 เหรียญทองแดง จากการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติครั้งที่ 25 และคว้า 5 เหรียญทอง 1 เหรียญเงินจากครั้งที่ 26, ครองแชมป์ราชินียิมนาสติกและนักกีฬาดีเด่น, เข้ารอบชิงชนะเลิศในฐานะตัวแทนทีมชาติแข่งรายการเยาวชนที่อุซเบกิสถานและคาซัคสถาน
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754