xs
xsm
sm
md
lg

“จิ๊บ ดุสิตา” เซียนสอยคิวระดับชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ขอบคุณสถานที่: สมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย
“เซ็กซี่ที่สุด”... คำๆ นี้มักพ่วงท้ายมาพร้อมกับชื่อ “จิ๊บ ดุสิตา” เสมอ ไม่ว่าเธอจะหยิบจับงานประเภทใดในวงการบันเทิง และดูเหมือนว่าการกลับมาปรากฏตัวครั้งล่าสุดของเธอคนนี้ ได้ขยายองศาความร้อนให้แผ่กว้างออกไปถึงวงการกีฬาด้วย เพราะเธอกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้วงการโต๊ะสักหลาดร้อนฉ่าขึ้นอีกครั้ง ในฐานะนักกีฬาทีมชาติผู้มีฉายาติดตัวว่า “นักสอยคิวที่เซ็กซี่ที่สุดของประเทศไทย” เท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์!

นิ้วมือเรียวสวยวางอยู่บนพื้นที่สีเขียว ลำแขนเหยียดตรงขนาบไปกับพื้นสักหลาด บังคับให้ลำตัวโน้มเอียงไปตามท่าที่ควรจะเป็น...
 
ลีลาการสอยคิวของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ มองอย่างไรก็ไม่ผิดเพี้ยนไปจากนักสนุกเกอร์มืออาชีพ จึงไม่แปลกที่ “จิ๊บ ดุสิตา อนุชิตชาญชัย” จะสามารถสะกดดวงตาของผู้ชมให้จ้องมองการเคลื่อนไหวของเธอได้อย่างไม่วางตา เช่นเดียวกับผู้สัมภาษณ์ที่กำลังพิจารณาความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอด้วยความรู้สึกประหลาดใจ


ไม่ใช่เล่นๆ
… แผ่นหลังซึ่งครั้งหนึ่งเคยเผยรอยสักรูปมังกรโชว์ความเซ็กซี่ให้สะเทือนทั้งวงการ บัดนี้ได้กลายเป็นแผ่นหลังของนักกีฬาผู้เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ดวงตาที่เคยแสดงอารมณ์ต่างๆ มากมายในบทละคร เหลือเพียงภาพสะท้อนของลูกกลมๆ หลากสีบนกระจกตา...
 

ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจนทำให้เธอมีโอกาสผันตัวจากอาชีพดารามาเป็นนักกีฬาพูลทีมชาติในวันนี้ จิ๊บบอกว่าไม่ได้เกิดจากความรู้สึกจริงจังมาตั้งแต่ต้น แต่เริ่มมาจากนิสัยชอบลองชอบเล่นของตัวเธอเองและความบังเอิญจนได้ดี
 

จิ๊บไม่ได้เริ่มจากเล่นพูลค่ะ แต่เล่นสนุ้กก่อน เล่นมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยปี 3 ปี 4 ได้ เพื่อนผู้ชายเขาชอบเล่นกัน เวลาไปด้วยกัน ปกติเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มจะแค่ตามไปดู ไปนั่งกินข้าวคอย พอนานๆ เข้าเราก็เบื่อ เลยขอลองแทงดู ด้วยนิสัยเป็นคนชอบอะไรท้าทายอยู่แล้ว พอเห็นคนอื่นทำได้ เราก็อยากลอง พอได้เล่นก็รู้สึกประทับใจ จากนั้นเลยหาโอกาสเล่นถี่เลย (ยิ้ม) แต่พอต่างคนต่างเรียนจบ มีเวลามาเจอกันน้อยลง ก็เลยได้เล่นน้อยลงไปด้วย”
 

“มามีโอกาสได้กลับมาเล่นอีกทีตอนไปออสเตรเลีย เคยไปอยู่ที่นู่นพักหนึ่ง คนที่นั่นเขาฮิตเล่นพูลกันมาก มีจัดแข่งประจำ ก็เลยทำให้เราได้กลับมาจับไม้อีกที แต่เปลี่ยนจากสนุ้กมาเป็นพูลแทน เคยไปแข่งตามรายการที่เขาจัดตามเมืองต่างๆ บ้างเหมือนกันค่ะ พอกลับมาเมืองไทยก็ยังรู้สึกอยากเล่นต่อ ก็เลยพยายามหาโอกาสเล่นเวลาไปกับเพื่อน เพื่อนๆ เขาจะรู้ว่าจะชวนกันไปที่ไหนก็ได้ ขอให้มีโต๊ะพูลให้จิ๊บก็พอแล้ว” เธอปิดประโยคด้วยรอยยิ้มน่ารักๆ ของคนมีเขี้ยว
 

ตระเวนแทงพูลเล่นๆ กับกลุ่มเพื่อนตามโอกาสจะเอื้ออำนวยไปเรื่อย จนวันหนึ่งมีคนมาเห็นแววว่าฝีมือของจิ๊บไม่ใช่เล่นๆ จึงไม่ปล่อยให้เธอทำตัวเล่นๆ ให้เสียเวลาอีกต่อไป
 
“พอได้ไปแทงตามที่ต่างๆ ชนะบ้างแพ้บ้าง มีคนมาเห็น เขาก็ชวนไปแข่ง เราก็ลองตามเขาไป แค่แข่งกันชิงของรางวัลปกติค่ะ ไม่ได้ซีเรียส ตอนนั้นก็แข่งไปเรื่อย รู้สึกสนุกที่ได้เล่น มีวันหนึ่งพี่คนเดิมมาชวนให้ไปแข่งเหมือนเดิมเลย ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมาก เราก็ไม่ได้คิดอะไร พอไปถึงปรากฏว่าเป็นการแข่งพูลชิงแชมป์ประเทศไทย เหวอเลยจิ๊บตอนนั้น (หัวเราะ) แต่ลงชื่อไปแล้วว่าจะแข่ง ก็เลยต้องลองดู เลยกลายเป็นการแข่งอย่างเป็นทางการครั้งแรกของจิ๊บแบบไม่ทันตั้งตัว
สีหน้าท่าทางของคนเล่าทำเอาทีมงานอดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้ จึงขอให้เธอช่วยเล่าประสบการณ์ครั้งแรกในการแข่งขันให้ได้ลุ้นกันต่อ


เปิดซิงแมตช์แรก!
“หัวมันกลวงไปเลย คิดแค่ว่าเกิดอะไรขึ้นเนี่ย! ตื่นเต้นไปหมด จะแก้เกมอะไรก็คิดไม่ออก บางทีแทงไปโดยไม่รู้เลยว่าตอนนั้นรู้สึกยังไง คิดอะไรอยู่ แค่แทงแล้วปล่อยๆ คิวไปอย่างนั้นเอง” คือความรู้สึกของจิ๊บในการแข่งขันพูลอย่างเป็นทางการแมตช์แรกในชีวิตของเธอ หลายคนที่ไม่เคยตกอยู่ในที่นั่งเดียวกัน คงนึกภาพไม่ค่อยออก แต่จิ๊บยังคงยืนยันความตื่นเต้นให้ฟังว่า “ต้องไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ ค่ะแล้วจะรู้ว่าเวลาคิดไม่ออก วางแผนไม่ได้ มันเป็นยังไง”
 

ถึงตอนนี้ ผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ประมาณ 7 เดือนแล้ว ถึงแม้ว่าอาการตื่นเต้นระหว่างแข่งขันจะดีขึ้นบ้างตามระยะเวลาและประสบการณ์ แต่กีฬาชนิดนี้ก็ยังเป็นกีฬาที่ “ยากมาก” สำหรับเธออยู่ดี พิสูจน์ได้จากการเน้นเสียงคำว่า “ยาก” และ “มาก” ตอนที่จิ๊บบอกเล่าความรู้สึกให้ฟัง
 

“ตอนนี้ดีขึ้นบ้างแล้วค่ะ เพราะครั้งแรกเหมือนเราตื่นเวที เราไม่เคยเจอประสบการณ์อะไรแบบนั้นมาก่อน (ถอนหายใจเล็กๆ) ตอนที่แข่งก็ไม่รู้จักใครเลย เคยได้ยินแต่ชื่อ “พี่ต๋อง” วงการสนุ้กคนเดียว ถึงตอนนี้ก็ได้ฝึกเรื่องจิตใจบ้าง มีไปแข่งที่อื่นบ้าง ได้เจอคนที่เป็นมืออาชีพจริงๆ ไม่ใช่แค่แข่งตามร้านเล่นๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทำให้ปรับตัวได้มากขึ้น แต่เรื่องการควบคุมสมาธิ การแก้เกม ก็ยังเป็นอะไรที่ยากอยู่ดีค่ะ” นักกีฬาสาวผู้มีดีกรีเป็นดาราพูดด้วยสีหน้าหนักใจ ก่อนเริ่มอธิบายความรู้สึกให้ฟัง
 

“เอาง่ายๆ เลย แค่คนมายืนข้างๆ จิ๊บก็สมาธิหลุดแล้ว คือถ้า Target ของเราไม่ได้อยู่ที่ลูก เปอร์เซ็นต์ที่จะเพี้ยนมันก็มีสูง หรือแค่เมื่อกี๊มีคนมายืนดู พี่ช่างภาพมาถ่ายรูป จิ๊บก็เพี้ยนแล้ว (ยิ้มอย่างเป็นมิตร) ยังต้องฝึกอีกเยอะค่ะจะได้ชินเหมือนคนอื่นเขา (มองไปที่เพื่อนนักกีฬาซึ่งกำลังซ้อมอยู่ที่โต๊ะอื่น) แต่ในเมื่อผู้ใหญ่เห็นว่าเราพอมีฝีมือจะพัฒนาได้ ก็จะลองดูค่ะ ถึงแข่งครั้งแรกจะชนะได้แค่หนึ่งคน แล้วก็ตกรอบแรกก็เถอะ (หัวเราะ)
 

ระหว่างสนุกเกอร์กับพูล จิ๊บเปิดใจว่าจริงๆ แล้วเธอชอบเล่นสนุกเกอร์มากกว่า แต่ที่ต้องลงเป็นนักกีฬาพูลทีมชาติในซีเกมส์ซึ่งกำลังจะจัดขึ้นในปลายปีนี้ เป็นเพราะอินโดนีเซียซึ่งเป็นเจ้าภาพไม่ถนัดสนุกเกอร์ จึงมีแข่งเฉพาะพูลเท่านั้นเอง
 

“พวกนักกีฬาคนอื่นที่ลงแข่งก็เป็นนักกีฬาสนุ้กกันทั้งนั้นเลยค่ะ ไทยเรายังไม่มีนักกีฬาพูลโดยเฉพาะ จิ๊บก็เพิ่งมาจับพูลจริงจังช่วงหลังๆ นี่เอง แต่พอลองเล่นดูถึงรู้ว่าแทงง่ายกว่าสนุ้ก คือสนุ้กจะโต๊ะใหญ่ หลุมเล็ก อาศัยความแม่นยำมากกว่า แต่พูลจะโต๊ะเล็กกว่า หลุมใหญ่ ลูกใหญ่กว่า ทำให้แทงลงง่ายกว่า เลาะชิ่งง่ายกว่าโต๊ะสนุ้ก แต่เพราะความง่ายของพูลนี่แหละค่ะที่ทำให้มันยาก เพราะในเมื่อพูลมันง่ายต่อเรา มันก็ง่ายต่อคู่แข่งด้วย ก็เลยต้องแข่งกันด้วยเทคนิค ถ้าเราไม่สามารถตบให้หมดภายในไม้เดียวได้ ก็ต้องคิดแล้วว่าจะทำยังไงไม่ให้คู่ต่อสู้ตบได้หมดโต๊ะก่อน เป็นการหยั่งเชิงกัน”
 
คำอธิบายยาวๆ ของจิ๊บในครั้งนี้ ทำให้เราเชื่อได้อย่างสนิทใจแล้วว่าเธอคือนักกีฬาทีมชาติจริงๆ ไม่ใช่แค่นักแสดงที่ชอบเล่นกีฬา เมื่อถามว่าเธอมีเทคนิคเฉพาะตัวที่เตรียมไปต่อสู้ในนามทีมชาติไทยอย่างไรบ้าง คนถูกถามจึงตอบด้วยรอยยิ้มและพูดอย่างถ่อมตัวว่า “ยังไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ยังต้องฝึกอีกเยอะ เพราะถ้าฝีมือยังไม่ใช่ระดับต้นๆ แค่จิตวอกแวกนิดเดียว ฝีมือก็ไม่เสถียรแล้ว” ผู้สัมภาษณ์ยิ้มรับกับคำตอบของเธอและเชื่อว่าคนไทยหลายคนคงคิดเช่นเดียวกัน... แค่เธอพูดคำว่ายังต้อง “ฝึก” อีกเยอะ เพียงเท่านี้ก็เป็นความหวังที่ดีที่สุดแล้ว


นักกีฬา VS นักแสดง
หายหน้าหายตาไปจากวงการบันเทิงพักใหญ่ๆ กลับมาอีกครั้งพร้อมอาชีพใหม่ในมาดนักกีฬา ผู้สัมภาษณ์คาดเดาไปก่อนแล้วว่าคงมีเรื่องร้ายๆ จุดชนวนให้เธอหันหลังให้แก่วงการ เมื่อถามเอาความจริงจากเจ้าของเรื่องจึงรู้ว่าเธอไม่ได้เกลียดวงการมายา เพียงแค่หายไปสร้างความแข็งแกร่งให้แก่จิตใจที่บอบช้ำเพราะมรสุมลูกใหญ่ที่พัดเข้ามาในชีวิตเท่านั้นเอง
 

หายไปดูแลคุณแม่ค่ะ ประมาณ 2 ปีได้ คุณแม่ป่วย ติดเชื้อในกระแสเลือด ตอนนั้นคุณหมอไม่แน่ใจว่าจะรอดไหม ช่วงนั้นทุกข์มากเลย การที่เราจะสูญเสียใครไปสักคน ยิ่งเป็นพ่อแม่เรา รู้สึกว่าไม่อยากทำอะไรเลย ก็เลยหยุดงานในวงการไปพักหนึ่ง อยู่กับตัวเอง แต่คิดเท่าไหร่ก็หาทางออกไม่เจอ ลองหาหนังสือนู่นนี่มาอ่าน ไปเจอหนังสือธรรมะ ก็เลยลองศึกษาดู เริ่มถือศีล ศีล 5 วันธรรมดา ศีล 8 วันพระ จากนั้นก็รู้สึกว่าอะไรๆ มันเริ่มดีขึ้น ตัวเรารู้สึกทุกข์น้อยลง สภาพจิตใจดีขึ้น พอหลังจากนั้นคุณแม่ก็ดีขึ้นด้วย เลยคิดว่าเป็นทางที่ถูกแล้ว
 

หลังจากมุ่งหน้าศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง นอกจากได้ความสงบกลับมาสู่จิตใจ จิ๊บยังค้นพบสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน คือพบว่าอาชีพที่เธอทำมาตลอดชีวิตเป็นบาปทั้งหมด จึงทำให้เธอต้องหันกลับมาทบทวนอาชีพนักแสดงอีกครั้งหนึ่ง
 

“พอเราศึกษาเรื่องธรรมะเยอะๆ ก็เริ่มรู้ว่าการเป็นดารามันไม่ดีเท่าไหร่ คือทางธรรมะแล้วเนี่ย การเป็นนักแสดงมันบาปมากค่ะ (ยิ้มเย็นๆ) คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้ว่ามันเป็นอาชีพหนึ่งที่ทำให้คนเกิดโลภะ โทสะ โมหะได้ทุกอย่างเลย แล้วถ้ามีคนทำตามพฤติกรรมไม่ดีของเราในละคร ผลกรรมนั้นก็จะตกมาสู่ตัวเรา” ได้ยินแบบนี้แล้ว เล่นเอาผู้สัมภาษณ์ใจหายไปเหมือนกัน เสียดายฝีมือทางการแสดง กลัวว่าเธอจะตัดสินใจหันหลังให้แก่วงการอย่างจริงจัง เมื่อคำตอบของจิ๊บคือ “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ” จึงช่วยให้เบาใจไปได้บ้าง
 

“จิ๊บคงไม่ถึงกับปฏิเสธงานแสดง เพราะจิ๊บก็ต้องหารายได้ให้แก่ครอบครัว ตอนคุณแม่ป่วยก็ใช้เงินเก็บไปเยอะเหมือนกัน ตกเดือนละเป็นแสน (ยิ้มแบบเนือยๆ) ถึงตอนนี้คุณแม่หายแล้ว แต่จิ๊บอยู่กับคุณแม่และคุณยาย ต้องดูแลท่าน ยังต้องใช้เงินอยู่ ก็คงต้องทำใจค่ะ ลองไปปรึกษาพระอาจารย์ดู ท่านบอกว่าให้ขยันทำบุญ ถือศีล ภาวนา แผ่เมตตา จะช่วยเสริมกันได้ เพราะฉะนั้นจิ๊บก็ยังรับงานละครอยู่ค่ะ แต่คงต้องพิจารณาหลายต่อหลายอย่างมากขึ้น”
 

ส่วนการเป็นนักกีฬาทีมชาตินั้น จิ๊บบอกว่าเธอยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกทำเป็นอาชีพหลักหรือทำแทนอาชีพนักแสดง แต่จะพยายามให้เต็มความสามารถ ผลจะออกมาอย่างไร เป็นเรื่องของอนาคต
 

“ตอนนี้แค่อยากรู้ว่าเราจะทำได้ดีแค่ไหน จะพัฒนาตัวเองไปถึงระดับไหน ถ้ามันพัฒนาไปได้ด้วยดี จิ๊บก็อาจจะมาทางนี้เลยก็ได้ เพราะถ้าดี มันมีคนสนับสนุนอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ดี ก็คงต้องมาคิดอีกทีแล้วล่ะว่าเราจะทำยังไงต่อไป จิ๊บเป็นคนที่ทำอะไรตั้งใจทำอยู่แล้ว ก็ต้องขอลองทำให้ดีที่สุดดูก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆ ค่อยว่ากัน ส่วนเรื่องงานละคร ถ้าว่างจากการซ้อม น่าจะสามารถรับเล่นได้ค่ะ แต่ช่วงนี้เน้นซ้อมเป็นหลักมากกว่า ซ้อมทีหนึ่งตกก็วันละประมาณ 10 ชั่วโมง
 

หลายคนมองว่าขณะนี้จิ๊บคือตัวแปรสำคัญที่ทำให้วงการสักหลาดกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังจากเคยโด่งดังมากๆ เมื่อสมัย “ต๋อง ศิษย์ฉ่อย” ถามว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับปรากฏการณ์ที่เป็นอยู่ นักกีฬาพูลหญิงที่เซ็กซี่ที่สุดในวงการยิ้มด้วยท่าทีถ่อมตัวเหมือนเคยก่อนตอบว่า

“แต่จิ๊บไม่ได้มีความสามารถขนาดพี่ต๋องไงคะ (หัวเราะ) แต่ถ้าคนเขานึกถึงเราแล้วทำให้เขานึกถึงกีฬาประเภทนี้มากขึ้น จิ๊บก็ดีใจนะคะ เหมือนกับว่าเราได้สนับสนุนสิ่งดีๆ ในบ้านเรา แต่ละอย่างที่จิ๊บทำ จิ๊บพยายามทำให้เต็มที่ และจิ๊บก็พอใจกับมัน ถ้าจะมีใครมองแล้วคิดว่าจิ๊บสามารถเป็นไอดอลในด้านนี้ได้ จิ๊บคงดีใจมากๆ แล้วก็ขอบคุณมากๆ ค่ะ


---ล้อมกรอบ--- 


เก่งกว่าผู้ชาย!
เห็นถ่อมตัวว่า “ยังไม่เก่งๆ” แบบนี้ จริงๆ แล้วจิ๊บก็แน่ไม่แพ้ใครเหมือนกัน ถึงแม้ผลการแข่งขันแต่ละครั้งจะมีแพ้บ้างชนะบ้างสลับกันไป แต่การแข่งศึกชิงแชมป์พูลที่พัทยา “2010 SANGSOM Pattaya 9 ball invitational” เธอก็เอาชนะ “ต้น ซูเปอร์คิว” ด้วยคะแนน 7-5 แรกซ์ เรื่องนี้จิ๊บไม่ได้เป็นคนโม้ให้ฟัง แต่ทีมงานอาศัยตามอ่านข่าวดู เมื่อถามเจ้าตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ จิ๊บก็ยังคงเป็นนักกีฬาที่มีน้ำใจเป็นนักกีฬาเหมือนเคย

“ก็มีชนะบ้างค่ะ จิ๊บถึงบอกว่าการเล่นพูลมันเป็นอะไรที่ลงง่าย โอกาสแพ้ชนะง่าย มันจะไม่เหมือนสนุ้ก มันใช้ทั้งดวงด้วย ใช้ทั้งความแม่น ใช้ทั้งความคิด วันไหนดวงดี อาจจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ถึงเขาจะเป็นผู้ชาย แต่การแข่งพูลมันไม่ใช่ว่า คุณเคยแพ้แล้วคุณต้องแพ้ตลอดไป มาแข่งกันคราวหน้า เราอาจจะแพ้เขาก็ได้”

ได้รู้ผลการแข่งขันแบบนี้แล้ว คนที่เคยตราหน้าเธอไว้ว่าได้เป็นนักกีฬาทีมชาติเพราะความดังนั้น คงต้องคิดใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นจิ๊บก็ไม่ได้โกรธที่ถูกสบประมาทไว้เช่นนั้น ตรงกันข้ามกลับยอมรับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
 

“ที่จิ๊บได้เป็นนักกีฬาพูล การเป็นดาราก็มีส่วนช่วยจริงๆ แหละค่ะ ผู้ใหญ่คงอยากให้เราเข้ามาผลักดันให้คนหันมาสนใจกีฬาพูลมากขึ้น แต่ส่วนหนึ่งเขาคงเห็นว่าจิ๊บพอมีทางพัฒนาได้ ให้มาลองฝึกดู เขาก็คงไม่ได้ปล่อยให้งูๆ ปลาๆ เขาก็มีการเทรนให้ ที่เหลือก็อยู่ที่เราแล้วล่ะว่าจะขยันแค่ไหน ถ้าเกิดว่าเป็นคนไม่คิดอะไร เขาให้มาก็มา ไม่ขยันซ้อม คงอยู่ได้ไม่นาน แต่ถ้าขยันแล้วไปไม่ได้จริงๆ อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่งค่ะ” เธอตอบด้วยแววตามุ่งมั่น ก่อนปิดท้ายด้วยการเปิดใจให้ฟัง

ตั้งแต่โตมา จิ๊บยังไม่เคยสนใจเรื่องอะไรจริงจังเลย นิสัยเราเหมือนเป็ด ทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่เคยทำอะไรที่มันจริงๆ จังๆ ไม่มีอะไรที่คลั่งจริงๆ บางคนบ้ารถ บ้ากีฬา สมัยก่อนก็เล่นกีตาร์ คือตอนนั้นไม่ค่อยมีผู้หญิงเล่น จากนั้นก็เห็นว่ากลองน่าสนใจ ก็ไปฝึกต่อ โดยที่กีตาร์ยังไม่ได้เล่นถึงที่สุดเลย แต่ ณ ตอนนี้ เรามีสิ่งที่เราสนใจและมันถูกสนับสนุน ทำให้มันเป็นเรื่องเป็นราว มีจุดมุ่งหมายชัดเจนว่าเราต้องซ้อม ต้องพยายาม แล้วจิ๊บก็จะพยายามให้เต็มที่ค่ะ

ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน
แววตาจริงจังของทีมชาติ






ภาพเซ็กซี่เมื่อแรกเข้าวงการ
กำลังโหลดความคิดเห็น