ลืมเลข 55 ซึ่งเป็นอายุจริงของเขาไปได้เลย เพราะ “ดิลก ทองวัฒนา” มีผลทางวิทยาศาสตร์มายืนยันว่าการออกกำลังกายทำให้เขาหนุ่มเท่ากับคนอายุ 33 ปีเท่านั้น ส่วนจะหนุ่มและแน่นสักเพียงใด นักแสดงรุ่นใหญ่รายนี้พร้อมท้าพิสูจน์!
หลายคนขนานนามเขาว่า “พ่อทุกสถาบัน” เพราะไม่ว่าจะแสดงละครเรื่องใด เป็นต้องเห็น “ดิลก ทองวัฒนา” ในบทคุณพ่อทุกครั้งไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยทำให้ผู้ชมเชื่อได้อย่างสนิทใจเลยว่าเขาคือพ่อของพระเอกหรือนางเอกอย่างแท้จริง ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะการแสดงที่ไม่สมบทบาท แต่เป็นเพราะหน้าตาที่ดูอ่อนกว่าวัยและหุ่นที่ฟิตเกินกว่าผู้ชายอีกหลายๆ คนในวัยเดียวกันนั่นเอง
ผู้สัมภาษณ์เองก็คิดเช่นเดียวกัน กระทั่งผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้าแทนตัวว่า “อาหมู” และบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองตลอด 10ปีที่ผ่านมา จึงทำให้ปักใจเชื่อได้ว่าเขาคือคนรุ่นราวคราวเดียวกับคุณพ่อจริงๆ
ชีวิตแย่ๆ เมื่อ 10 ปีก่อน
“จริงๆ แล้วอาหมูก็เคยสุขภาพไม่ดีเหมือนกันนะ” พระเอกรุ่นแรกเปิดประเด็นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกเมื่อเห็นว่าทีมงานต่างกล่าวชมหน้าตาอ่อนกว่าวัยของตนอย่างไม่ขาดปาก จากนั้นจึงเริ่มขยายความสิ่งที่เกริ่นเอาไว้ให้ฟัง
“เมื่อสิบปีที่แล้วอาหมูเคยมีปัญหาเรื่องน้ำตาลสูง คอเลสเตอรอลสูง ไตรกลีเซอไรด์สูง ตอนนั้นเริ่มคิดถึงตัวเองแล้วว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปสุขภาพจะต้องแย่ลงเรื่อยๆ แน่นอน เพราะยิ่งอายุมากขึ้น สุขภาพของเรามันไม่มีวันดีขึ้นอยู่แล้ว มีแต่จะแย่ลง สุขภาพก็เปรียบเหมือนน้ำนั่นแหละครับ มันจะไหลลงสู่ที่ต่ำ ถ้าเราไม่สร้างแนวต้านเพื่อป้องกัน มันก็ไม่มีทางจะดีขึ้นได้”
“ในตอนนั้นอาหมูคิดไปสารพัดเลย โดยเฉพาะเรื่องครอบครัว เรื่องความรับผิดชอบ อาหมูเห็นแล้วว่าเรามีลูกมีภรรยามีแม่ที่ต้องเลี้ยงดู เราเป็นเสาหลักของครอบครัว ก็เลยคิดว่าถึงเวลาที่ต้องหันกลับมาดูแลตัวเองแล้วล่ะ”
“พอคิดได้อย่างนั้นก็พยายามเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตของตัวเองเสียใหม่ จากที่เคยใช้ชีวิตเพื่อความสนุก ใช้ชีวิตแบบ Enjoy Life มีสตางค์ก็หาที่กินอร่อยๆ เน้นเรื่องกินเรื่องเที่ยวเป็นหลัก อาหมูก็หันกลับมาเซตระบบใหม่ให้แก่ตัวเอง ลองใช้ร่างกายแบบใหม่ ตั้งเกณฑ์ให้ชีวิตใหม่ ซึ่งมันทำให้ได้ชีวิตใหม่ขึ้นมาจริงๆ” นักแสดงมากความสามารถเล่าให้ฟังด้วยรอยยิ้มสดชื่น
ชีวิตแบบใหม่ที่อาหมูพูดถึงคือการเพิ่มโปรแกรมออกกำลังกายเข้าไปในตารางเวลาและให้ความสำคัญกับมันเป็นอันดับต้นๆ โดยเริ่มจากการมองว่าการออกกำลังกายไม่ใช่แค่สิ่งที่ “ควร” ทำอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ “ต้อง” ทำ และต้องพยายามควบคุมตัวเองให้ทำอย่างสม่ำเสมอด้วย
“สุขภาพที่ดีเนี่ยไม่ใช่ว่าจะได้มาฟรีๆ นะ ทุกอย่างจะต้องมีการตั้งเป้าหมาย จะต้องลงทุน ต้องชัดเจน และจะต้องถูกบรรจุเอาไว้เป็นโปรแกรมอย่างหนึ่งในชีวิตประจำวัน ต้องปรับเวลาชีวิตให้การออกกำลังกายกลายเป็น The Must เป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ ถ้าทำได้แบบนี้ก็เท่ากับเราเอาชนะตัวเองได้ พอเราเอาชนะตัวเองเรื่องออกกำลังกายได้ เรื่องอื่นก็ไม่ยากแล้ว เช่น สิ่งที่เรากิน สิ่งที่เราคิด ทุกอย่างมันมีผลต่อร่างกายเราทั้งหมด ถ้าควบคุมได้ชีวิตเราก็จะค่อยๆ ถอยห่างออกไปจากโรคภัยไข้เจ็บที่เคยเข้ามาเบียดเบียนได้เอง” ทั้งหมดไม่ใช่แค่พูดขึ้นมาลอยๆ แต่อาหมูกลั่นกรองออกมาจากประสบการณ์จริง
“วิ่ง” พิชิตตนเอง
ทุกวันนี้สิ่งที่อาหมูต้องทำอย่างสม่ำเสมอคือการพาตัวเองไปฟิตเนสอย่างน้อย 3-4 ครั้งภายในหนึ่งอาทิตย์ โดยจะใช้เวลาอยู่ในนั้นกว่าสองชั่วโมงเพื่อสู้กับตัวเอง ก่อนกลับบ้านไปด้วยความภาคภูมิใจที่สามารถเอาชนะตนเองได้
“เวลามาที่ยิมอาหมูจะเริ่มจากการยืดกล้ามเนื้อก่อน พอเล่นทุกอย่างเสร็จก็ต้องคลายกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะคนที่อายุมากๆ แล้วอย่างรุ่นอาหมูห้ามลืมเด็ดขาด กลับบ้านจะได้ไม่ปวดเนื้อปวดตัว อย่างเมื่อกี้อาหมูเล่นส่วนหน้าอก เราก็ต้องคลายส่วนหน้าอก ส่วนเครื่องที่ตั้งอยู่นี่ (ชี้ไปที่เครื่องออกกำลังกายภายในฟิตเนส) ใช้บริหารกล้ามเนื้อเป็นส่วนๆ ไป ซึ่งน้ำหนักที่เล่นก็ตามความเหมาะสมของแต่ละคน”
ได้ยินอย่างนี้แล้วจึงอดกระซิบถามเทรนเนอร์ไม่ได้ ถามว่าปกติแล้วอาหมูเล่นเครื่องเหล่านี้อยู่ที่น้ำหนักเท่าไหร่ ปรากฏว่าคำตอบที่ได้รับทำเอาผู้ถามถึงกับอ้าปากค้างอยู่เหมือนกัน
“ถ้าคนวัยอาหมูส่วนใหญ่จะเล่นอยู่ที่แผ่นเหล็ก 1-2 แผ่นเป็นอย่างมาก คือหนักประมาณ 10-20 กิโล แต่อาหมูเล่น 4-5 แผ่น ก็ประมาณ 40-50 กิโลครับ ซึ่งถือว่าอึดมากๆ เลยล่ะ” อาหมูหัวเราะเบาๆ รับคำชม ก่อนเริ่มอธิบายขั้นตอนฟิตแอนด์เฟิร์มที่ทำเป็นประจำให้ฟังต่อ
“เรื่องวิ่งก็ต้องจริงจังเหมือนกัน อย่างเวลาอาหมูขึ้นเครื่องวิ่งปั๊บ เพื่อนๆ จะรู้เลยว่าเราจะไม่คุยกับใคร อาหมูจะมีสมาธิกับการวิ่งมากๆ เพราะเราตั้งเป้าเอาไว้แล้วว่าต้องทำให้ได้ 800 แคลอรีภายในเวลา 50 นาที (ยิ้ม) ถามว่าเครียดไหมเราไม่เครียด คิดว่าเป็นการเอาชนะตัวเองมากกว่า คิดดูว่าถ้าคนเราเอาชนะตัวเองได้ทุกวันๆ แบบนี้ อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรต้องเครียดแล้ว เพราะถ้าเราเอาชนะใจตัวเองได้ เวลาไปเจองานละครที่ต้องทำอะไรยากๆ เราก็มองว่าง่ายแล้วล่ะ เทียบกับตอนแรกๆ วิ่งบนลู่แค่ 5 นาทีก็หล่นแล้ว แค่เห็นยังท้อแล้วเลย แต่เดี๋ยวนี้ชั่วโมงหนึ่งยังเอาเราไม่อยู่เลย อาหมูวิ่งได้สบายๆ” คนพูดยิ้มปนขี้เล่น
ถามว่างานที่ทำอยู่ทุกวันนี้หนักมากแค่ไหน เหตุใดจึงต้องพยายามฟิตร่างกายตัวเองขนาดนี้ ผู้ถูกถามจึงตอบจากประสบการณ์กว่าครึ่งชีวิตที่ได้ใช้ชีวิตในวงการมา
“งานของอาหมูอาจจะไม่ได้ใช้แรงมากแต่เป็นงานใช้อารมณ์ ทำงานวันๆ หนึ่งก็เหมือนคนบ้าๆ บอๆ เดี๋ยวหัวเราะแบบโจ๊กๆ พอสักพักก็ต้องร้องไห้จัดๆ 3-4 ซีนติดๆ กัน ถึงความรู้สึกเหล่านี้จะเป็นแค่การแสดง แต่เมื่อทำบ่อยๆ เข้ามันจะฝังเข้าไปข้างใน สามารถทำให้เรากลายเป็นคนเครียดได้โดยไม่รู้ตัว เพราะการที่คนเราร้องไห้ ร่างกายจะขับสารที่ไม่ดีออกมา แล้วถ้าปล่อยให้ร่างกายถูกขังไว้แบบนั้น เราก็จะแก่ขึ้นอย่างรวดเร็ว อาหมูก็เลยต้องหาเวลาออกกำลังกาย แต่ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็ต้องหาวันชดเชย อย่างเมื่อ 5 วันก่อนทำงานหนักมาก พอวันนี้ว่างก็เลยมาที่นี่เพื่อขับอารมณ์ที่ค้างคาจากงานแสดงที่มีมาตลอด 5 วันให้หมดไป ซึ่งมันเป็นการปลดปล่อยที่ได้ผลจริงๆ”
เด็กลงไปอีก 22 ปี!
สงสัยคำว่า “ได้ผล” ของอาหมูจะแสดงผลให้เห็นชัดกว่าที่คาดคิดกันเอาไว้ ทันทีที่เจ้าตัวหยิบเอากระดาษแผ่นยาวๆ ออกมาจากกระเป๋าและอ่านให้ฟัง ทีมงานถึงกับตะลึงในข้อมูลที่ได้รับจนต้องร้อง “โอ้โห!” เลยทีเดียว
“กระดาษนี้เป็นผลของการออกกำลังกาย ก่อนออกจากยิมทุกครั้งอาหมูจะใช้เครื่องวัดปริมาณเคมีในร่างกายเช็กตัวเองดู ในนี้จะบอกเลยว่าตอนนี้เราน้ำหนักเท่าไหร่ และในน้ำหนักทั้งหมดนี้มันประกอบไปด้วยปริมาณไขมันทั้งหมดกี่กิโล อย่างอาหมูเขาเขียนว่าน้ำหนัก 77 มีไขมันอยู่แค่ 15 กิโลเอง แต่มีกล้ามเนื้อในร่างกายถึง 58 กิโล ซึ่งถือว่าพอใจได้ในระดับหนึ่งนะสำหรับอายุอย่างเรา (ยิ้ม) ส่วนอัตราการเผาผลาญในร่างกาย (Metabolism Age) เครื่องวัดออกมาว่าเท่ากับคนอายุ 33 ปี ซึ่งก็แสดงว่าร่างกายอาหมูเด็กกว่าอายุจริงตั้ง 22 ปีแน่ะ”
เจ้าของข้อมูลยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจพลางหยิบน้ำเปล่าขวดใหญ่ขึ้นมาดื่มแก้กระหาย จากนั้นจึงแสดงความคิดเห็นต่อ
“เห็นไหมครับว่าทั้งหมดคือผลของการกระทำของเรา เราออกแบบโปรแกรมให้ตัวเองไว้ยังไง ลงทุนให้ร่างกายไว้แค่ไหน เราก็จะได้รับผลอย่างนั้น เราไม่เอาสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ ร่างกายก็จะตอบสนองเราตามที่เราทำและให้ค่าที่เป็นวิทยาศาสตร์พอสมควร วัดให้เห็นเป็นตัวเลขได้เลย”
เทียบกับตอนที่ยังไม่ออกกำลังกายแล้ว ถึงแม้ว่าขณะนั้นจะอายุน้อยกว่านี้ แต่กลับรู้สึกถึงโรคชรามากกว่านี้หลายเท่า ดังนั้นคนวัยทองที่มีอาการดังต่อไปนี้เตรียมยิ้มกันเอาไว้ได้เลย เพราะผู้มีประสบการณ์อย่างอาหมูพิสูจน์มาแล้วว่าปัญหาทั้งหมดนี้มีทางออก
“เมื่อก่อนเหนื่อยง่ายมาก ฉากที่ต้องร้องไห้ ต้องใช้พลังมาจากข้างใน แค่ 3-4 เทค อาการก็เริ่มออก หรือแค่ตกดึกก็เริ่มหมดแรงแล้ว เป็นหนักถึงขั้นบางวันไม่มีซีนหนักๆ เลย แค่อยู่เฉยๆ ตะคริวก็เริ่มจับแขนจับขา ตื่นขึ้นมาก็เริ่มชาตามเนื้อตัว เหมือนกับว่าพออายุย่างเข้าเลข 5 ฮอร์โมนมันเปลี่ยนไปหมด เริ่มซึมเศร้า หงุดหงิด วัยทองมันเข้ามา เริ่มหาเหตุผลให้แก่อารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ ถึงแม้เราจะมีงาน มีครอบครัวที่ดี มีความสุข แต่เศร้าใจกับร่างกายของตัวเองโดยหาสาเหตุไม่ได้”
“คนวัยนี้ส่วนมากไม่เข้าใจว่าเคมีในร่างกายมันเปลี่ยนก็ไปโทษโชคชะตาฟ้าดิน โทษคนอื่น แต่อาหมูไม่โทษใคร คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เราแก้ไขได้ ก็เลยหันมาดูแลสุขภาพตัวเอง ปรึกษาแพทย์ เริ่มเข้าหาแพทย์อย่างจริงจัง ใช้โรงพยาบาลเป็นแหล่งชี้แนะ ใช้คำแนะนำแพทย์เป็นแนวทางป้องกัน ไม่ได้เข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษา แต่เข้าไปปรึกษาเพื่อหาวิธีป้องกัน หาหมอเพื่อตรวจผลเลือด เติมสารเคมีให้แก่ร่างกาย เสริมวิตามินบางตัว หลายคนอาจจะมองว่าการพึ่งแพทย์เป็นวิธีสิ้นเปลือง ใช้เงินเยอะ แต่ถ้ามองระยะยาวจะรู้ว่าเป็นการลงทุนที่ไม่แพงเลย เพราะเวลาป่วย เข้าโรงพยาบาลทีหนึ่ง ใครๆ ก็รู้ว่าเมื่อถึงวันนั้นมันประเมินค่าราคารักษาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
สุขภาพ = อิสรภาพในอนาคต
“ตอนนี้อาหมูเป็นคุณสามีอารมณ์ดี เป็นคุณพ่อใจที่ใจดีมากๆ (หัวเราะ)” เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เป็นผลพลอยได้จากการออกกำลังกายนี่เอง
“ลูกเต้า ภรรยาที่บ้านจะเห็นเรายิ้ม อารมณ์ดีตลอด เพราะอาหมูพอใจในตัวเอง รู้สึกว่าจะต้องเอาอะไรกับชีวิตอีก มีอะไรเกิดขึ้นก็ปล่อยไป บางวันการทำงานก็ได้ผลดีบ้างไม่ดีบ้าง มีการเปลี่ยนตัวละคร เปลี่ยนเวลาถ่ายทำ ทำให้คิวเราไม่ได้ทั้งที่เราอยากทำงานนั้นมากๆ มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นทุกวันทั้งดีและไม่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งที่เราสามารถดูแลได้ก็คือความคิดความรู้สึกของเราเอง ดังนั้นเราถึงไม่จำเป็นต้องเอาความหงุดหงิดไปลงที่ใคร เพราะถึงแม้ผลตอบแทนในการทำงานเราอาจจะขาดทุน แต่เรื่องสุขภาพเราได้กำไรตลอด เราสามารถเอาชนะตัวเองได้ทุกวัน เพราะฉะนั้น เราก็มีเรื่องที่ทำให้ยิ้มได้ทุกวัน”
“อย่างบางวันตื่นมาด้วยอาการเซ็งๆ เบื่อๆ หงอยๆ แต่เรายังไม่รู้ตัวก็มีเหมือนกันนะ พอเป็นแบบนี้ปุ๊บ แค่มีเวลาว่างจากงานไม่กี่ชั่วโมง อาหมูจะหยิบกระเป๋าขึ้นรถไฟฟ้ามาออกกำลังกายเลย พอลงจากเครื่องวิ่งเท่านั้นแหละถึงได้รู้ตัวว่าความเศร้าที่มีอยู่มันหายไป อารมณ์แย่ๆ ที่แบกไว้ตั้งแต่เช้ามันถูกขจัดไปเกือบหมด อย่างน้อยก็หายไป 70 เปอร์เซ็นต์ อาหมูถึงได้เข้าใจว่าทำไมโลกของเราถึงยังมีคนที่ชอบระบายอารมณ์ใส่คนอื่นอีกเป็นจำนวนมาก มันเป็นเพราะคนเราไม่รู้จักปลดปล่อยตัวเองนี่เอง เป็นเพราะสุขภาพจิตของคนเหล่านั้นไม่ได้รับการดูแล เพราะฉะนั้นการออกกำลังกายเลยถือเป็นการเยียวยาทางจิตรูปแบบหนึ่งด้วย ออกกำลังกายแล้วจะอารมณ์ดีทุกวันครับ” เจ้าของความคิดย้ำคำพูดเดิมอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มอุ่นๆ
ช่วงนี้อาหมูมีงานถ่ายละครอยู่ถึง 5-6 เรื่องในหนึ่งสัปดาห์ แต่ไม่น่าเชื่อว่ายังสามารถเจียดเวลาให้แก่การออกกำลังกายได้ หลายคนคงสงสัยเช่นเดียวกันว่าเขาทำได้อย่างไร ไม่เหนื่อยบ้างหรือ? เจ้าตัวได้แต่มอบรอยยิ้มสดใสเช่นเดียวกับวินาทีแรกๆ ที่เจอกันให้ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“ไม่น่าเชื่อเนอะว่าจะมีเวลาออกกำลังกาย (ยิ้ม)... แต่เชื่อได้นะ เพราะทุกคนก็ทำได้ถ้าเราตั้งใจจะทำ พยายามฉวยโอกาสทุกเวลาทุกนาทีเพื่อให้ได้ออกกำลังกาย หรือถ้าไม่ได้จริงๆ ออกกำลังที่บ้านก็ได้ แต่บางคนชอบอ้างว่าเหนื่อยจากงาน เอาไว้ก่อนแล้วกัน แต่อาหมูว่ายิ่งเหนื่อยนี่แหละยิ่งต้องออกกำลังกาย การออกกำลังกายมันคือการเติมน้ำให้ร่างกายครับ แทนที่ยิ่งออกกำลัง เราจะยิ่งเหนื่อยเพิ่มขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งออกกำลังกาย ยิ่งทำให้มีกำลังมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ”
“บางคนบอกว่าไม่รู้จะออกกำลังกายไปทำไม จะสุขภาพดีอะไรกันนักหนาเพราะสุดท้ายคนเราก็ต้องตายเหมือนกันหมด อาหมูอยากจะบอกว่าอาหมูก็ไม่ได้ออกกำลังกายเพื่อหลีกเลี่ยงความตาย หรือเพื่อให้ตายช้าลงนะ แค่คิดว่าวันหนึ่งเวลาเราแก่ตัวไป เราจะได้มีเสรีภาพเป็นของตัวเอง มีเสรีภาพในการเดินเหินเองได้โดยไม่ต้องพึ่งไม้เท้า มีเสรีภาพในการหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมากินด้วยมือของเราเอง มีเสรีภาพในการเดินไปซื้อของด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้ใคร ซึ่งมันเป็นเสรีภาพที่ราคาแพงมากเลยนะแต่คนไม่ค่อยคิดถึงกัน”
“จะให้อาหมูมานั่งชักชวนให้คนอื่นมาออกกำลังกาย อาหมูคิดว่ามันคงไม่ได้ผลหรอก ถ้าเจ้าตัวไม่อยากทำเอง อาหมูคงทำได้แค่ให้เขาลองคิดดู สำหรับคนที่ยังไม่เห็นข้อดีของการออกกำลังกายอยากให้ถามตัวเองว่าเขาอยากมองเห็นอนาคตของตัวเองเป็นแบบไหน ถ้าถามตัวเองแล้วนึกภาพไม่ออกก็คงหาคำตอบให้แก่ชีวิตไม่ได้ แต่ถ้านึกภาพออกว่าอยากเห็นตัวเราในอนาคตเป็นคนแก่ที่ยังกระฉับกระเฉง อยากมีสุขภาพที่ดี อยากจะแต่งตัวแบบไหนก็แต่งได้ ถ้านึกภาพไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้เองครับว่าต้องทำยังไง อาหมูไม่มีคำแนะนำหรอก (ยิ้ม)”
ใช่แล้ว... อาหมูไม่จำเป็นต้องให้คำแนะนำใดๆ อีกต่อไป เพราะความเป็น “ดิลก ทองวัฒนา” ที่ทุกคนรู้จักในวันนี้ ได้ชักชวนให้หลายต่อหลายคนหันมาสนใจการออกกำลังกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถึงเวลาเพิ่มฮอร์โมนเพศชายแล้ว!
หลายคนเข้าใจผิดว่าการเพิ่มฮอร์โมนเพศชายเข้าสู่ร่างกายจะช่วยให้ดูหนุ่มมากขึ้น จึงพยายามสรรหาฮอร์โมนเหล่านี้มาฉีดเอง ซึ่งอาหมูบอกเลยว่าเป็นความคิดที่ผิด ถ้าอยากให้ได้ผลจริงๆ อยากให้พึ่งแพทย์มากกว่า
“คนส่วนใหญ่ชอบใช้วิธีเดาสุ่ม คิดกันเอาเองว่าอายุมากแล้วต้องกินยากระตุ้น คิดว่าฉีดฮอร์โมนเพื่อให้ดูหนุ่มมากขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ การเพิ่มฮอร์โมนเป็นแค่การรักษาระดับฮอร์โมนเอาไว้แค่นั้นเอง เพราะฮอร์โมนเป็นเสาหลักของร่างกาย ทันทีที่ฮอร์โมนพร่องลง โรคสารพัดก็จะวิ่งเข้ามา หรือบางทีคู่สามีภรรยาที่อยู่กันไปนานๆ บ่นกันไปมา ต่างคนต่างหงุดหงิดใส่กัน โดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะฮอร์โมนมันพร่องลงไปนี่แหละ (ยิ้ม)”
“บางคนพยายามหามาฉีดเอง ซึ่งมันอันตรายมาก ทางที่ดีปรึกษาแพทย์ดีกว่าครับ อย่างอาหมูใช้วิธีเจาะเลือดแล้วเอาไปเช็ก ผลจะออกมาให้เห็นเป็นตัวเลขชัดๆ เลยว่าเซลล์ในร่างกายทั้งหมดของเราตอนนี้เป็นยังไง แสดงผลออกมาให้เห็นในรูปของเคมีทางวิทยาศาสตร์เลย พอเห็นว่าเคมีตัวไหนที่ร่างกายขาดไป เขาก็จะใส่เพิ่มเข้าไปแล้วปรุงออกมาให้เหมาะกับสภาพร่างกายของเรา ซึ่งจะเป็นฮอร์โมนที่ออกแบบสำหรับเราโดยเฉพาะ อย่างตอนนี้อาหมูก็ใช้ฮอร์โมนแบบทาอยู่ ทาทุกคืนก่อนนอน” อาหมูอธิบายอย่างละเอียดโดยไม่หวงสูตร
ควร “เสริม” หรือไม่?
ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยของอาหมูที่หลายคนเห็นกันบ่อยๆ บนหน้าจอทีวีนั้น แท้จริงแล้วมีเคล็ดลับเล็กๆ อยู่ที่เรื่องการ “เสริม” นี่เอง... รู้แล้วอย่าเพิ่งตกใจไปเพราะอาหมูไม่ได้เสริมจมูกเหลาคางที่ไหน เพียงแค่ใช้วิธีเสริมวิตามินเติมความสมดุลให้แก่ร่างกายเท่านั้น
“อาหมูจะตรวจสุขภาพทุก 3 เดือน และจะพบแพทย์ทุกทางเลย ทั้งแพทย์หัวใจ แพทย์ความดัน แพทย์ที่ศึกษาด้าน Anti Aging เพื่อต่อต้านความชราภาพ ตรวจวัดปริมาณคอเลสเตอรอล วัดปริมาณฮอร์โมนของร่างกายเพื่อดูว่าร่างกายเราขาดอะไรบ้าง จะได้เลือกวิตามินทดแทนที่เหมาะสม”
“ทุกครั้งที่อาหมูไปหาหมอจะมีผลตรวจออกมาและมีลิสต์ของวิตามินให้ดูเลยว่าต้องกินตัวไหนบ้าง แต่ปรากฏว่าอาหมูเป็นคนเดียวที่เครื่องตรวจว่าไม่ขาดวิตามินสักตัวเลย (ยิ้ม) นั่นเป็นเพราะอาหมูศึกษาด้วยตัวเองมาตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา กินมาหมดแล้วทุกชนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องให้หมอช่วยตรวจสอบ ช่วยเสริมวิตามินบางตัวให้อยู่ดี”
สำหรับบางคนที่ยังยืนยันว่าจะซื้อวิตามินกินเองโดยไม่พึ่งแพทย์ ก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียด โดยมีความรู้พื้นฐานที่ต้องจำไว้ให้ดีคือ “ขอให้รู้ไว้ว่าปกติแล้วร่างกายของคนเราก็มีสารพิษเยอะอยู่แล้วจากการรับเอาอาหาร เอามลพิษต่างๆ เข้าไป เลือดของเราจึงมีความสกปรกอยู่ เราจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับคำว่า Anti-Oxiden หรือการกำจัดมลพิษในร่างกายออกไป”
“ให้คิดอย่างเดียวว่าจะกินยังไงเพื่อช่วยให้ร่างกายขจัดสารพิษออกไปได้มากที่สุด ทางที่ดีอย่าไปเชื่อคนที่บอกว่ากินแล้วผิวขาว กินแล้วสวย สิ่งเหล่านั้นมันเป็นแค่ผลพลอยได้ครับ แต่ตัวที่ช่วยขับพิษได้จริงๆ น่าจะเป็นตัวหลักๆ อย่างวิตามินอี ซี เบตาแคโรทีน และเซเรเนียม รู้แค่นี้ก่อนก็พอ”
จำไปใช้กันได้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ แต่เจ้าตัวไม่รับประกันผลการรักษานะ เพราะ “วิตามินเป็นเรื่องความเข้าใจเฉพาะบุคคล ขนาดหมอยังคิดต่างกันเลย” อาหมูบอกไว้อย่างนั้น
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี