xs
xsm
sm
md
lg

จีจี้ จอมขวัญ นางเอกจอมดื้อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“จีจี้ จอมขวัญ ลีละพงศ์ประสุต” ถือเป็นนางเอกน้องใหม่ล็อตล่าสุดที่ช่อง 3 กำลังปั้นให้เธอได้กลายเป็นดาวจรัสแสง เธอผ่านการแสดงบนละครเวทีมาตั้งแต่ยังเด็กและได้มีโอกาสเข้าสู่วงการด้วยความสามารถที่มาจากพรสวรรค์ และล่าสุดกับผลงานละครเรื่อง หอ หึหึ สาวลูกเสี้ยวไทย-จีน-อเมริกัน ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี M-Lite จะพามารู้จักตัวตนของสาวหน้าหวานสไตล์ห้าวๆ พร้อมทั้งความรักต่างวัยที่ใครๆ รู้แล้วต้องอึ้ง!...

…...................................................

ใบหน้าเธอได้รูปคล้ายตุ๊กตา ดวงตากลมโตใส รูปร่างค่อนข้างสมส่วนของเด็กวัยรุ่นดั่งดอกไม้แรกแย้มที่กำลังเติบโต “จีจี้ จอมขวัญ ลีละพงศ์ประสุต” สาวน้อยลูกเสี้ยว ไทย-จีน-อเมริกัน อายุ 17 ปี ด้วยหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์และกำลังเป็นนางเอกหน้าใหม่ของช่อง3 M-Lite จึงมีโอกาสนัดพูดคุยกับเธออย่างเป็นกันเองในกองถ่ายละครเรื่องสืบสวนป่วนรัก 3 ที่ร้าน Papaya ในซอยโชคชัย 4 บรรยากาศท่ามกลางของตกแต่งบ้านสไตล์ย้อนยุค ยิ่งได้อรรถรสในการพูดคุยและได้ล้วงลึกถึงตัวตนของเด็กดื้อคนนี้อย่างดี


เรียนละครเวทีเพราะขี้อาย

การทำงานบนเส้นทางวงการบันเทิงของสาวน้อยจีจี้ แม้จะเริ่มต้นได้เพียงไม่นาน ทว่าประสบการณ์ทางด้านการแสดงของเธอนั้นเริ่มต้นมาตั้งแต่อายุ 4-5 ขวบ เหตุผลที่ทำให้เธอต้องเรียนการแสดงตั้งแต่เด็กคงต่างจากเด็กเล็กทั่วๆ ไปที่อยากเรียนการแสดง เพราะตอนนั้นเธอเป็นเด็กขี้อายมากจนคุณแม่เครียดและส่งไปเรียนการแสดงเพื่อให้ฝึกความกล้าแสดงออก

จีจี้เล่าให้ฟังว่า เธอไม่ใช่เด็กขี้อายธรรมดา เพราะเธอเป็นเด็กขี้อายจนถึงขั้นไม่คุยกับใครเลย ไม่คุยกับคนแปลกหน้า ไม่ยุ่ง ไม่พูดกับคนอื่น จึงถูกคุณแม่ส่งไปเรียน


“คุณแม่ก็เครียด เหมือนคิดว่าเราเป็นเด็กมีปัญหา ใครจะจับตัวก็ไม่ได้ เขาก็เลยต้องส่งไปเรียน ตอนนั้นเรารู้เรื่องนะ แต่ยังอ่านหนังสือไม่เก่ง ไม่รู้จะแสดงออกยังไง นานเป็นปีกว่าจะรู้สึกได้ว่าเราเป็นคนเริ่มกล้าแสดงออกมากขึ้น ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กค่ะ”


“เรียนละครเวทีมาตั้งแต่เด็ก เรียนไปเรียนมาแล้วชอบ ก็เลยเล่นละครเวทีมาตั้งแต่ตัวเอง อยู่ ป.5 จากนั้นก็หยุดไป เพื่อจะกลับมาเรียน จากนั้นก็ได้มีโอกาสไปแคสต์งานโฆษณาบ้าง แล้วก็เดินแบบด้วย จนได้งานโฆษณา พอช่องสามเห็น ก็เลยได้มาเล่นละครเป็นเรื่องแรก”


“จี้เองมีแค่พื้นฐานการเล่นละครเวที มันไม่เหมือนกัน มาเล่นทีวี ก็ยากทั้งวิธีการแสดงและวิธีการปรับตัว อะไรด้วย พัฒนาด้วยวิธีการสอน ละครเวทีคือละครที่ห้ามผิดพลาด เราอยู่หน้าเซตต้องเทกเดียวจบ แล้วก็ต้องเก่งเรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เราต้องต่อบทโดยไม่มีให้อ่าน ต้องจำให้ได้ แล้วตอนเด็กอ่านหนังสือยังไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีการฟังแล้วก็จำค่ะ เริ่มพัฒนามาเรื่อยๆ”


งานละครเวทีที่เรียนมาตั้งแต่เด็กจนได้รับบทบาททางการแสดงอยู่บนเวที เริ่มต้นด้วยบทเล็กๆ ตามสเต็ปของการแสดง จากเด็กที่เล่นเป็นตัวประกอบฉากสู่นางเอกละครเวทีวัยเยาว์ ทำให้ประสบการณ์การเรียนรู้เรื่องการแสดงค่อยๆ สั่งสมขึ้นมา


ละครเรื่องแรกจีจี้เล่าว่าเธอเริ่มจากบทตัวประกอบฉากเป็นเรือ จากบทเล็กๆ ไป ค่อยๆ ขยับขึ้นทีละนิด ก็เป็นสเต็ปของมันไป เป็นไปทีละสเต็ป พอตัวเองเริ่มพูดได้ก็ได้เป็นคนเล่าเรื่อง เล่าความเป็นมาของเรื่องเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น กระทั่งเรื่องแฝดต่างดาว ได้รับบทเป็นแฝดตัวติดกัน ส่วนเรื่องที่เป็นเวทีใหญ่จริงๆ สำหรับเด็กตอนนั้นกับละครเวทีที่พิพิธภัณฑ์เด็ก กับละครเวทีเรื่องพระอภัยมณีและเรื่องโมโม่


“ตอนขึ้นเวทีใหญ่จริงๆ เราต้องทำงานหนักมากเหมือนซ้อมตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 5 ทุ่ม ช่วงนั้นท้อเหมือนกันนะค่ะ มันเหนื่อย เราต้องพยายามเล่นให้ได้”


ส่วนผลงานละครที่ได้รับเล่นเป็นเรื่องแรก ผยอง เมื่อปี 2009 ซึ่งยังไม่ได้ออนแอร์ แต่ยังมีละครเรื่องอื่นที่แฟนละครคงได้เห็นหน้าค่าตากันไปบ้างแล้ว เช่น สืบสวนป่วนรัก หอหึหึ ฯลฯ กับงานละครเรื่องแรก ผยอง เธอเล่าว่า เธอไม่ได้เรียนแอ็กติ้งมาก่อน มีเพียงแค่เวิร์กชอปก่อนถ่ายทำจริง 2 เดือนเท่านั้น แต่ด้วยประสบการณ์ที่มีพื้นฐานทางด้านละครเวทีมาบ้างจากการได้เรียนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ต้องพัฒนาตัวเองจากละครเวทีสู่ละครทีวี


ซีเรียสกับการเรียน

จากการพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับสาวตากลมโต คนนี้ทำให้รู้สึกได้ว่าเธอเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบและมีความตั้งใจเกินร้อยกับสิ่งที่ทำอยู่อย่างมาก จีจี้ให้เหตุผลว่า คงเพราะเธอทำงานมาตั้งแต่เด็กจึงทำให้ดูจริงจังและมีความรับผิดชอบ


หลายครั้งที่การทำงานพร้อมการเรียนนั้นทำให้เธอต้องหยุดเรียนไปนับเดือน แต่เมื่อได้กลับมาเรียนจึงต้องขยันกว่าเพื่อนๆ ในห้องมากขึ้นหลายเท่าตัว


“จี้หยุดไปพอได้กลับมาก็ต้องตื่นไปเรียนตั้งแต่หกโมงโมง เรียนที่เพื่อนเรียนไป มาตั้งแต่หกโมง เจ็ดโมงเช้า เข้าเรียนจริง เที่ยงก็มานั่งเรียน เย็นก็เรียนนอกเวลาให้ครูช่วย เรียนพิเศษ ให้ครูช่วย ตอนนี้จี้ก็ได้ยื่นสอบเทียบวุฒิม.6 เอาไว้แล้วค่ะ เพราะเราอยากจบเร็วกว่าเพื่อนๆ ก็เลยลองสอบดูปรากฏว่าจี้สอบผ่านก็ดีใจมาก”


จีจี้บอกว่าเธอเป็นคนที่ค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องผลการเรียนมาก ถ้าหากผลการเรียนตกจะรับไม่ได้เพราะต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย


“บางทีจี้ไม่ได้นอนเลยก็มี แต่เราก็ต้องทำงานเสร็จอ่านหนังสือ พรุ่งนี้สอบ ไม่มีใครจัดเวลาให้ เราก็รู้เวลาเองนะ ว่าเราต้องอ่านหนังสือแล้วนะ ถ้าทำงานก็ต้องทำงานจริงๆ เราต้องรู้เวลาว่าเราว่างจะอ่านหนังสือวันไหน แต่จี้ไม่ใช่เด็กที่จะมาตั้งใจเรียนอ่ะค่ะ เป็นเด็กที่ในชั่วโมงเรียนก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนหรอก มีงีบบ้าง วาดรูปเล่น แต่จะเป็นคนที่อ่านแล้วเน้นเรียนพิเศษ อย่างวิชาที่ชอบก็เอาดีไปเลยไม่ต้องเรียนก็ได้ เวลาที่ไม่ชอบ ให้จี้เรียนให้ตายก็เรียนไม่รู้เรื่อง


ม. ปลายวิชาที่เรียนพิเศษจนมืดถ้าเราไปไม่ได้ ให้เรียนถึงมืดก็เรียนไม่ได้อยู่ดี ที่ไม่ได้ก็วิชาฟิสิกส์ แต่ถ้าได้เลยก็เป็นวิชา ชีวะ เลข อังกฤษ พวกนี้จะชิวมาก ถ้าเป็นสังคม ฟิสิกส์ ก็จะแบบอยู่ห่างๆไปด้วยกันไม่ได้”


“หนูจบสาธิตเกษตร เรียนสายวิทย์ เกรดอยู่ที่ 3.6 ขึ้น ถ้าเรารับไม่ได้ก็คือต่ำกว่า 3.5 แต่เกรดมันก็ลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ประถมจี้จะอยู่ที่ 3.8 อัปตลอดจน ม.ต้น ง่าย พอ ม.ปลายกว่าจะได้ 3.5 เลือดตาแทบกระเด็น เพราะว่ามีวิชาที่ฉุดก็คือฟิสิกส์ จะเกือบตกตลอด แต่วิชาอื่นได้โอเคเราก็ฉุดขึ้นมาให้มันได้จริงๆ ”


หลังจากสอบเทียบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยได้เธอเลือกที่จะเรียนทางด้านคอมพิวเตอร์กราฟิก ไม่ได้เลือกสายวิทย์อย่างที่เรียนมาก เพราะคิดว่าคงไม่ใช่แนวของตัวเอง จีจี้ยอมรับว่าเธอเพิ่งจะมารู้ตัวว่าตัวเองชอบทางด้านศิลปะมากกว่า ชอบวาดรูป ถึงแม้จะรู้ตัวตอนม.ปลายเธอเองก็ไม่ยอมเลือกเรียนสายศิลป์เหมือนคนอื่นๆ


“แม่ก็จะถามนะว่าย้ายสายมั้ยไปเรียนศิลป์ ก็บอกว่าไม่เอาเพราะไม่ชอบสังคม ภาษาไทย อย่างสอบเทียบก็เลือกสอบสายวิทย์ ลงชีวะ เคมี เลข อังกฤษ ไม่ลงไทย สังคม แต่เราเลือกคอมพ์กราฟิก เพราะจริงๆ มันก็เป็นความฝันเล็กๆ ที่เราชอบอ่านการ์ตูน ชอบดูแอนิเมชั่น ที่เป็นที่สุดคือ ไฟนอลแฟนตาซี เพราะกราฟฟิกเค้าสุดยอดมาก อย่างเรื่อง up มันคือแอนิเมชันที่เราคิดว่าถ้าเราตั้งใจกับมันจริงๆ เราก็ทำได้ อาจจะมีโอกาสทำแบบนี้ก็ได้ ก็เป็นเป้าหมายใหม่ที่เราเลือกมาทางนี้”


เฟรชชี่เด็กอินเตอร์

ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเธอบอกกับทางทีมงาน M-Lite ว่าเธอกำลังยื่นคะแนนสอบเทียบกับทางมหาวิทยาลัยกรุงเทพเอาไว้และอยู่ในช่วงทำ Portfolio เพื่อเสนอผลงานที่ผ่านมาและคะแนนสอบเทียบ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เราได้รับข่าวน่ายินดีจากเจ้าตัวว่าเธอกำลังจะเป็นน้องใหม่คณะ Computer Graphic and Multimedia Bangkok University international collage


“จริงๆ เป็นคนชอบกล้อง เป็นคนชอบถ่ายรูป ชอบอะไรก็ได้ที่มันเป็นเลนส์ แต่มันไม่มีในเมืองไทยที่จะเรียนเอกกล้องจริงๆ แล้วจี้เข้าได้แค่ภาคอินเตอร์เพราะจี้สอบเทียบของเมืองนอก ไม่ได้สอบในไทย เหตุผลนึงที่สอบเทียบเพราะเราต้องการหนีการศึกษาไทย เราไม่มีเวลาไม่ติวหรอก โอเน็ต พวกนั้น เราไม่มีเวลาไปตาม ก็เลยลงมาสอบ ชอบมั้ย มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำแล้วไม่เบื่อนะ มีวาดรูป วาดได้ตลอดเวลา จี้เป็นคนที่มีพื้นฐานเรื่องการวาดเป็นศูนย์ แต่คิดว่าอยากวาด ไม่รู้ว่าจะเอาความคิดเหล่านั้นออกมาจากหัวยังไง เป็นคนที่ไม่ได้มีครีเอทอะไรเลย เราตอนนี้ก็ต้องเอาเวลาไปเรียนดรออิ้ง อยากจะมีชื่อเราเป็นเครดิตในหนังทำแอนิเมชั่น อะไรสักเรื่องคงยังไกล ถ้าจบตรีก็คงไปต่อโท ด้านฟิล์มแม้ว่าที่ผ่านมาเด็กไทยจะวุ่นอยู่กับการสอบโอเน็ต เอเน็ต จนเกิดอาการเครียดไปหลายคน แต่มีอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้รู้ว่าสาวจีจี้เฟรชชี่น้องใหม่คนนี้ไม่เลือกที่จะรอสอบตามระบบก็เพราะเธอไม่ชอบระบบการศึกษาไทยอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้


จีจี้ได้ให้เหตุผลเอาไว้อย่างน่าคิดว่าที่เธอเองไม่ชอบระบบการศึกษาไทย เพราะตนเองมองว่าคนไทยเน้นตำรามากเกินไปเมื่อเทียกับการเรียนของเด็กต่างประเทศที่เน้นในเรื่องการปฏิบัติจริงมากกว่า


“เด็กไทยเรียน 4.00 เขาอาจจะสู้เด็กนอกที่ได้แค่สองไม่ได้ก็ได้ เพราะคนเมืองนอกเค้าเน้นปฏิบัติจริง ที่คุณได้ใช้ อย่างคนไทยคุณอาจจะไม่อยากเป็นหมอ แต่คุณต้องเรียนชีวะจนถึงเบื้องลึกทุกอย่างแต่เมืองนอกเรียนแค่พื้นฐาน เรียนแค่ให้รู้ว่านี่คือร่างกายมนุษย์ ถ้าคุณสนใจด้านนี้จริงๆ ก็ต่อด้านนี้โดยเฉพาะถ้าคุณชอบเต้นก็ไปต่อทางด้านนี้โดยตรง ก็เรียนอาร์ตการเต้นแล้วเข้ามหาวิทยาลัยเต้นไปเลย ก็ไม่ต้องเอาสมองไปเรียนวิชาที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตคุณเลย


คนไทยแทนที่เด็กจะมุ่งที่ว่าเราอยากเรียนอะไร แต่คุณต้องเรียนทุกอย่างเพื่อที่จะเข้า อย่างโอเน็ต เอเน็ตคำถามมันก็ไม่ได้ตรง ถามผ้าปูโต๊ะ จี้ฟังแล้วจี้ไม่สอบนะแบบนี้ มันไม่ได้วัดความสามารถเด็กใครจะรู้ว่าเค้าจะให้เราตอบแบบไหน เรามาทางนี้ดีแล้วสอบตัวเดียวพอไปเลย สอบเทียบปีหนึ่งสอบได้หลายครั้ง ถ้าสอบโอเน็ต เอเน็ต เราเกิดเป็นอะไรขึ้นมาวันนั้น ชีวิตเราจบเลยนะ ตั้งแต่มีบัตรประชาชนสอบเทียบมาสองสามครั้งแล้วเอาคะแนนที่ดีที่สุดไปยื่น ถ้าคุณอยากเรียนอะไรก็เรียน”


เด็กดื้อเงียบ

“ดื้อตาใส” คือคำนิยามที่จีจี้ให้แก่ตัวเองเวลาอยู่กับครอบครัว เธอเป็นลูกคนเล็กของครอบครัวมีพี่ชายหนึ่งคน จึงทำให้เธอดูเป็นเด็กที่มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและค่อนข้างยึดติดกับความคิดของตนเองอย่างมาก


“มีพี่ชายหนึ่งคน เรียนวิศวะยานยนต์ อินเตอร์ที่จุฬา ความสัมพันธ์กับพี่เราก็เป็นผู้ชายห้าวๆ กับพี่เล่นเป็นผู้ชายพอเราอยู่บ้านคนเดียวทำอะไรก็ได้เหมือนเด็กผู้ชายเพราะเราต้องดูแลตัวเองเพราะว่าพี่ชายเราไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก จนเค้ากลับมาเรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย เรากับเขาก็ห่างกัน 5 ปี เขาก็มีงานอดิเรกของเขา เราก็ทำงานอดิเรกของเรา เราไม่ค่อยได้คุยเรื่องงาน”


เป็นเด็กดื้อที่รับผิดชอบในส่วนที่ต้องรับผิดชอบ อย่างตั้งใจจะไปซื้อหนังสือก็ไปซื้อหนังสือนะจะต้องซื้อให้ได้ ถ้าแม่ใช้ให้ไปซื้อเราก็จะเอือย เดี๋ยวค่อยไปก็ได้จะเป็นแบบนี้ คุณแม่บ่นเพราะดื้อกว่าจะเลี้ยงโตมาขนาดนี้ ดื้อตาใส เขาพูดไรมาก็ตอบรับแต่ไม่ทำ บางทีเถียงแต่ก็ไม่ทำ


“หลายคนมองว่าเราโตกว่าอายุหรือเปล่า เพราะจี้ทำงานมาตั้งแต่เด็ก พ่อกับแม่ก็จะสอนให้เรามองอนาคตว่าเราจะเดินไปทางไหน อยากทำงานแล้วหยุดเรียน หรืออยากเรียนก็ตั้งใจเรียน หรือถ้าหยุดเรียนจะทำไง เรายังไง เราก็ไม่ พูดตรงๆ งานตรงนี้มันไม่ได้มั่นคง มันไม่ได้เสถียรเราจะไปตอนไหนเมื่อไหร่ก็ได้ เราทำผิดนิดเดียวเราอาจจะจบเลยก็ได้ ถ้าเราเรียนเราจบ เราก็จะไปทำอะไรต่อ ถ้าไปด้านละครมันก็จะมีลู่ทางเราก็จะมีลู่ทางของเราอยู่แล้ว รู้ว่าเราจะเริ่มตรงไหน”


เธอบอกว่าตั้งแต่เข้าวงการบันเทิงมาคนที่ห่วงมากที่สุดคือ คุณพ่อและคุณแม่ ส่วนพี่ชายเองจะเข้าใจว่าการทำงานคืออะไร โดยเฉพาะเรื่องของข่าวคราวที่แม้จะมีข่าวออกมาแต่ก็เงียบไปแล้วบ้างนั้นเพราะจี้เป็นคนที่ไม่แคร์และไม่ได้ออกมาตอบคำถามให้มันเสียเวลา


ข่าวที่มีก็มีตั้งแต่ข่าวเป็นเด็กสก็อยซ์ เป็นมือที่สาม ให้ท่าผู้ชายหรืออะไรก็แล้วแต่ ถามว่าตัวแปรในเรื่องนั้นเค้าเป็นใคร เค้าก็เสียหาย เราก็เป็นผู้หญิงแรกก็เซ็งเพราะบางทีก็ทำให้คนที่เค้าไม่รู้จักเรารู้สึกหรือคิดไปแล้วว่าเราเป็นแบบนั้น เพราะเค้าไม่รู้จักตัวเรา ตั้งแต่ทำงานก็ไม่ได้คิดมากทำใจมันก็ต้องเจอไว้แล้ว


“สำหรับจี้จะไม่แคร์คนที่เขาไม่แคร์จี้ คนที่ว่าเรา แสดงว่าเค้าไม่ได้แคร์เรา จี้จะไม่แคร์หรือมาตามแก้ข่าวเพื่อให้คนที่เค้าเกลียดเราหันกลับมารักเรา เพราะเราจะพูดดีให้ตายยังไงก็เปลี่ยนได้ จี้เอาเวลาไปใส่ใจคนที่เค้ารักจี้ดีกว่า ดูแลคนที่เค้ารู้จักเราจริงๆ เพราะจี้ก็ไม่ใช่คนที่ดีเรียบร้อย อะไรมากมาย จี้ก็มีมุมของจี้เอง แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายขนาดนั้น”


หลงเสน่ห์ไทยดั้งเดิม

ในมุมหนึ่งที่หลายคนมองไม่เห็นในตัวของสาวจีจี้ลูกเสี้ยว ไทย จีน อเมริกัน คนนี้ก็คือความหลงใหลในประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะชาติใดก็ตาม


การเลี้ยงดูของที่บ้านสอนให้ลูกมีความคิดแบบไทยแท้ เลี้ยงดูทุกอย่างแบบคนไทย ทั้งเรื่องรักนวลสงวนตัว กิริยามารยาทการเข้าหาผู้ใหญ่ การวางตัวและการใช้ชีวิต


“เพราะจี้เป็นคนที่หลงเสน่ห์ความเป็นไทยนะไม่ใช่สมัยใหม่แต่เป็นไทยดั้งเดิม ถ้าเจอนิยายอย่างทวิภพก็จะคลั่งมาก หาประวัติศาสตร์มาอ่าน ไม่ว่าจะไทย จีน ญี่ปุ่น อ่านว่าเค้าคิดยังไงว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจ มนน่าค้นหา คนไทยมีอะไรเยอะมากนะค่ะในอดีต เค้าฉลาดมาก ถ้าชีวิตคนเราสมัยนี้ไม่มีไฟฟ้าก็คิดกันแล้วว่าชีวิตเราจะจบ เราอยู่ไม่ได้ พอไฟดับเราออกไปห้างฯ กันแล้ว แต่สมัยก่อนนะไฟก็ไม่มีน้ำประปาก็ไม่มีเค้าอยู่กันได้แล้วก็สบายด้วย”


“ว่างๆ จี้จะชอบอ่านหนังสือ ไม่ก็เล่นดนตรี เล่นเปียโน ขิม เบส แอบไปเล่นเพราะแม่ไม่อยากให้เรียนกลัวนิ้วแตกแต่เราก็แอบเล่นแล้วก็เล่นเบสตั้งแต่นั้น ถ้า
ไม่เข้าวงการหนูคงเป็นเด็กเนิร์ดไปแล้วอ่ะ จี้เฉิ่ม แต่งตัวไม่เป็น ไม่ดูแลตัวเอง ถ้าไม่บังคับก็จะไม่ทำ วิตามินบำรุงเราก็จะกินแค่สองสามเม็ดแต่จริงๆไม่กินหรอก พอเข้ามาในวงการเราต้องเรียนรู้ที่จะแต่งตัวคุมน้ำหนักให้ตัวเองดูดีขึ้น อย่างเมื่อก่อนหน้าไม่แต่ง ผมไม่ทำ เราเป็นคนลุยเพราะติดพี่ชาย ปีนต้นไม้ให้เย็บผ้าเล่นตุ๊กตาไม่เอา ไม่ทำ”


รักต่างวัยหัวใจใกล้กัน

เรื่องราวความรักของจีจี้ ถึงอายุเธอยังเด็ก ทว่าความรักของเธอไม่ได้เหมือนเด็กๆ ทั่วไป ที่จะมาหวานแหว๋ว จ๊ะจ๋ากันในแบบของวัยรุ่นวัยเรียนทั่วไป

ถามถึงสเปกชายหนุ่มในฝันของเธอ เธอตอบกับเราโดยไม่ต้องคิดมากว่า ชอบผู้ชายอายุมากกว่าและตอบตามตรงว่าเธอเจอผู้ชายคนนั้นแล้ว


หากหลายคนสงสัยอยู่ว่าชายคนนั้นคือใคร M-Lite ค่อยๆให้เธอเปรยออกมาทีละนิด เธอตอบแบบอ้อมๆ ว่า เป็นชายหนุ่มนอกวงการที่ใครๆ ต่างก็รู้จักกันดี เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แก่เครื่องดื่มชูกำลังและเป็นนักแข่งรถระดับต้นๆ ของเมืองไทย


“ไปเจอกันในร้านอาหารแห่งหนึ่งเธอไปถ่ายละคร และเขาก็ไปรับประทานข้าว พอจีจี้เห็นเขาก็ขอถ่ายรูปเพราะจีจี้เองก็ปลื้มพี่เขาที่เขาเก่ง มีความสามารถด้วย ก็เลยไปขอถ่ายรูป แลกเบอร์ แลกพินบีบี กัน จนวันหนึ่งพี่เขาก็เข้าไปคุยกับพ่อแม่เราว่า ผมรักลูกสาวคุณนะ เราก็ไม่คิดว่าพี่เค้าจะมาสนใจเด็กอย่างเราหรอก ”


“ชอบผู้ชายอายุเยอะกว่า บางทีเค้าก็เหมือนเด็ก เวลาอยู่กับเราก็งอแงไปด้วยกัน เป็นคนที่จริงจังกับทุกอย่างในชีวิต เค้าเป็นคนเครียดนะ โฟกัสกับอะไรก็จะทำให้ได้ จี้นับถือเค้าตรงนี้เพราะเค้ามีความพยายามสูงมาก เค้าสอนอะไรเราเวลามีปัญหาก็ให้คำสอนที่ทำให้เราคิดได้นะ และด้วยความที่เค้าเป็นผู้ใหญ่ จี้ก็ต้องการความสัมพันธ์ที่จริงจังไม่ใช่มาคุยเล่นๆ หรือว่าแค่มาหยอกมาแก้เหงา จี้รักใครก็เลือกเอง เค้าเป็นผู้ใหญ่เวลาเรางอแงเค้าจะเข้าใจเรา อย่างเราเองเวลาที่พี่เค้ามีปัญหาเราจะงอแงไม่ได้ไม่ว่าจะโกรธอะไรมาก็ตามเพราะเค้าเองก็จะไม่ทำ จะไม่ทะเลาะกันข้ามคืน จบคือจบจะไม่พูดถึงอดีต ความรักก็ต้องโต เราก็ไม่ได้อยากได้แบบรักๆ เลิกๆ เราต้องการความสัมพันธ์ที่นานที่สุด อะไรที่เขาไม่ชอบเค้าก็ต้องเปลี่ยนหรือว่าเราไม่ชอบเค้าก็ต้องปรับ คบมาจะ 1 ปีแล้วค่ะ ”


“บางครั้งที่เขาไม่เข้าใจการทำงานตรงนี้ ถึงเขาจะขี้หึงแต่เขาก็ไม่สนใจข่าวตรงนี้ บางทีเขาก็แซวเจอพระเอกหล่อๆ ก็หวั่นไหว เราก็บอกว่าอย่ามางี่เง่านะ จี้เป็นคนรักแล้วรักเลย ไม่มีแน่นอนแบบนี้ ทุกวันที่มีคือเพื่อนร่วมงาน เขาก็ขอว่าถ้ายังไงก็เซฟตัวเองเพราะเค้าห่วง เป็นเด็กดีนะ เพราะว่าจี้เป็นคนขี้หึงเหมือนกัน ถ้าจะต้องอยู่กับผู้หญิงเราก็เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ แต่คนนอกอาจจะมองว่าไร้เหตุผล นี่คืองานไม่เข้าใจหรอ แต่เมื่อเราอยู่โมเม้นต์นั้นไม่มีใครเข้าใจหรอก ก็ดูๆ กันไปเรื่อยๆ ต่างคนก็พยายามทำให้ดีที่สุด”


สุดท้ายเธอก็ยอมเปรยชื่อของชายหนุ่มในฝันของเธอหลังจากที่เรากำลังพยายามค้นหาคำตอบอยู่พักใหญ่ว่าใช่ “กีกี้ ศักดิ์ นานา” ที่เคยมีข่าวแว่วๆ มาจริงหรือไม่


“ก็เป็นข่าวอยู่พักนึงค่ะ จำได้เลยว่าเคยโดนนักข่าวถามเหมือนกัน เราเองก็ไม่ชินไงค่ะ แต่เรื่องก็เงียบหายไปนานจนไม่มีคนพูดถึงแล้ว หลายคนที่รู้ก็อาจจะมองว่าเราอายุห่างกันเยอะ ทำงานกันคนละโลกแต่เราโชคดีที่ไม่ค่อยทะเลาะกันค่ะ”



********************************************



ประวัติส่วนตัว

ชื่อ จอมขวัญ ลีละพงศ์ประสุต
ชื่อเล่น จีจี้
อายุ 17 ปี
การศึกษา มัธยมศึกษา โรงเรียนสาธิตฯเ กษตรศาสตร์
ระดับปริญญาตรี กำลังศึกษาคณะ Computer Graphic and Multimedia Bangkok University international collage
ผลงาน : ผยอง , หอหึหึ , สืบสวนป่วนรัก
 
ข่าวโดย  Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์

ภาพโดย  พงษ์ศักดิ์  ขวัญเนตร 






ขี่ม้าริมชายหาดกับพี่ชาย



คุณพ่อและคุณแม่
ละครเรื่อง หอ หึหึ

ละครเรื่องสืบสวนป่วนรัก
กีกี้ ศักดิ์ นานา  รักต่างวัยของจีจี้
ละครเรื่อง สองผู้ยิ่งใหญ่
กำลังโหลดความคิดเห็น