ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยถูกปกคลุมด้วยวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองอันรุนแรงและแหลมคม สาเหตุประการหนึ่งที่ชัดเจนคือสถาบันทางการเมืองวิ่งตามความสลับซับซ้อนของสังคมไม่ทัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถาบันอื่นๆ ที่เคยทำหน้าที่ค้ำจุนสังคมก็เช่นกัน
สถาบันสื่อก็ไม่อาจปัดความรับผิดชอบนี้ เทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ ทีวีไทย บอกว่านี่คือสถานการณ์ที่สื่อไทยเองก็ไม่เคยเผชิญมาก่อน แม้แต่ทีวีไทยก็ยังเผชิญคำวิพากษ์วิจารณ์หลากหลาย
ในวิกฤตอันสาหัส คือช่วงเวลาที่สื่อจะต้องยกเครื่องกันใหม่ ท่ามกลางการแข่งขันดุเดือด เทคโนโลยีทรงพลัง บริบทประเทศและโลกที่เปลี่ยนไป หมดยุคแล้วกับการรายงานสิ่งที่แหล่งข่าวพูดแบบคำต่อคำ ความแตกต่างและการสร้างบุคลากรคือสิ่งที่เขาเชื่อว่าจะทำให้สื่ออยู่รอดได้ในอนาคต
จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองตลอด 4-5 ปีนี้ เห็นแรงกระเพื่อมอะไรที่ส่งผลต่อสถาบันสื่อบ้าง
ผมว่ามันก็มีผลกระทบเยอะนะถ้าเรามองย้อนกลับไปช่วงก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ สมัยที่คุณทักษิณยังเป็นผู้นำรัฐบาล บทบาทของสื่อขณะนั้นก็ถูกแรงกระแทกจากการเมืองเยอะ มีคำถามเยอะเกี่ยวกับบทบาทของสื่อในการตรวจสอบอำนาจรัฐ
พูดตามตรงว่าสื่อกระแสหลักบางส่วนขณะนั้นก็ถูกการเมืองดึงไปเป็นพรรคพวกแล้ว การตรวจสอบก็มีน้อยมากด้วยเหตุผลหลายอย่าง ปัจจัยด้านเศรษฐกิจก็ทำให้สื่อกระแสหลักบางสื่อต้องยอม แต่ก็มีสื่อกระแสหลักหลายแห่งที่ยังคงยืนหยัดในการทำหน้าที่ของสื่อ
ผมว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าสื่อเองก็มีความแตกแยก พอมันมีความขัดแย้งที่บานปลายเป็นการเผชิญหน้าและนองเลือด มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นไปใหญ่ว่ามีสื่อที่เลือกข้าง แล้วก็ถูกคนทั่วไปมองสื่อทั้งวงการด้วยความไว้วางใจน้อยลง รู้สึกว่าสื่อที่มีอยู่ให้ความจริงแค่ไหน ต้องยอมรับว่าในหลายโอกาสสื่อก็เสนอความเห็นมากกว่า เสนอจุดยืนตัวเองมากกว่าเสนอข้อเท็จจริง
ความเห็นผมคือแม้แต่สื่อกระแสหลักก็ไม่เคยเผชิญสถานการณ์แบบนี้มาก่อน สื่อเลือกข้างนี่มันชัดเจนอยู่แล้วนะ ไม่ต้องพูดถึง แต่หมายถึงสื่อกระแสหลักอื่น ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ ทีวี หรือหนังสือพิมพ์ เราอาจไม่ได้พูดถึงเสรีภาพในการทำหน้าที่ ผมมั่นใจว่าในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่เสรีภาพของสื่อมีสูงมาก คือดูจากวิธีการทำงาน และการนำเสนอข่าว ไม่ได้บอกว่า 100 เปอร์เซ็นต์นะ แต่ถ้าเทียบกับ 10 ปีก่อน โดยเฉพาะทีวีกับวิทยุ การกำกับควบคุมน้อยกว่าสมัยก่อนเยอะ สื่อเหล่านี้มีโอกาสเสนอข้อเท็จจริงได้มากที่สุดเท่าที่เคยมี แต่จะเสนอยังไงนั่นอีกเรื่องหนึ่ง
ประเด็นที่ผมอยากพูดคือเมื่อมีเสรีภาพระดับหนึ่งแล้ว เขาได้ใช้เสรีภาพในการรายงานข่าวได้ในระดับที่ดีแค่ไหน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำให้ประชาชนเข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เกิดคำถามว่าสื่อเข้าใจและสะท้อนภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง เที่ยงตรง และเป็นธรรมมากน้อยแค่ไหน หรือแค่รายงานอย่างเดียวโดยไม่ตรวจสอบสิ่งที่รายงานไป
ในสถานการณ์ที่ความขัดแย้งมันแหลมคมมาก สื่อมวลชนต้องทำหน้าที่ตรวจสอบสิ่งที่ได้ยินมา ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่แกนนำฝ่ายไหนพูดก็เอาไมโครโฟนไปจ่อ ปล่อยเสียงเขา แล้วจบ นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่รายงานไปไม่มีการตรวจสอบว่าจุดยืนเป็นอย่างไร พอสื่อมวลชนทำหน้าที่แค่รายงานสิ่งที่ได้ยินมา คนดูก็สับสนมากยิ่งขึ้น ผมจึงคิดว่าสื่อมวลชนน่าจะทบทวนตัวเองได้ว่า บทบาทของตัวเองในช่วงเหตุการณ์แบบนั้น มันเป็นวิกฤต ใช่ แต่ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการให้ความรู้หรือทำให้คนอ่าน คนดู คนฟัง เข้าใจเหตุการณ์บ้านเมืองอย่างลึกซึ้ง รอบด้านมากขึ้น โดยไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
สิ่งที่เรียกว่า ‘ความเป็นกลาง’ สถานการณ์ปัจจุบันนี้เลิกพูดได้แล้ว
คงต้องดูในรายละเอียด สื่อที่เลือกข้างคงไม่ต้องพูดถึง เขาปฏิเสธความเป็นกลางไปแล้ว แต่ถ้าเราพูดถึงความเป็นกลางของสื่อที่ยังเหลืออยู่ บางทีความเป็นกลางไม่ใช่หมายถึงให้โอกาสกับทุกคนเท่าเทียมกัน แต่สื่อมวลชนต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม หาประเด็น ความเห็นที่หลากหลายกว่ากลุ่มคนที่ขัดแย้งกัน การที่บอกว่า นาย ก พูดอย่างนี้ แล้วเอานาย ข มาพูดยืนยันว่าจริงหรือไม่จริงคงไม่ใช่การตอบโจทย์ว่าเป็นกลาง ผมว่ามันอาจไม่ใช่วิธีที่ทำให้เกิดความเป็นกลางอย่างแท้จริง สื่อมวลชนมีหน้าที่สำคัญมากคือทำให้ประชาชนเข้าใจสิ่งที่รายงานได้อย่างชัดเจนมากกว่าแค่ฟังคู่กรณีหรือคู่ขัดแย้งพูด
คุณยังเชื่อความเป็นกลางของสื่อยังมีจริงและเป็นไปได้
มันคงไม่มีความเป็นกลางที่ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่สื่อได้พยายาม คำว่า ‘เป็นกลาง’ ต้องตีความเยอะพอสมควร ถ้าบอกว่าไม่เลือกข้าง มันก็ง่ายเกินไป ผมว่าความเป็นกลางคือการที่สื่อมวลชนพยายามให้ข้อมูลข่าวสารของคู่ความขัดแย้งให้รอบด้านมากที่สุด สื่อมวลชนต้องทำการบ้านมากขึ้น เพราะนี่คือสถานการณ์ที่ผิดปกติ และผมเชื่อว่าในความขัดแย้งต้องมีความเห็นที่ 3 ที่ 4 ที่อาจจะไม่ตรงกับ 1 และ 2 ถ้าจะให้ความเป็นกลางมันปรากฏจริง นี่คือสิ่งที่สื่อมวลชนต้องทำหน้าที่ตรงนี้ ต้องไปหาข้อมูลที่ขยายว่าคู่ขัดแย้งที่ทะเลาะกันอยู่มีที่มาที่ไปยังไง มีทางออกอย่างอื่นหรือเปล่า
บทสัมภาษณ์ของนักวิชาการบางท่าน พูดทำนองว่าสื่อจะเป็นกลางในสถานการณ์ทุกวันนี้ได้ สื่อต้องมีกึ๋นด้วย และยังวิพากษ์ทีวีไทยว่าไม่ยอมเลือกข้าง จึงเสนอข่าวไม่ลึก ตีกิน ลอยตัวไปเรื่อยๆ สื่อเองก็เล่นการเมืองด้วยเหมือนกัน คุณคิดว่ายังไง
สิ่งที่นักวิชาการพูดคงไม่ได้หมายถึงไทยพีบีเอสหรอก เพราะมันชัดเจนมากว่าเราได้พยายามทำหน้าที่ในภาวะวิกฤต เราคงไม่เทียบกับสื่ออื่นนะ แต่ได้พยายามมากที่สุดในการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้มีเวทีในการแสดงความคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคู่ขัดแย้งเลย
ตอนเหตุการณ์แรงๆ เรายกเลิกรายการอื่นๆ หมดนะ เรตติ้งเรามาเป็นอันดับหนึ่ง ผมก็แปลกใจเหมือนกันว่าคนที่วิจารณ์เราได้ดูสถานีเราหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นซีเอ็นเอ็น บีบีซี รัสเซีย ทูเดย์ ก็เอาข่าวเราไปออกหมดเลย ซึ่งเราถือว่าทำหน้าที่ของเราเต็มที่แล้ว
ผมไม่เข้าใจด้วยว่าเลือกข้างแปลว่าอะไร คือต้องประกาศว่าเราไม่เอาฝั่งนั้น 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ฟังข้อเรียกร้องหรือความเห็นเขาว่าเป็นยังไง ผมคิดว่าหลายๆ เรื่องไม่มีใครผิดหรือถูก 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของสื่อคือการสะท้อนประเด็นที่สังคมควรรับรู้ แน่นอน เราต้องปฏิเสธสิ่งที่ผิดกฎหมาย ไม่ถูกต้อง เช่น การใช้ความรุนแรงหรือการปลุกระดมให้มีการเกลียดชังกัน เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไทยพีบีเอสได้พยายามสะท้อนออกมาตลอดเวลา แน่นอนว่ามันคงไม่ถูกใจคน 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ผมยืนยันว่านี่คือแนวทางปฏิบัติที่เราพยายามยึดเอาไว้
ความขัดแย้งทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสถาบันการเมืองปรับตัวไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคม แล้วสถาบันสื่อควรปรับตัวยังไงเพื่อรองรับความหลากหลายของสังคมและความขัดแย้งที่รุนแรงแหลมคม
สื่อก็เหมือนองค์กรอื่นๆ ในสังคมที่ต้องปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน ยิ่งเป็นสื่อ ความเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถรับรู้ข่าวสารได้เร็วและกว้างมากขึ้น ทำให้สื่อกระแสหลักหันกลับมามองตัวเองว่าจะต้องปรับแค่ไหน ดังนั้น วิธีการรายงานที่ทำกันมาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติต้องปรับเยอะ เพราะสื่อกระแสหลักคงไม่ทันกับเทคโนโลยีสมัยใหม่
แต่สิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญมากกว่าคือวิธีการทำงานของคนในองค์กรสื่อกระแสหลัก... แน่นอน เราเรียกร้องสังคม ฝ่ายการเมืองให้มีการปฏิรูปตลอดเวลา ก็น่าจะมีโอกาสที่สื่อมวลชนจะเรียกร้องเพื่อปฏิรูปตัวเอง ว่าทุกวันนี้บทบาทของสื่อกับสังคมเรามีบทบาทจริงๆ ในสังคมเหมือนเมื่อก่อนมากน้อยแค่ไหน หรือสื่อแค่สะท้อนสิ่งที่เป็นไปในสังคม ทั้งที่สังคมมีความซับซ้อน มีประเด็นใหม่ๆ มากขึ้น แต่สื่อก็อาจยังตามไม่ทัน
คนในองค์กรสื่อคงต้องหันมามองตัวเองเหมือนกัน วิธีการทำงาน วิธีการนำเสนอข่าว คุณภาพของบุคลากรที่มีอยู่ ต้องพัฒนาตรงไหนบ้าง เราพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ปัญหาในสังคม การเมือง แต่ถ้ากว้างไกลออกไปอีก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบโลกขณะนี้ เราต้องถามตัวเองว่าบุคลากรของเราที่มีอยู่ในองค์กรสื่อ มีความพร้อม รู้เท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลงและปัญหาเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน
สื่อคงไม่ได้มีหน้าที่แค่ไปถามผู้รู้และมารายงาน สื่อต้องมีหน้าที่วางกรอบหรือมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการรายงานข่าวแต่ละเรื่อง เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์เป้าหมายคืออะไร ที่สำคัญคือทุกเรื่องที่ประชาชนได้รับต้องทำให้เขาฉลาดและรู้เท่าทันมากขึ้น
เทคโนโลยีอย่างโซเชียล เน็ตเวิร์ก สำหรับสื่อสิ่งพิมพ์ต้องเรียกว่าเป็นภัยคุกคาม กับสื่อโทรทัศน์สิ่งนี้ถือเป็นภัยคุกคามหรือโอกาส
ผมว่ามันเป็นความท้าทายที่เผชิญกับสื่อกระแสหลักทั่วโลกนะ ไม่ใช่เฉพาะเมืองไทยอย่างเดียว จำนวนคนที่อ่านข่าวในอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่คนที่ซื้อหนังสือพิมพ์ ดูข่าวทางทีวี ลดลงต่อเนื่อง นี่คือความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของคน
คนรุ่นใหม่เขาโตมากับมัน มันเป็นวิถีของเขา คนรุ่นนี้การซื้อหนังสือพิมพ์อ่านอาจไม่จำเป็น เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้สึกว่าหนังสือพิมพ์หรือการดูข่าว ทีวีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาแล้ว
คงไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของคน ซึ่งเทคโนโลยีมีส่วนทำให้มันเกิดขึ้นเร็วมากขึ้น เพราะฉะนั้นทีวีก็เหมือนกัน คงต้องกลับมาทบทวนกันเยอะพอสมควรว่า...ในส่วนข่าวก่อนนะว่า วิธีการรายงานข่าว ประเด็นที่จะจับ หรือข้อมูลที่นำเสนอต้องมีการวิเคราะห์ และมองตัวเองมากขึ้นว่าควรต้องปรับมากน้อยแค่ไหน เมื่อทุกวันนี้คนที่สนใจข้อมูลข่าวสารเขาไม่ต้องรอดูทีวี ผมเชื่อว่านี่เป็นคำถามอยู่ในใจของคนเกือบทุกคนในวงการ แต่ผมคิดว่าเมืองไทย ทีวีจะมีบทบาทต่อไปอีกนานพอสมควร เนื่องจากเรายังมีช่องว่างการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่เยอะ
พฤติกรรมของคนที่ไม่ชอบเสพอะไรยาวๆ หรือหนักๆ จะทำให้ข่าวบางประเภทเช่นข่าวเจาะที่ต้องการความลึก ความยาก ความยาว ต้องเปลี่ยนโฉมหน้าหรือเปล่า
ข่าวสั้น ข่าวยาว เป็นเรื่องของรูปแบบการนำเสนอ แต่ไหนแต่ไรคนก็ไม่อยากอ่านอะไรที่ยาวๆ ยกเว้นว่าสนใจจริงๆ แต่ที่ไม่เปลี่ยนเลยคือแนวทางการทำงาน คือการสร้างความแตกต่างด้วยการให้เชิงลึก ความเร็วแข่งกันได้อยู่แล้ว ไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรมากมาย แต่การเจาะลึก ความรอบด้าน หรือการให้ข้อคิด จุดนี้ต้องใช้ความสามารถของคน
ในระยะยาว สื่อต้องกลับมามองว่า บุคลากรที่มีอยู่ ทักษะ ความรู้ ความสามารถมีแค่ไหน ยิ่งอีก 4 ปีข้างหน้า อาเซียนจะรวมตัวกัน สื่อคงต้องถามตัวเองว่า ได้ทำให้คนไทยเห็นความสำคัญของการรวมตัวครั้งนี้แค่ไหน นี่เป็นแค่ตัวอย่างรูปธรรมนะ เรายังรายงานข่าวแบบเก่าๆ อยู่หรือเปล่า โดยไม่มองบริบทที่ใหญ่ขึ้น
นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่บางทีสื่อเองก็ยังตามไม่ทัน ถ้าตามทันก็หมายความว่าเวลาทำข่าวต้องมองบริบทที่ใหญ่กว่าประเทศไทย เราไม่ได้โดดเดี่ยวเหมือนสมัยก่อน ผมจึงคิดว่าสื่อต้องปรับตัวเยอะมากในเรื่องบุคลากร ระบบเทคโนโลยีไม่มีปัญหาหรอก ใครมีเงินก็ซื้อได้ แต่อาจต้องกลับมามองว่าเราต้องการบุคลากรแบบไหน ในอีก 50 ปีข้างหน้าควรจะมีคนแบบไหน ความสามารถแบบไหน มีความรู้ด้านภาษามากกว่า 2 ภาษาหรือเปล่า ต้องรู้ภาษาลาว ภาษาเขมรด้วยหรือเปล่า ที่ผ่านมาเราไม่เคยให้ความสำคัญ
เราต้องถามตัวเองว่าเหตุการณ์ที่ลิเบีย ตะวันออกกลาง ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้เรารายงานผ่านสื่อตะวันตกเป็นคนกำหนดประเด็น คำถามใหญ่คือจะมีโอกาสไหมหรือเมื่อไหร่ที่สื่อไทยจะไปทำข่าวแบบนี้ด้วยตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ท้าทาย ซึ่งก็มีคำถามนี้มานานแล้ว แต่ไม่มีใครลองทำจริงๆ สักที ก็จะไปเป็นครั้งคราว แต่ว่ามันคงไม่ลึกพอหรอก
องค์กรสื่อหลายแห่งพบว่า นักศึกษาด้านนี้จำนวนไม่น้อยไม่มีพื้นฐานข่าวมากพอ ถ้าพิจารณาจากที่คุณพูด ในอนาคตวงการสื่อน่าจะมีปัญหาเยอะ
เรามีองค์กรสื่อเยอะที่จะทำอย่างที่ผมพูด โอเค มันต้องลงทุน ต้องสร้างคุณค่าให้วงการสื่อให้ได้ ผมคิดว่าเหตุผลหนึ่งที่...ต้องยอมรับว่าคนทำสื่อขณะนี้เรามีคนเก่งเยอะ แต่ถามว่าวงการนี้มีเสน่ห์เพียงพอไหมที่จะดึงดูดนักศึกษาเก่งๆ มาเป็นนักข่าว มาเป็นบรรณาธิการ ผมคิดว่าเสน่ห์อาจยังไม่แรงพอเหมือนกับบริษัทใหญ่ๆ เพราะค่าตอบแทนสู้ไม่ได้ แต่ก็สามารถสร้างเสน่ห์ในทางอื่นได้ โอเค เรื่องค่าตอบแทนก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องพิจารณา สอง อนาคตของอาชีพสื่อมันยั่งยืนและทำให้อยู่ได้มากน้อยแค่ไหน
ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่า คนทำสื่อยังมีภาพที่ต้องเสียสละ ซึ่งก็ถูกต้อง แต่การทำเพื่อสังคมก็ต้องให้ความมั่นใจว่าเขาสามารถอยู่ในอาชีพนี้ได้ระดับหนึ่ง เป็นจุดหนึ่งที่วงการสื่อไทยยังไม่สามารถสร้างเสน่ห์ตรงนี้ได้
คนที่มาทำสื่ออาจจะมีความมุ่งมั่นเป็นพิเศษของตัวเองที่อยากมาทำ แต่ว่าเป็นทางเลือกของคนทั่วไปไหม ก็ยังไม่ใช่ ในระยะยาวแล้ว ถ้าเราต้องการดึงคนที่มีความสามารถเข้าวงการสื่อและปั้นให้เขาไประดับอินเตอร์ได้ นี่คือปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงว่า เราต้องการสร้างคนจริงๆ หรือเปล่า หลายองค์กรก็คงคิดอยู่ แต่ยังไม่ได้เริ่มจริงจัง
บางทีเราไปเห็นสื่อในตะวันตกหรือในญี่ปุ่น เราก็ทึ่งว่าเขาทุ่มกับมันเยอะมาก เขาให้ความสำคัญกับการสร้างคนมาก อย่างญี่ปุ่นหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ ทีวีเกือบทุกช่อง เขาจะมีนักข่าวอยู่ต่างประเทศ เพราะฉะนั้นสื่อญี่ปุ่นจะมีมุมมองที่หลากหลายจากต่างประเทศเยอะมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่สื่อไทยต้องคิดถึง อาจจะไม่ใช่วันนี้ เดี๋ยวนี้ แต่เป็นอนาคตที่จะเกิดขึ้น
ถามว่าทุกวันนี้เวลาเราวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างประเทศ เราต้องยอมรับว่าจะหาคนในวงการสื่อมาวิเคราะห์ ก็หายาก ต้องเชิญนักวิชาการมา ซึ่งก็ไม่เป็นไร แค่เรื่องภาคใต้ เวลานี้ก็ยังไม่มีสื่อมวลชนที่รู้ลึกซึ้ง อาจจะมีอยู่ แต่ไม่มากพอที่จะมาวิเคราะห์ อธิบาย หรือร่วมแสดงความคิดเห็นได้เท่าที่ควร นี่เป็นจุดอ่อน อาจเป็นเพราะนักข่าวมีภารกิจเยอะ และฝ่ายองค์กรไม่ได้สนับสนุนให้นักข่าวหรือทีมข่าวมีความรู้เฉพาะเรื่องอย่างแท้จริง สื่อไทยจึงไม่มีโอกาส แม้ว่านักข่าวจะอยากทำ
ผมก็อยากจะเห็นทุกสื่อในเมืองไทย มีนักข่าวที่เชี่ยวชาญแต่ละสาย แล้วเวลารายงานข่าวมันจะมีบริบท ข้อคิด ไม่ใช่รายงานแต่สิ่งที่เขาพูด เช่น ถ้าคุณทำข่าวการเมือง คุณรู้ดีเลยว่าหมอนี่เป็นยังไง เวลาเขาพูดอะไร คุณก็จะไม่รายงานสิ่งที่เขาพูดอย่างเดียว แต่เขาพูดแบบนี้เพราะมีตำแหน่งแบบนี้อยู่ ก่อนหน้านี้เคยแสดงความเห็นแบบนี้ และก่อนหน้านี้ที่วิจารณ์แบบนี้เพราะเขามีปัญหากันอยู่แบบนี้ เมื่อคนดูดูแล้วจะมีความเข้าใจรอบด้านมากขึ้น
การเติบโตของเคเบิลทีวีและดาวเทียม จะมีผลต่อวงการโทรทัศน์หรือเปล่า
ผมว่าเป็นการเติบโตที่ดี ทำให้คนมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ถ้าถามว่าเป็นคู่แข่งไหม เป็นความท้าทายไหม ก็คงใช่ แต่ผมคิดว่าในอนาคตอันใกล้ยังไม่ถึงจะมาแย่งคนดูจากฟรีทีวี เพราะการบริหารสถานีโทรทัศน์ มันใช้การลงทุนมหาศาล แล้วเคเบิลกับดาวเทียมก็ต้องยอมรับว่าเขามีข้อจำกัดเรื่องเงินทุน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาทำได้ดีคือทำในสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ เช่น ช่องเพลง ช่องข่าว ซึ่งตรงนี้ทำให้เขาได้เปรียบในด้านที่เขาเชี่ยวชาญ เป็นจุดขายได้ อย่างซีเอ็นเอ็นก็เกิดจากการเป็นเคเบิล ถ้าไปดูตัวเลขคนดูซีเอ็นเอ็นคุณจะตกใจว่า เผลอๆ คนอเมริการู้จักซีเอ็นเอ็นน้อยกว่าคนไทย คนดูเขาน้อยมาก 2 เปอร์เซ็นต์ของตลาด แต่เมืองไทยเราฮือฮากับมันเพราะเราสนใจข่าวของเขา เปอร์เซ็นต์คนดูเขาน้อยจริงๆ เพราะเขาเชี่ยวชาญเรื่องข่าวอย่างเดียว แต่ถามว่ามีคนในสังคมกี่คนที่ดูข่าวตลอดเวลา ซีเอ็นเอ็นคนจะสนใจเมื่อมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น แต่ช่วงปกติเขาก็จะไปดูสิ่งที่เขาสนใจ ตอบคำถามคือมันเป็นทางเลือกที่ดี แต่เป็นคู่แข่งไหม เป็นคู่แข่งแน่นอน แต่ระดับไหนคงต้องดูในข้อเท็จจริง
เทคโนโลยีทุกวันนี้ใครก็เป็นนักข่าวได้ สามารถผลิตเนื้อหาได้มากมาย ภายใต้ข้อจำกัดของสื่อโทรทัศน์ คิดว่าจะใช้ประโยชน์จากเนื้อหาที่หลากหลายได้ยังไง
ผมมองเป็น 2 ส่วน การที่มีแหล่งข้อมูลเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยูทูบ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ มองในแง่บวก มันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนทำข่าว มีแหล่งข้อมูลเพิ่มขึ้นมากมาย แต่ก็เป็นแหล่งข่าวที่เราคงไม่ได้เชื่อทันที ถ้าเราพูดถึงโซเชียล เน็ตเวิร์กทั่วไป ที่ไม่ใช่องค์กรสื่อ เราถือว่าคนกลุ่มนี้มีข้อมูลเยอะจริงๆ เพียงแต่ว่าเราจะเชื่อเขาทันทีหรือเปล่า เราต้องมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อการทำสื่อทำให้การทำข่าวมันง่ายมากขึ้น เห็นชื่อคนที่รู้ว่าต้องไปคุยได้ทันทีจากการเปิดเว็บไซต์ ทำให้รู้ว่ามีปรากฏการณ์ มีการแข่งขันอะไรในวงการต่างๆ เพื่อดึงมาเป็นประเด็นข่าว อันนี้เป็นแง่บวก
แต่อีกด้าน มันมีความแตกต่างพอสมควรระหว่างโซเชียล เน็ตเวิร์กกับสื่ออาชีพ เพราะโซเชียล เน็ตเวิร์กเป็นการแสดงความเห็น การให้ข้อมูลที่อาจจะมีกติกา โดยเฉพาะเรื่องของจรรยาบรรณ การตรวจสอบความถูกต้อง ความรับผิดชอบต่อสังคม ผมคิดว่าสื่อกระแสหลักมีมากกว่า เพราะฉะนั้นสื่อกระแสหลักต้องไม่ทำหน้าที่เหมือนโซเชียล เน็ตเวิร์ก ซึ่งหลายครั้งก็ทำนะ (หัวเราะ) คือไปเอาของเขามารายงานแบบไม่คิด หน้าที่ของสื่อกระแสหลักที่ดีควรจะตรวจสอบก่อน ขยายความก่อนให้มันรอบด้าน แต่ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าสื่อไม่น้อย ทั้งตัวนักข่าวเองและองค์กรสื่อก็กระโดดลงไปเล่นเสมือนหนึ่งตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโซเชียล เน็ตเวิร์กด้วย ก็มีการขยายข้อมูล ตรวจสอบข้อมูลที่อาจจะผิดแต่ขยายความจนเป็นเรื่องใหญ่โต
อย่างกรณีเจลลดไข้ที่ตกจากฟ้าหรือวัตถุประหลาดที่บินอยู่เหนือเซ็นทรัลเวิร์ล ที่สุดท้ายแล้วเป็นการโปรโมทห้าง พวกโซเชียล เน็ตเวิร์ก เห็นก็...ดูสิครับ มีวัตถุประหลาดบนท้องฟ้า เหนือเซ็นทรัล เวิร์ล ทีวี 2 ช่องรายงานเลย นี่คือความล้มเหลวของสื่อ แทนที่เราจะเอาข้อมูลจากโซเชียล เน็ตเวิร์กมาเป็นประโยชน์ แต่เรากลับตกเป็นเหยื่อของข้อมูล นี่เฉพาะเรื่องที่มันเล่นๆ ไม่ซีเรียสนะ ถ้าเรื่องที่ซีเรียสมากกว่านี้จะเป็นยังไง เหมือนวิกิลีกส์ที่เป็นเรื่องราวอยู่ ผมว่าก็เป็นประเด็นที่ท้าทายสื่อมวลชนเหมือนกันว่า เราจะรายงานทุกอย่างที่วิกิลีกส์ออกมาโดยเราไม่ตรวจสอบหรือเปล่า แล้วสิ่งที่เขารายงานออกมา มันแฟร์กับคนที่ถูกอ้างอิงถึงไหม เหมือนคุยกันอย่างนี้ แล้วมีคนเอาเทปเราไปออกอากาศ แกะคำต่อคำ โดยไม่เข้าใจบริบทของเราเลย ออกมาก็ประณามเลยว่าหมอนี่พูดอย่างนี้ๆ ซึ่งมันก็ไม่ถูก เพราะการเอาข้อมูลที่พูดคุยส่วนตัวมานำเสนอต่อสาธารณะ ผมว่ามันก็ต้องมีคำถามถึงความเหมาะสม
ขณะเดียวกันสื่อกระแสหลักต้องสร้างมาตรฐานให้เด่นชัด แตกต่างจากโซเชียล เน็ตเวิร์ก ต้องมีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เป็นแหล่งอ้างอิงได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นมาต่อวัน หรือแค่เอาสิ่งที่ปรากฏในโซเชียล เน็ตเวิร์กมา แล้วรายงานไม่ต่างกันเท่าไหร่
มีการมองว่าการเกิดขึ้นโซเชียล เน็ตเวิร์ก มีนัยสำคัญต่อการลดอำนาจของสื่อกระแสหลักลงไปเยอะ อาจจะไม่สามารถกำหนดวาระสังคมได้เหมือนเมื่อก่อนอยู่แล้ว เพราะว่าอำนาจย่อยมันกระจายตัวออกไปและคานกัน
ถูกต้อง ผมเห็นด้วยนะ มันทำให้สื่อกระแสหลักถูกตรวจสอบ เมื่อก่อนนี้ คำว่าข้อมูลข่าวสารคือต้องเป็นสื่อกระแสหลัก แต่ทุกวันนี้ทุกๆ เว็บไซต์ที่มีอยู่ก็สามารถเป็นข้อมูลข่าวสารได้ ทำให้สื่อกระแสหลักต้องระมัดระวัง ในยุโรปและอเมริกามีเว็บไซต์เป็นร้อยๆ เลยที่ทำหน้าที่อย่างเดียวคือตรวจสอบสื่อ และผมคิดว่าเมืองไทยในช่วงวิกฤตทางการเมืองที่ผ่านมา ที่เรารอดมาได้ ไม่ใช่สื่อกระแสหลักนะ แต่เป็นเพราะโซเชียล เน็ตเวิร์กเป็นคนสร้างขึ้นมา กระทั่งทำให้ชนชั้นกลางลุกขึ้นมาสู้กับกระแส และผมคิดว่าต่อจากนี้ไปบทบาทของสื่อกระแสหลักก็จะมีมากขึ้น เพราะมันเข้าถึงง่ายและมีความเป็นกลุ่มเป็นก้อนพอสมควร
แต่สื่อทางเลือกเหล่านี้ก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเยอะมาก แล้วสื่อกระแสหลักจะสามารถตรวจสอบสื่อทางเลือกได้มากน้อยแค่ไหน
ที่ถูกแล้วในวงการสื่อควรจะคานอำนาจซึ่งกันและกัน ไม่ควรมีสื่อไหนที่ใหญ่จนไม่มีใครแตะได้ สมัยก่อนหนังสือพิมพ์มีอิทธิพลสูงมาก พาดหัว 3 วัน รัฐมนตรีก็อยู่ไม่ได้ ถามว่าทุกวันนี้หนังสือพิมพ์ทำแบบนี้ได้ไหม ไม่ได้แล้วนะ เพราะคนมีทางเลือกมากขึ้น แล้วสื่อทีวี วิทยุ มีเสรีภาพมากขึ้น กล้าเจาะ กล้าท้าทาย มันก็เกิดการคานอำนาจขึ้นมา ตอนนี้ไม่มีสื่อไหนใหญ่กว่าใครแล้ว
แล้วพอมีโซเชียล เน็ตเวิร์กขึ้นมาก็ยิ่งไปกันใหญ่ ทำให้มีดุลอำนาจเกิดขึ้นอีกขั้วหนึ่ง ผมคิดว่านี่เป็นการผสมผสานที่มันดี ทำให้แต่ละสื่อรู้ว่ามั่วไม่ได้ ไปเขียนผิดไม่ได้ มีคนตรวจสอบ เมื่อก่อนทีวีหงอหนังสือพิมพ์นะ แต่เดี๋ยวนี้หนังสือพิมพ์ต้องพึ่งทีวี เกิดการพึ่งพากันบางส่วน แต่ผลที่สำคัญคือเกิดการถ่วงดุลมากกว่า
คุณบอกว่าสื่อมีเสรีภาพมากขึ้น แต่ก็จะมีสื่อบางสำนักหรือกลุ่มการเมืองบางกลุ่มตั้งคำถามถึงบทบาทของสื่อในการส่งเสริมประชาธิปไตย โดยเฉพาะจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ผมก็มีคำถามเหมือนกันว่า อะไรที่สื่อเหล่านั้นคิดว่าตนเองทำได้ดีกว่าคนอื่น ผมก็มีความรู้สึกตลอด เวลามีคอลัมนิสต์เขียนวิจารณ์สื่อกระแสหลักทั่วไปหรืออาจารย์บางคนที่บอกว่าจะเป็นกลางต้องมีกึ๋น แล้วคุณมีกึ๋นมากกว่าสื่อกระแสหลักตรงไหนบ้าง บอกผมหน่อยได้ไหม มีตรงไหนที่คุณทำแล้วผมทำไม่ได้ หรือผมไม่ทำ ก็เป็นธรรมดาของสื่อทางเลือกที่จะวิจารณ์สื่อกระแสหลัก เพื่อจะบอกว่าเขาสามารถทำในสิ่งที่สื่อกระแสหลักทำไม่ได้
ยอมรับว่ามีสื่อกระแสหลักบางสื่อที่ไม่กล้าทำ เห็นด้วย แต่ว่าสื่อกระแสหลักทั่วไป เขาตรวจสอบรัฐบาลไหม ผมถามว่าหนังสือพิมพ์ฉบับไหนบ้างที่เป็นมิตรกับรัฐบาล เป็นมิตรกับกองทัพ ก็ตรวจสอบตลอดเวลา ผมไม่เถียงนะว่าอาจจะไม่ลึกพอ แต่ไม่มีสื่อไหนเหนือกว่าสื่อไหนในแง่การทำหน้าที่ของสื่อหรอก เพียงแต่ว่าจะทำหรือตั้งใจทำได้มากน้อยแค่ไหน
การมีสื่อออนไลน์ ผมก็เห็นด้วยว่าควรจะมี แล้วรัฐบาลก็ไม่ควรจะปิดกั้นตราบใดที่เขาไม่ทำให้เกิดความเสียหาย ผมคิดว่าต้องเคารพบทบาทซึ่งกันและกัน สื่อกระแสหลักก็มีหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งถ้าทำหน้าที่ไม่ดีพอก็เชื่อว่าสังคมคงปฏิเสธเอง
ก่อนหน้านี้มีการพูดถึงแนวคิดองค์กรอิสระเพื่อควบคุมจริยธรรมสื่อ หลายฝ่ายค่อนข้างตอบรับ โดยส่วนตัวเห็นด้วยหรือไม่
ผมเป็นห่วงในแง่ที่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่จะมีกลไกที่มีอำนาจลงโทษแบบอิงกับอำนาจทางกฎหมาย ซึ่งฝ่ายวิชาชีพเรามองตลอดเวลาว่า องค์กรไหนก็ตามถ้ามีอำนาจตามกฎหมายลงโทษสื่อได้ จะดึงให้ฝ่ายการเมืองเอากลไกนี้ไปใช้ ผมยังเชื่อเสมอว่าการสื่อสารเป็นเรื่องที่สังคมต้องจัดการกันเอง แน่นอนล่ะว่ามันอาจจะไม่สมบูรณ์ อาจจะมีข้อสังเกตว่าสื่อไทยก็ยังไม่ค่อยรับผิดชอบเท่าไหร่ ยังโจมตีคนอื่นเสียหาย แต่ผมเชื่อในเรื่องการถ่วงดุลซึ่งกันและกันของสื่อที่มีอยู่
ผมเห็นด้วยกับการมีกลไกขึ้นมากำกับ แล้วผมก็อยากจะเห็นสื่อมวลชนกำกับกันเองอย่างมีประสิทธิภาพและจริงจังเรื่องจริยธรรมมากกว่านี้ ซึ่งผมว่ามันดีกว่าเมื่อก่อนนี้เยอะ ดีขึ้นตลอดเวลา ผมไม่เห็นด้วยถ้ามีใครบอกว่ามันเลวร้ายลง ถ้าคุณอ่านหนังสือพิมพ์วันนี้เทียบกับเมื่อสิบยี่สิบปีที่แล้ว ต่างกันเยอะมาก โอเคล่ะ อาจจะยังไม่สมบูรณ์ ยังมีสิ่งที่เราเรียกร้องให้ปรับตัว แต่ตอนนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงของกลไกที่ว่าก็คือ เนื่องจากเป็นกฎหมายที่ร่างโดยฝ่ายการเมือง ในนั้นก็ยังให้...ผมจำไม่ได้ว่านายกฯ หรือรองนายกฯ ที่จะให้รับรองกฎหมายหรือเป็นคนใช้อำนาจ จุดนี้มันมีช่องที่ทำให้เราเป็นห่วงว่าจะมีอำนาจทางการเมืองเข้ามาแทรกแซง
ควรจะปล่อยให้สังคมและสื่อดูแลกันเอง
ควรให้สังคม ไม่ใช่สื่ออย่างเดียวนะ ที่มีคนเรียกว่า Co-Regulation คือการกำกับร่วม ที่ผ่านมาสื่อตรวจสอบกันเอง แต่ในหลายประเทศก็มีกลไกนี้ในการตรวจสอบที่มีตัวแทนจากสังคมเข้ามาร่วมด้วย
ทำไมทีวีไทยจึงมาจับเรื่องการปฏิรูปประเทศ
ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ ทุกครั้งที่เรามีวิกฤต เราก็พูดเรื่องปฏิรูปตลอดเวลา แต่เมื่อเรามองย้อนกลับไปการปฏิรูปเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า ก็คงต้องตอบอย่างยอมรับข้อเท็จจริงว่า มันไม่เกิดขึ้นเลย เพราะฉะนั้นถ้ามีความพยายามปฏิรูปไม่ว่าจะมาจากฝ่ายไหนก็ตาม เราไม่ได้มองว่าเพราะเกิดจากรัฐบาลชุดนี้นะ ผมคิดว่าการปฏิรูปที่ทำอยู่ขณะนี้ ควรจะเป็นกระบวนการเรียนรู้ของสังคม คุณจะปฏิรูปอะไรได้ คุณต้องให้คนในสังคมรับรู้ว่ามีปัญหาอะไรก่อน และผมคิดว่ากลไกที่มีอยู่ สิ่งที่พวกเขาจับไม่ใช่ปัญหาใหม่เลย ที่ดิน ความยุติธรรม สิทธิ มันเป็นรากเหง้าของปัญหาในสังคมไทยทุกวันนี้
คิดยังไงกับคำว่า ‘ปฏิรูปบนกองเลือด’?
ต้องแยกสิ่งที่เป็นความขัดแย้งทางการเมืองออก ไม่อย่างนั้นหมายความว่าคุณจะไม่ทำอะไรเลยใช่ไหม
การปฏิรูปประเทศ ส่วนหนึ่งคือการปฏิรูปสื่อ คำถามที่น่าสนใจที่สื่อบางสำนักถามก็คือ แล้วสิ่งแรกที่เราจะปฏิรูปสื่อคืออะไร
เวลาพูดถึงสื่อต้องกลับมามององค์กรสื่อ คงไม่พูดถึงภาพรวม เราพูดถึงหนังสือพิมพ์ ทีวี นี่คือสิ่งที่ต้องยอมรับ ไม่สามารถพูดแบบลอยๆ ได้ แต่ละสื่อมีเหตุผลของการคงอยู่ บางสื่อชัดเจนว่าเป็นธุรกิจ แล้วคุณจะเรียกร้องอะไรจากเขาล่ะ สังคมก็ต้องยอมรับด้วยว่านี่คือสื่อที่ทำธุรกิจ ผมไม่แน่ใจว่าการเรียกร้องกับเขาจะได้ผลแค่ไหน
กับสื่อที่คิดว่ามีเหตุผลในการคงอยู่ว่าทำหน้าที่ตรวจสอบสังคมแทนคนส่วนใหญ่ คนกลุ่มนี้ต่างหากที่เรามีความหวังว่าเขาจะมองตัวเองและปรับบทบาทตัวเองให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็เหมือนกับนักการเมือง เราจะปฏิรูปยังไง ถ้าแต่ละคน แต่ละพรรค ไม่ปรับปรุงตัวเองก่อน กลไกกฎหมายสร้างขึ้นมาเถอะ แต่ถามว่าในทางปฏิบัติมันใช้ได้หรือเปล่า
หมายความว่าการปฏิรูปสื่อต้องอยู่ที่ตัวนักข่าวและองค์กรสื่อเป็นหลัก
แน่นอนส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่สองตัวสังคมเองก็ต้องเป็นผู้กำกับด้วย เราพูดถึงโซเชียล มีเดีย พูดถึงคลื่นความถี่ เราจะมีสื่อใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะแยะ ผมว่านี่คือปรากฏการณ์ที่จะมีผลกลับมาทำให้สื่อต้องปรับตัวเพื่อรับมือ และการถ่วงดุลที่มีอยู่แล้วขณะนี้และจะเกิดขึ้นใหม่จะทำให้สื่อทั้งวงการมีการปรับตัวเยอะทีเดียว เมื่อคนมีทางเลือกมากขึ้น ผมคิดว่าสื่อเองก็คงต้องเผชิญกับการท้าทายมากขึ้นด้วย แล้วสื่อที่อยู่ได้คือสื่อที่มีคุณภาพและประชาชนให้ความเชื่อถือ
ถึงจุดหนึ่งสื่อที่เป็นบันเทิงอย่างเดียวเลย สื่อที่ชาวบ้านรู้สึกว่าอ่านเพื่อความสุข เขาก็อยู่ได้นะ ในอังกฤษหรือเยอรมนี หนังสือพิมพ์ที่ขายดีที่สุดก็ไม่ใช่หนังสือพิมพ์ที่ซีเรียสนะ แต่เป็นเดอะ ซัน เดอะ มิเรอร์ ที่โป๊ อื้อฉาว มีอิทธิพลต่อความคิดในสังคมน้อยมาก แต่ว่าหวือหวาก็อยู่ได้ นี่ความเป็นจริงว่าสื่อเหล่านี้ต้องมีอยู่ เพียงแต่ถามว่าสื่อที่มีบทบาทในด้านการเมือง-สังคม ก็เป็นสื่ออีกแบบหนึ่ง ผมว่าประเทศไทยคงจะค่อยๆ เดินไปสู่จุดนั้น
อยากให้ช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ข้ามสื่อ
แต่ถ้าเรามามองสื่อเก่าอย่างหนังสือพิมพ์ ผมว่าคงเหนื่อย (หัวเราะ) ส่วนตัวเชื่อว่าจะไม่มีหนังสือพิมพ์ใหม่เกิดขึ้นอีกแล้วในเมืองไทย เพราะลงทุนสูงและไม่คุ้ม บทบาทการเสนอข่าวสารที่จริงจังก็คงเผชิญกับการแข่งขันมากขึ้น ถึงจุดหนึ่งสื่อหนังสือพิมพ์คงต้องหาจุดยืนตัวเองที่จะกลายเป็นจุดเด่นให้สามารถดำรงอยู่ได้ ในต่างประเทศหนังสือพิมพ์อายุเป็นร้อยปีก็อยู่ไม่ได้ ถ้าจะอยู่ได้ ผมว่าต้องมีความเด่นในตัวเอง มีเนื้อหาที่แตกต่างจากสื่ออื่น ซึ่งหนังสือพิมพ์จะได้เปรียบตรงที่สามารถลงรายละเอียดและเจาะข่าวได้เป็นเรื่องเป็นราว เป็นสิ่งที่ผมอยากเห็น ถ้าเขาจะอยู่ได้ ควรจะมีประเด็นที่ไม่ใช่การพาดหัวข่าวสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 12 ชั่วโมงที่แล้ว ควรมีอะไรที่ลึกมากว่านี้แล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ยังทำรายงานแบบนี้อยู่
วิทยุ ธรรมเนียมการฟังวิทยุเมืองไทยกับต่างประเทศมันต่างกัน คนไทยฟังวิทยุเพื่อฟังเพลงมากกว่า ส่วนตัวผมคิดว่าวิทยุยังมีอนาคต แต่ต้องมีความแตกต่างที่ทำให้คนรู้สึกว่าต้องฟัง ทุกวันนี้ข่าววิทยุก็ไม่แตกต่างจากทีวีเท่าไหร่ เอาข่าวจากหนังสือพิมพ์มาอ่าน แล้วก็สัมภาษณ์คนเพิ่มเติม มีวิทยุไม่กี่แห่งที่มีทีมข่าวจริงๆ ถ้าพูดถึงด้านข่าว ผมคิดว่ามันมีวิทยุหลายสถานีที่เป็นวิทยุสาธารณะ อย่างในอเมริกา เขาก็ประสบความสำเร็จบ้างในแง่มีฐานคนฟังที่ดี เพราะเป็นรายการที่มีสาระมากที่คนสามารถเปิดฟังทั้งวันบ้าง มีเพลงบ้าง มีข่าว บทวิเคราะห์ หรือบทสัมภาษณ์ที่ดี มันเป็นสถานีวิทยุที่สมบูรณ์แบบในตัวมันเอง
ในเมืองไทยการบริหารสถานีวิทยุก็เหมือนการให้เวลาเช่าช่วงไป บางทีก็ขาดเอกภาพ ขาดจุดขาย ผมก็หวังว่าเมื่อ กสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) จัดสรรคลื่นความถี่แล้ว น่าจะมีวิทยุที่ให้ความรู้กับคนจริงๆ ได้มากขึ้น ที่เปิดฟังแล้วได้ความรู้ ได้ประโยชน์ ไม่ใช่เป็นเฉพาะช่วง ผมยกตัวอย่างเสมอ ทุกวันนี้มีคลื่นไหนบ้างที่วัยรุ่นฟังแล้วมีความรู้เกี่ยวกับจังหวัดที่เขาอยู่ แถบไม่มีเลย จัดเพลงแบบในกรุงเทพฯ ผมคิดว่าวิทยุจะเป็นสื่อที่ดีได้ด้วยการเข้าถึงคนด้วยข้อมูลความรู้แบบนี้ ผมว่ามันอยู่ที่คุณภาพของหลายการ
สรุปคือคุณเชื่อว่าในอนาคต ความแตกต่างถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะทำให้สื่อสามารถอยู่รอดได้
ถูกต้อง เพราะว่ามันมีทางเลือกเยอะมากขึ้น แต่ละสื่อที่จะอยู่ได้ ต้องตอบได้ว่ามีความแตกต่างจากสื่ออื่น
สุดท้ายครับ อุดมคติแบบสื่อสมัยก่อนยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่หรือเปล่า
ผมยังมีความเชื่อนะว่า คนไม่น้อยในวงการสื่อ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เขาก็รู้ว่าอาชีพนี้ไม่ใช่อาชีพที่รวย แต่ก็มีคนในสังคมเยอะมากที่เชื่อว่า สื่อเป็นเครื่องมือที่ดีมากที่จะตอบโจทย์ของสังคมในการผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และก็มีนักข่าวเยอะมากที่มีความรู้สึกว่าได้ทำอะไรที่มีคุณค่าเมื่อรายงานข่าวบ้างเรื่องแล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ชีวิตบางคนดีขึ้น ตรงนี้ไม่สามารถตอบแทนเป็นตัวเลขได้ และนี่คือเสน่ห์ที่สำคัญที่สุดของสื่อ คือการเป็นเวทีให้คนที่มีใจสาธารณะคิดว่านี่แหละคือช่องทางที่เขาอยากทำ
ผมเชื่อว่ายังมีคนที่เป็นแบบนี้ ทั้งคนปัจจุบันที่ทำอยู่และคนรุ่นใหม่ที่เข้ามา ตรงนี้เราจะทำยังไงที่จะส่งเสริมให้มีภาพอย่างนี้ชัดเจนขึ้น ซึ่งก็หมายถึงคุณภาพของสื่อ อย่างเช่นผมเองอยากเห็นสักวันหนึ่งที่คนที่เรียนนิเทศศาสตร์บอกว่า จบไปผมจะทำฉบับนี้แหละ ดูสิ จุดยืนเขาชัดเจนมากเรื่องสังคม เขาสู้ไม่ถอย หมายถึงทั้งวิทยุ ทีวีด้วย ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีนะ ผมจึงกลับมาเรื่องคุณภาพของสื่อที่ต้องมีจุดเด่นของตัวเองเพื่อดึงบุคลากรที่มีความสนใจที่จะมาทำ
คงไม่ดีแน่ถ้าถามคนที่เรียนปี 4 นิเทศศาสตร์ว่าจบไปจะทำอะไร ก็เป็นนักข่าวครับ ข่าวอะไร อะไรก็ได้ครับ ซึ่งยังมีเยอะ
>>>>>>>>>>
เรื่อง: กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
ภาพ: พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร