xs
xsm
sm
md
lg

"เมจัง" สาวน้อยมหัศจรรย์ใน NHK

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เม-ศิตาภา อรรถบุรานนท์ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกเธอว่า “เมจัง” สาวน้อยตัวเล็กน่ารัก ตากลม หน้าใส ผิวขาวเนียนราวกับตุ๊กตาญี่ปุ่น หลายคนอาจจะคุ้นหน้าเธอจากเด็กสาววงเกิร์ลกรุ๊ปสังกัดแกรมมี่ PREPPY G ในวันนี้ถือได้ว่าเธอเป็นสาวไทยคนแรก และคนเดียวที่ได้ทำงานภายใต้บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง NHK รวมทั้งได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัด SKY CORPORATION ที่มีศิลปินในสังกัดที่หลายคนรู้จักดี อย่าง LEAH DIZON ขณะที่ทำงานและเรียนไปด้วยในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น “วาเซดะ”

M-Lite มีโอกาสนัดคุยกับสาวร่างเล็ก แต่ประสบการณ์การทำงานไม่เล็ก ซึ่งไปสร้างชื่อเสียงไกลถึงประเทศญี่ปุ่น การนัดคุยกับเธอถือว่าไม่ง่ายนัก เพราะต้องรอช่วงที่เธอปิดเทอมกลับมาเยี่ยมครอบครัวที่ประเทศไทย วันนี้เธอสวมชุดสีหวานสไตล์เจ้าหญิง ทักทายเราด้วยรอยยิ้มสดใส พร้อมทั้งเล่าประสบการณ์การเรียน การทำงาน ซึ่งทั้งสนุก แปลก ตื่นเต้น ความที่ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ทำให้เธอต้องปรับตัว และใช้ความขยัน อดทนอย่างมาก เพื่อให้ได้ไปถึงเป้าหมาย ซึ่งสาวร่างเล็กคนนี้ก็ทำได้อย่างดี ทั้งเรื่องเรียน ที่เกรดเฉลี่ยไม่เคยต่ำกว่า 3.8 การทำงานที่นับวันจะมีผลงานออกมามากขึ้น แม้ว่าจะใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมาหลายปีแล้ว แต่เธอบอกกับเราด้วยรอยยิ้มสดใสว่าทุกวันนี้ยังคิดว่าเป็นความฝันอยู่เลย

น่ารัก เสียงใส โดนใจโปรดิวฯ ญี่ปุ่น
เส้นทางในวงการเพลงของสาวน้อยคนนี้เริ่มตั้งแต่เธออายุเพียงแค่ 12 ปี จากการเข้าประกวดโครงการ G-junior ได้เป็นศิลปินในสังกัดแกรมมี่ ออกอัลบั้ม Preppy G ต่อมาทางโปรดิวเซอร์ชาวญี่ปุ่น ไดจิ ฮายาคาวา ถูกใจบุคลิก และน้ำเสียงใสๆ ของเธอ จึงชักชวนให้ร่วมทำเพลงอินดี้ ใช้ชื่อวง Sweet Vacation ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตในเส้นทางสายดนตรีของสาวน้อยคนนี้ ก้าวกระโดดไปไกลสู่วงการเพลงที่ประเทศญี่ปุ่น

"เมเป็นคนชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก ชอบร้องคาราโอเกะที่บ้าน คุณแม่ก็สนับสนุนให้เรียนร้องเพลง เรียนเต้น ตั้งแต่เด็ก พอดีคุณแม่เห็นว่าเราชอบเรียนด้านนี้ แล้วช่วงนั้นมีโครงการ G-junior เขาคัดเด็ก 20 คน เรียนฟรี 1 ปี เมเห็นว่าโครงการนี้น่าสนใจ ก็เลยไปสมัครดู พอเข้าไปออดิชัน รอบแรกผ่าน เราก็ดีใจ แต่ไม่ได้ตั้งเป้าแต่แรกว่าอยากเป็นนักร้อง แต่พอได้เข้ารอบไปเรื่อยๆ ก็เริ่มอยากเป็น แล้วก็ได้เป็นนักร้องจริงๆ ออกอัลบั้ม Preppy G

หลังจากนั้นเมก็มีโอกาสได้พบกับ "ไดจิ ฮายาคาวา" เขาเป็นโปรดิวเซอร์ชาวญี่ปุ่น แต่เขาชอบประเทศไทยมาก เดินทางมาประเทศไทยหลายครั้งแล้ว ตอนนั้นเมพูดญี่ปุ่นไม่ได้เลย ถึงเราจะเรียนเอกภาษาญี่ปุ่น ที่เตรียมอุดมฯ แต่เราก็ได้แค่แนะนำตัว ไดจิเขาประทับใจคนไทย ก็เลยมีความคิดว่าอยากลองทำงานกับคนไทยดู แล้วเผอิญเขาชอบคาแร็กเตอร์ ชอบเสียงของเม ตรงกับอิมเมจที่เขาคิดพอดี ก็เลยชวนเรามาทำเพลง

เคยถามเขานะว่าในสายตาเขาเราเป็นยังไง เขาบอกว่าคาแรกเตอร์เราดูภายนอกเป็นคนนิ่งๆ เงียบขรึม แต่ใจกล้า ตอนที่เขาให้ร้องเพลง เราก็ร้อง เราเป็นคนชิล ชิล ไม่กลัว เขาก็ประทับใจที่เราเป็นคนใจกล้า ทำอะไรทำได้ เสียงก็ใสๆ เป็นเสียงที่เหมาะกับแนวเพลงของเขาพอดี เป็นแนวเพลงคิระ คิระ ป็อบ เป็นป็อบน่ารัก สดใส วิ๊งๆ อิเล็กทรอนิกส์ล้ำๆ เหมือนการ์ตูน”

การตัดสินใจไปทำงานที่ต่างประเทศ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม สำหรับเด็กสาววัย 16 ตอนนั้นเมบอกว่าใช้เวลาตัดสินใจไม่นานเลย เพราะเธอชอบประเทศญี่ปุ่นอยู่แล้ว และคิดแบบเด็กๆ ว่าน่าสนุก ได้ไปเที่ยวได้ชอปปิ้งด้วย 
 
“ตัดสินใจไม่นานเลย เราตอบตกลงเลย เพราะเราอยากไปญี่ปุ่นอยู่แล้ว คิดว่ามันน่าสนุก แต่ก็กลัวด้วย ครั้งแรกที่เขาส่งเพลงมาให้เราฟัง เราก็ ตายแล้ว! นี่เราจะร้องได้ไหม แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ ต้องฝึกฝนว่าคำนี้ออกเสียงยังไง แปลว่าอะไร ต้องคุยกันเป็นคาราโอเกะ แต่โชคดีที่ไดจิพูดภาษาอังกฤษได้ ก็ใช้ภาษาอังกฤษคุยกับเขาได้ ถึงตื่นเต้นแต่ก็สนุก ได้ไปญี่ปุ่น ได้ชอปปิ้ง ได้ไปเที่ยวเล่น คิดตามประสาเด็กๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ได้คิดว่าเราไปเป็นนักร้อง ไปทำงาน 
 
ช่วงนั้นเรียนอยู่ที่เตรียมอุดมฯ ด้วย ก็ไปๆ มาๆ อยู่สามปี ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลย ทำให้เราเปลี่ยนเป็นอีกคน จากคนที่ไม่เคยคิดถึงประเทศญี่ปุ่นมาก่อน ไม่เคยคิดว่าจะไปอยู่ พอได้เจอกับไดจิ เราต้องไปญี่ปุ่นเดือนละครั้งได้เลย เพื่อนก็ค่อนข้างชินกับการที่เมไม่ค่อยได้อยู่เมืองไทย”
 
ด้วยความที่ยังเป็นเด็ก และเป็นคนติดครอบครัวมาก ปัญหาหลักๆ ของเมก็เป็นเรื่องโฮมซิก ส่วนเรื่องการทำงานเธอไม่ค่อยมีปัญหา เพราะเธอตั้งใจเต็มที่กับทุกงานอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องจิตใจมากกว่าเวลาไปทำงานที่ญี่ปุ่นนานติดต่อกันหลายวัน เธอจะคิดว่ารีบทำงานให้เสร็จไวๆ จะได้กลับบ้านเร็วๆ เพราะคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอต้องปรับตัวอย่างมาก 
  
"เมสนุกกับการทำงานเพลงมาก ได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ แต่เมติดบ้าน ติดเพื่อน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ไปอยู่ แต่เมก็เศร้า โฮมซิก คิดถึงบ้าน ไปอยู่ 20 วันก็เศร้าแล้ว อันนี้เป็นปัญหาหลัก ที่ค่อนข้างหนักสำหรับเม แต่ว่าเรื่องของการทำงาน ไม่มีเลย ทุกอย่างไปได้สวยหมดเลย แต่จะมีปัญหาบ้าง บางทีอารมณ์เราอยากกลับบ้าน ก็จะมีงอแงบ้าง แต่โชคดีที่เมเป็นคนใจแข็ง โอเค ทำก็ทำให้มันเสร็จๆ แล้วก็รีบกลับบ้าน แต่ก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุดทุกงาน"

กลุ่มแฟนคลับเป็นโอตากุ
สำหรับกระแสการตอบรับของคนญี่ปุ่นนั้น เธอได้รับการตอบรับอย่างดี ในฐานะศิลปินวงอินดี้หน้าใหม่ ที่มีกลุ่มแฟนคลับให้ความสนใจ และชื่นชอบในความน่ารัก สดใสของเธอ ทุกวันนี้เธอยังคิดว่าประสบการณ์การทำงานที่ญี่ปุ่นเหมือนเป็นความฝันอยู่เลย เพราะไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ทำอัลบั้มมีผลงานเพลง และมีแฟนคลับติดตามผลงานเธอมากมายขนาดนี้ 
  
"สำหรับเม ยังคิดว่าเหมือนฝันไปอยู่เลย ยังคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง เพราะว่าเราเป็นคนไทย แล้วอยู่ดีๆ ไปออกอัลบั้มที่ญี่ปุ่นได้ยังไง มันแปลก แล้วเราก็ไม่ได้เป็นคนดังจากประเทศไทยด้วยนะ นี่เราเป็นโน บอดี้ ก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่จนทุกวันนี้ แต่ถามว่าทำงานยากไหม มันก็ไม่ยาก มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน ถ่ายเอ็มวีก็สนุก ไปไลฟ์ คอนเสิร์ต ออกรายการทีวี ทุกอย่างมันสนุกหมดเลย

แล้วแนวเพลงของเราอินดี้มากๆ เฉพาะกลุ่ม ตลาดญี่ปุ่นใหญ่ที่สุดในโลกรองจากอเมริกา ตีตลาดยากมาก มีค่ายเยอะมาก นักร้องเยอะมาก มีทุกแบบทุกสไตล์ ยากมากที่เป็นนักร้องได้ แต่พอเราได้เป็นนักร้องแล้วก็ขายได้ด้วยนะ ขนาดเราไม่ได้ดังมาก แต่เราก็ขายได้เยอะ ยอดดาวน์โหลดใน iTunes ก็เยอะมาก คนญี่ปุ่นเขาไม่ซื้อของก๊อบปี้ ถ้าชอบก็ซื้อจริงๆ คนที่เป็นแฟนคลับเราก็ซื้อหมดทุกอย่างเลยนะ เราออกมาเป็นดีวีดี สามหน้าปก เขาก็ซื้อหมดเลยสามปก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีมาก น่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่นประเทศเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ตอนนี้"
  
ด้วยความที่แนวเพลงคิระ คิระ ป็อบ เป็นแนวน่ารัก สดใส และมีแฟนคลับเฉพาะกลุ่ม เธอจึงมีแฟนคลับหลากหลายประเภท แต่ที่เป็นเรื่องแปลกสำหรับเธอคือ แฟนคลับที่เป็นผู้ชายวัยทำงาน ใส่สูท มาคอยตามดูคอนเสิร์ต ซื้อซีดี ขอลายเซ็นเธอ บางรายก็ชอบซื้อขนมมาเป็นของฝาก
  
“แฟนคลับเมส่วนใหญ่ก็แปลกมาก ที่ไทยแฟนคลับส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง แต่ที่นู่นจะเป็นผู้ชายหมดเลย เป็นผู้ชายที่ไม่ใช่วัยรุ่นด้วยนะ เป็นผู้ชายที่โตแล้ว ทำงานแล้ว ใส่สูท มายืนดูเรา มาขอลายเซ็น เจอแรกๆ ก็ตกใจเหมือนกัน เขาจะมายืนรอ พอเห็นเราจะเรียกว่าเมจังๆ มาแล้วๆ ขอลายเซ็น ขอถ่ายรูป เอาของมาให้ บางทีมาจากโอซากาก็ซื้อพุดดิ้งชื่อดังของโอซากามาให้ อร่อยมาก ทุกคนน่ารัก เราไม่เคยเห็นมาก่อนในประเทศไทย แต่ที่ญี่ปุ่นมีแบบนี้นะ บางคนรุ่นพ่อ แต่ก็มากรี๊ดๆ ดารา เขาไม่จำเป็นต้องอาย ไม่คิดว่าเป็นเรื่องแย่ ที่ญี่ปุ่นนักร้องผู้หญิงแฟนคลับก็เป็นผู้ชาย นักร้องชายแฟนคลับก็เป็นผู้หญิง อาจจะเป็นเพราะแนวเพลงของเราด้วย เป็นแนวการ์ตูนๆ คนฟังก็เลยเป็นกลุ่มนี้ มีกลุ่มโอตากุ ที่ชอบการ์ตูน 
  
ส่วนใหญ่จะคุยทักทายกันธรรมดา ถามไถ่ เป็นยังไงบ้าง มีแฟนคลับแปลกๆ คนหนึ่ง เขาจะให้เราเซ็นลายเซ็น เขาก็หยิบแฟ้มขึ้นมาเล่มหนึ่ง หนาปึ้ก เปิดมามีแต่รูปผู้หญิงโป๊ๆ หมดเลย เขาก็เปิดๆ ต่อหน้าเรา หาว่าเราอยู่หน้าไหน ก็เปิดมาเจอมีรูปเราอยู่ในนั้นด้วย (หัวเราะ) เขาก็ให้เราเซ็น เขาพกเป็นแฟ้มเลยว่านี่คือดาราที่เขาชอบ เป็นดาราใส่ชุดว่ายน้ำ เขาก็ไปตามล่าหาลายเซ็นมาให้ครบ"
  
ภายในระยะเวลา 3 ปี สาวเมได้ออกอัลบั้มในชื่อวง Sweet Vacation ถึง 6 ชุดด้วยกัน ได้ร่วมงานกับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง "วิคเตอร์ เอนเตอร์เทนเมนท์" ด้วยความสามารถที่หลากหลายบวกกับความน่ารักของเมนี่เอง ที่ทำให้เธอได้รับความนิยมอย่างยิ่ง และมีแฟนคลับจากทั่วโลกเพิ่มขึ้นทั้งจากยอดดาวน์โหลดใน iTunes และยอดการเข้าชม MV ในยูทูบ

ศิลปินอินดี้ สู่ค่ายยักษ์
ได้พูดคุยกับเธอถึงประสบการณ์การทำงานเพลงที่ญี่ปุ่น ที่ทั้งสนุก ตื่นเต้น เหมือนความฝันไปแล้ว คราวนี้เธอเล่าถึงประสบการณ์การทำงานใหม่ที่แตกต่างจากการเป็นนักร้องเธอเพิ่งเซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัด Sky Corporation บริษัทชื่อดังที่มีศิลปินในสังกัดที่หลายคนรู้จักดี อย่าง Leah Dizon มีผลงานพิธีกรทางสถานีโทรทัศน์ NHK งานแสดงทาง TV TOKYO ซึ่งความที่เป็นต่างชาติก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงานแต่อย่างใด แถมคนญี่ปุ่นยังชื่นชอบ และมองว่าเธอเป็นสาวเก่ง มากความสามารถอีกด้วย
  
"ตอนนี้เมเป็นพิธีกรประจำอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ NHK ทำรายการเกี่ยวกับ Education ทาร์เกตเป็นนักเรียน ม.ปลาย สอนเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน สุขศึกษา เพศ ชีวิต ชื่อรายการ “คาเต โซโก”เมเป็นพิธีกรคู่กับเซจิซัง เขาจะเป็นพิธีกรตลก ส่วนเราจะเป็นตัวดึงเขากลับมา เป็นแนวเรียบร้อย พูดจามีความรู้ สอนเขา เวลาเขาพูดตลก เราก็จะบอกว่าไม่ใช่นะ ไม่ใช่อย่างนั้น 
  
ตอนแรกที่รู้ว่าจะมาเป็นพิธีกร ก็ตื่นเต้นมาก เพราะต้องพูดภาษาญี่ปุ่นหมดเลย สำหรับเราก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจเท่ากับภาษาบ้านเกิดของเรา คำที่ใช้ก็เป็นคำที่ยากๆ ด้วย ออกแนวการศึกษา ได้รับบทหนึ่งวันก่อนถ่ายด้วย เขาให้บทช้า ก็เลยอ่าน ท่อง อาศัยดิกฯ ติดตัวไว้ตลอดเวลา คำไหนไม่เข้าใจก็จะพิมพ์"
 
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ศิลปินหน้าใหม่ แถมเป็นชาวต่างชาติจะได้เซ็นสัญญาในบริษัทใหญ่อย่าง Sky Corporation แต่ทางบริษัทเห็นแวว ความสามารถตั้งแต่เธออยู่ Sweet Vacation จึงชักชวนมาเซ็นสัญญา ประกอบกับทางโปรดิวเซอร์ของรายการอยากได้ชาวต่างชาติ ศิลปินหน้าใหม่ที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ดี เธอจึงได้รับเลือกให้มาเป็นพิธีกร ทางสถานีโทรทัศน์ NHK
  
"ตอนนี้ก็ยังงงอยู่เลย ทำไมเขาอยากได้เรามาเป็นพิธีกร อาจจะเป็นเพราะว่าเขาอยากได้คนต่างชาติ อยากได้พิธีกรใหม่ๆ อยากได้ความแปลกใหม่ แล้วเราเป็นคนต่างชาติ อาจจะพูดได้ในมุมของชาวต่างชาติ อย่างเช่น การสอนในเรื่องของครอบครัว เราก็สามารถเปรียบเทียบได้ว่ากับประเทศไทยเรานะเป็นอย่างนี้ แตกต่างจากประเทศญี่ปุ่นอย่างไรบ้าง ความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมที่เราสามารถใส่เข้าไปได้ด้วย
  
เทปแรกก็กลัวว่าถ้าเราไม่ได้จะทำยังไง ต้องจำบทหมดเลย ยาวมาก แต่เมโชคดีที่ทีมงานทั้งหมดใจดีกับเม ช่วยเหลือ ตรงไหนไม่เข้าใจ เขาก็อธิบายให้ฟัง มีถ่ายในสตูดิโอ และถ่ายนอกสถานที่ด้วย เคยออกไปถ่ายข้างนอก หิมะตกหนักมาก หนาวมาก แต่ก็ต้องถ่าย เราจะดูว่าอะไรที่คิดว่าญี่ปุ่นแปลกก็ไปถ่าย เมก็ไปถ่ายเครื่องสำอางของผู้ชาย คนญี่ปุ่นเป็นเมโทรเซ็กชวลมาก แต่งหน้า ใช้ครีมเรียงกันเยอะกว่าที่เราใช้อีก เพื่อนผู้ชายที่โรงเรียนก็หน้าใสกริ๊งเลย เราก็ถามว่าทำหน้าใสขนาดนั้น เขาก็บอกว่าใช้อายครีมด้วยนะ เรายังไม่เคยใช้เลย
  
พอเจอร้านขายเครื่องสำอางผู้ชาย ก็ตื่นเต้น วางเรียงเป็นชั้นเลย for men หมดเลย มีครีมโลชั่น โทนเนอร์ เราก็ไปถ่ายตรงนั้น เมไปสัมภาษณ์คนตามถนนด้วย ว่าเขาใช้เครื่องสำอางหรือเปล่า ในกระเป๋านี่พกตลอดเวลา พกสเปรย์เป็นขวด แวกซ์เป็นกระป๋อง มีน้ำหอม ลิปกลอส บางคนก็พกแป้ง อันนี้ก็เป็นวัฒนธรรมที่แตกต่างที่เรายังตกใจ 
  
แล้วก็มีร้านโซบะที่ต้องยืนกิน (รับประทานด่วน) มีเยอะมากตามข้างถนน เป็นร้านแล้วก็มีเคาน์เตอร์ ต้องยืนกินไม่มีเก้าอี้ ดูเป็นญี่ปุ๊นญี่ปุ่น คือเข้าไปแล้วต้องรีบๆ กิน คนญี่ปุ่นเขาจะเป็นอย่างนี้ ช่วงเวลากินเขาจะกินกันเร็วมาก แล้วก็มีเป็นคอกๆ เอากำแพงกั้น จะได้ไม่เห็นคนข้างๆ ดูเหมือนมิชชันอะไรสักอย่าง มีโซบะ ซูชิ ราเม็ง 
  
สนุกมาก สำหรับเมได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ใช้ชีวิตใหม่ๆ เยอะ รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น สามารถจัดการอะไร ๆได้ด้วยตัวเอง รู้ว่าการใช้ชีวิตด้วยตัวเองจริงๆ มันเป็นยังไง เพราะว่าได้ใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น"
  
หน้าตาน่ารัก ตัวเล็ก ผิวขาวใส และเป็นที่ชื่นชอบของหนุ่มๆ แบบนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีนิตยสารแนวเซ็กซี่ติดต่อให้เธอไปถ่ายแบบ แต่ด้วยความที่เป็นคนไทย ภาพลักษณ์สาวเรียบร้อย เก่ง ฉลาด และเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังต่อให้ ค่าตัวสูงขนาดไหน เธอก็บอกว่าไม่ถ่ายแน่ๆ 
  
"มีงานถ่ายเซ็กซี่ติดต่อเข้ามา แต่เมไม่เอา อยากให้ภาพเราเป็นแบบเรียบร้อยมากกว่า โชคดีที่ทางบริษัทก็ไม่ได้บังคับ ให้เราเลือกรับงานได้ หนังสือ Playboy ก็มีไปถ่าย แต่เมใส่ชุดธรรมดา เป็นบทสัมภาษณ์ คล้ายๆ คอลัมน์ Size S ของ นิตยสาร Mars ของไทย แต่ Playboy เขาแรงกว่าไทย เราก็มีไปลงในนั้น"

ติดมารยาทแบบญี่ปุ่น
สังเกตว่าเวลาพูดคุยเธอจะพูดจาสุภาพ น้ำเสียงอ่อนหวาน อ่อนน้อมถ่อมตัว และคอยถามไถ่ตลอดเวลา ซึ่งเธอเล่าว่าเธอติดกิริยามารยาทแบบญี่ปุ่นแล้ว เพราะอยู่ที่โน่นต้องทักทาย โค้งคำนับกันตลอดเวลา และเรื่องมารยาทเป็นเรื่องสำคัญมาก
 
“ปีนี้ผลงานจะไปทางทีวีมากกว่า มีรายการที่เป็นพิธีกรประจำ แล้วก็มีซีรีส์ ช่อง TV TOKYO เป็นซีรีส์ตลกๆ เมเล่นเป็นผู้หญิง ที่เป็นแฟนกับฝรั่ง ถึงจะเป็นงานใหม่สำหรับเม แต่เมก็รู้สึกชอบ สนุก เป็นประสบการณ์ที่แปลก รู้สึกชอบการแสดงมากๆ พอแสดงแล้วสนุก อยากลองเล่นละคร เล่นหนัง แต่เวลาออกรายการทีวี ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าเรายังพูดไม่เก่ง มันไม่ใช่ภาษาบ้านเรา อย่างไปออกรายการวาไรตี้โชว์ ก็ต้องพูดเยอะๆ ก็คิดว่ายาก 
 
การทำงานที่ญี่ปุ่นจะแตกต่างจากการทำงานในไทยมาก ทุกอย่างต้องเร็ว ต้องเป๊ะ เวลาถ่ายรายการทีวีจะถ่ายรอบเดียวจบเลย ถึงแม้จะไม่ใช่รายการสดก็ตาม ไม่มีการคัต เขาเซฟเวลาให้เป๊ะ ก่อนถ่ายจริงก็มีการซ้อมไว้ก่อน ประมาณ 2-3 รอบ แล้วถ่ายเลย เขาจะกำหนดไว้เลยว่าถ่าย 10.00-12.00 น. แต่ที่ไทยจะชิลมาก เคยมาออกรายการที่ไทยกับไดจิ เขางงเลย ไม่ต้องมีการซ้อม ไม่ต้องมีการอ่านสคริปต์ คุยกันไป เขาก็ประทับใจว่าคนไทยทำงานสบาย"
 
การทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นชื่อว่าโหด และมีวินัยมาก โดยเฉพาะศิลปินหน้าใหม่ที่ต้องถูกหักเปอร์เซ็นต์ของรายได้มากกว่าไทยหลายเท่า แต่ก็ต้องยอมเพื่อให้มีงานอย่างต่อเนื่อง หลายคนมองว่าเป็นเรื่องอึดอัดใจ แต่สำหรับเม มองว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่คุ้มค่า และเธอมีความสุขกับการทำงาน และไม่ได้คาดหวังกับชื่อเสียง เงินทองเท่าไหร่นัก
 
“เมเป็นคนมีระเบียบวินัยอยู่แล้ว ทำงานกับญี่ปุ่นเขาเป๊ะมาก ทำให้เราไม่ต้องอึดอัดใจว่าจะเสร็จช้า หรือว่าอะไรหรือเปล่า เมรับได้นะ แต่ที่เมปรับตัวไม่ค่อยทันเท่าไหร่จะเป็นเรื่องการกินข้าว เมเป็นคนกินช้า คนญี่ปุ่นชอบทำงานมาก กินเร็วๆ รีบๆ พอพักทุกคนจะกินเร็วมาก บางทีก็ประชุมไปด้วยกินไปด้วย

สิ่งที่ยากคือเรื่องมารยาท เพราะเรายังไม่เข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่นตรงนี้เต็มร้อย คนญี่ปุ่นจะมารยาทจัดมาก ก่อนเข้าประตูจะต้องโค้งก่อนหนึ่งที จะต้องพูดว่าอะไรบ้าง จะมีภาษาที่เป็นภาษาสุภาพของเขา มีภาษาที่มันดีกว่าภาษาธรรมดาอีกระดับหนึ่ง ที่ใช้ในการทำงาน แต่ว่าเมก็ยังไม่รู้ เช่นกินข้าว นอกจากกิน ก็มีคำว่ารับประทาน เราก็ต้องพยายามใช้ให้เป็นเรื่องภาษา เช่นถ้าไปเจอผู้ใหญ่กว่ายังไงก็ต้องเข้าไปแนะนำตัวกับเขาอีกห้องหนึ่ง เขาอยู่ห้องข้างๆ เราก็ต้องไปเคาะประตู ไปเรียกเขาแล้วก็ "สวัสดีค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ ชื่อเมค่ะ" เราก็ทำไม่เป็น ไม่เคยทำอะไรอย่างนี้ 
 
มีอยู่วันหนึ่งใส่หมวก ใส่แว่นตากันแดด ไปทำความแนะนำกับผู้ใหญ่ เขาโกรธใหญ่เลย ต้องถอด ทุกอย่าง แว่น หมวก คือทำแบบนี้ถือเป็นการเสียมารยาทมากๆ ก็เคยเจอ เรียกว่าเป็นการปรับบุคลิกของเมไปอัตโนมัติเลย เจอใครก็ Hi โค้งตลอด"

ตัดสินใจเรียนต่อมหา'ลัยที่ญี่ปุ่น
เรียนคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ได้แค่เทอมเดียว เธอก็ต้องดร็อปเอาไว้ก่อน เพราะการทำงานไปกลับระหว่างญี่ปุ่น-ไทย ถือว่าหนักมากสำหรับเธอในช่วงนั้น และด้วยความเป็นเด็กไม่ทิ้งการเรียน เธอจึงมีเป้าหมายที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังของญี่ปุ่นให้ได้ ซึ่งเธอก็ผ่านฉลุยด้วยเกรดเฉลี่ยรวมจากประวัติการศึกษาทั้งหมดของเธอตั้งแต่เตรียมอุดมฯ จนถึงจุฬาฯ เทอมแรก ที่ไม่เคยต่ำกว่า 3.8 ได้เป็นนักเรียนทุนได้ที่ Waseda University มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น 
 
"ตอนนี้เรียนอยู่ที่ Waseda University สาขา Liberal Arts ภาคอินเตอร์ เรียนเป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็ญี่ปุ่นด้วย คล้ายๆ กับศิลปศาสตร์บ้านเรา แต่จะมีพวกธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภาษา เข้ามาด้วย ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเลือกสาขาไหน เมชอบทางด้านภาษา วัฒนธรรม ชอบเรียนเกี่ยวกับภาษา วิธีการสื่อสารของมนุษย์ 
 
ตอนแรกเรียนเตรียมอุดม มีโอกาสไปทำอัลบั้มที่ญี่ปุ่น บินไป-กลับตลอด เมเป็นเด็กติดครอบครัว ติดแม่ ก็ไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปอยู่ที่โน่น ก็เลยเอนท์ที่จุฬาฯ ดีกว่า ก็คิดว่าไปๆ กลับๆ ได้ แต่พอเข้ามาเรียนเทอมหนึ่งแล้ว ต้องทำงานไปด้วย ประกอบกับเราลองยื่นมหาวิทยาลัยวาเซดะดู แล้วได้ทุน ก็เลยตัดสินใจดร็อปที่จุฬาฯ ดีกว่า
 
ตอนเข้าเราใช้ยื่นเรียงความ เขียนเกี่ยวกับ ทำไมเราถึงอยากเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยญี่ปุ่น เขียนว่าเราเป็นนักร้อง เราทำงาน ในขณะเดียวกัน เราก็ให้ความสำคัญของการศึกษา อยากเรียนมหา'ลัยที่ดี อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ขณะเดียวกันก็สามารถทำงานไปด้วยได้"

เวลาว่างชอปปิ้ง กินเต็มที่
การใช้ชีวิตในประเทศที่ติดอันดับค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก สำหรับเมถือว่าค่อนข้างเป็นชีวิตที่สบายกว่านักศึกษาทั่วไป เพราะเธอมีรายได้จากการทำงาน และมีคุณแม่คอยดูแลเรื่องค่าใช่จ่าย คอยเตือนให้เธอเก็บเงิน แต่ก็ให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบาก เวลาว่างจากการเรียนและการทำงาน เธอจะมีไลฟ์สไตล์เหมือนสาววัยรุ่นทั่วไป ชอบชอปปิ้ง กินอาหารอร่อย ส่วนเวลาที่เหลือเธอจะอยู่ที่อพาตเมนต์ ทำความสะอาดห้อง เล่นคอมพ์แชตกับคุณแม่ ดูซีรีส์เกาหลี สาวเมแอบบอกว่าช่วงนี้ติด "กฎหมายรักฉบับฮาร์วาร์ด" โดยเฉพาะนางเอก นางฟ้า “คิม แตฮี” น่ารักมาก
 
"เมชอบชอปปิ้ง แฟชั่นที่ญี่ปุ่นสวยนะ มีความหลากหลายมาก แต่ละร้านแตกต่างกัน เข้าไปเหมือนสวรรค์ เหมือนพาราไดซ์ ราคาแพง แต่การตัดเย็บดี วัสดุดี สไตล์การแต่งตัวของเมจะเปลี่ยนไปตามวัย ชอบแต่งแบบผู้ใหญ่แล้วตอนนี้ สมัยก่อนจะชอบซื้อเสื้อผ้าที่ตึกชิบูยะ 109 เป็นตึกเด็กม.ปลาย เสื้อลูกไม้ สายเดี่ยว กางเกงขาสั้น ถุงน่องสีชมพู แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นตึกชินจูกุแล้ว เป็นผู้หญิงทำงาน ผู้หญิงมหา'ลัย ชอบแต่งตัว เรียบๆ สีดำ เสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็ก กระโปรงจีบเรียบๆ เดี๋ยวนี้มาดูชุดพวกนั้น มาคิดว่าใส่ไปได้ยังไง แต่ก็ใส่นะ ตอนนี้ไม่ใส่แล้ว รู้สึกว่าเราแก่เกินวัยแล้ว 
 
เรื่องกินเป็นอีกเรื่องที่เมมีความสุขมาก ชอบกินเนื้อ มัสซึซากะ มันเหมือนละลายในปากได้เลย กินแล้วอมไว้เลย ไม่ต้องเคี้ยว อร่อยมาก แต่แพงมาก กินทีหนึ่งหมดตัว มื้อหนึ่งเป็นหมื่นบาท แพงแต่อร่อย สักครั้งในชีวิตต้องไปลอง เราก็ไปบ่อยไม่ได้ เพราะมันแพง ชอบอุด้ง อร่อย เขาจะทำเส้นเหนียวหนึบเลย ชอบเบเกอรี ราเม็งจานใหญ่ กินคนเดียวหมดชามเลย ชอบอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่พออยู่ไปนานๆ ก็อยากกินอาหาารไทยนะ อยากกินส้มตำ มีร้านประจำ ร้านตื่นเต้น แถวมหา'ลัย มีร้านอาหารไทย 4-5 ร้าน
 
เวลาว่างเราก็พักผ่อน อยู่บ้านซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน ล้างห้องน้ำ อยู่อพาตเมนต์คนเดียว ค่อนข้างลำบาก เมมีโรคประจำตัว เวลาดึกๆ ปวดท้อง มันก็ไม่มีคนให้อ้อน ก็ต้องคลานไปกินยาเอง ลำบากมาก ห้องไม่ใหญ่มาก การใช้ชีวิตค่าครองชีพสูงมาก ลำบากนะคะ ลำพังค่าอพาตเมนต์ก็แพงมากแล้ว ทำงานด้วย ก็มีสิทธิ์ใช้เงินของเรา คุณแม่ช่วยเรื่องการเงิน ดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย ค่าอาหาร อาหารที่นู่นจานหนึ่ง 300 บาท คนญี่ปุ่นมาไทยนี้ตกใจ ก๋วยเตี๋ยว 20 กว่าบาท ค่ามิเตอร์แท็กซี่กด 200 กว่าบาท 
 
หลังเรียนจบก็อยากกลับไทย อยากอยู่ไทยที่สุด ประเทศญี่ปุ่นก็ชอบมากนะคะ แต่ในที่สุดแล้วก็อยากกลับมาทำงานที่ไทย ไม่มีที่ไหนสบายเหมือนบ้านเรา ทุกๆ 2 เดือนก็กลับไทยตลอด"

หวานซ่อนเปรี้ยว
มองภายนอกอาจดูว่าเธอเป็นสาวเรียบร้อย อ่อนหวาน ด้วยน้ำเสียง และมารยาทที่เธอแสดงออก แต่ทว่าตัวตนจริงๆ กลับออกแนวสาวหวานซ่อนเปรี้ยวมากกว่า เป็นคนลุยๆ ชอบความท้าทาย เรียกว่านิสัยเป็นผู้ชายซะมากกว่า ไม่ชอบสะสมตุ๊กตา และไม่ใช่สาวกุ๊กกิ๊กแบบผู้หญิง

"เป็นคนไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่เมว่าเป็นนิสัยที่ไม่ดีนะ อาจเป็นเพราะคุณแม่ดูแลตั้งแต่เด็ก มีหน้าที่เรียนอย่างเดียว เรื่องอื่นก็เลยไม่ค่อยสนใจ ส่วนเรื่องการทำงานเมจะเป็นคนแอ็กทีฟ ภาษาก็ด้วย เราไม่ชอบความรู้สึกที่แบบทำไมเราถึงพูดไม่ได้ ทำไมเราถึงไม่เข้าใจ ไม่ชอบ

เมไม่ใช่คนหวานเลย เป็นแนวเปรี้ยวมากกว่า ชอบแต่งตัว ชอบแฟชั่น การแต่งตัวก็เปลี่ยนไปตามวัย ตอนมาญี่ปุ่นใหม่ๆ จะแต่งตัวแรงเลย ขาสั้น ถุงน่องตาข่ายสีชมพูแปร๊ด แต่ตอนนี้รู้สึกว่าโตขึ้น ก็จะชอบแต่งตัวแบบเรียบๆ คนจะมองว่าเมเรียบร้อย แต่จริงๆ ไม่ใช่คนเรียบร้อย เป็นคนนิสัยเหมือนผู้ชาย แมนที่สุด ไม่เล่นตุ๊กตา ของสะสม เป็นคนไม่มีกุ๊กกิ๊กน่ารักเลย
 
ตั้งแต่เด็ก ๆแล้ว ชอบกีฬาที่มันน่ากลัว ท้าทาย กีฬาธรรมดาไม่ค่อยชอบ อยู่ไทยชอบเล่นเคเบิลสกี เว็กบอร์ด ช่วงนี้เมชอบเล่นสกีมาก แต่เราเล่นไม่เป็นเลยนะ ฝึกอยู่ 3 วัน จนเล่นได้ แล้วขึ้นไปบลูรันเลย สูงสุด ความชัน 90 องศา เพื่อนที่เล่นเก่งยังคิดว่ายากเลย แต่เมยังเล่นไม่เก่งแต่ก็อยากลอง แล้วก็กลิ้งตกลงมา ขาช้ำ เขียวไปหมดเลย โดนหิมะทับ ตีลังกา ไถล เจ็บตัวมากแต่ก็ชอบ กลับมาที่ห้องต้องกินยาแก้ปวด ไข้ขึ้น โทร. ไปคุยกับแม่ แม่บอกพอเถอะ ลูกไม่ไหวแล้วนะ แต่เราบอกต้องเล่นให้ได้ คือเมเป็นคนไม่ชอบความล้มเหลว ถ้าทำไม่ได้เราจะไม่ยอม เราต้องมาสเตอร์ให้ได้”

ขอคนรักเดียวใจเดียวแบบพี่ชาย
เรียกได้ว่าเป็นสาวเต็มตัวแล้ว แถมยังเป็นศิลปินที่มีกลุ่มแฟนคลับหนุ่มๆ ทั้งชาวไทย ชาวญี่ปุ่น แต่พอถามถึงเรื่องความรัก สาวเมยิ้มน้อยๆ แล้วบอกเพียงว่าชอบผู้ชายที่เป็นเหมือนพี่ชายของเธอ รักเดียวใจเดียว ที่สำคัญชอบคนไทย เพราะวัฒนธรรมเดียวกัน คุยกันเข้าใจง่ายกว่า 
 
"ความรักเป็นเรื่องที่ยาก ยากมากจริงๆ มันไม่มีอะไรที่กำหนดตายตัวได้ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ แต่สิ่งที่มันจะทำให้ความรักเวิร์กได้มันต้องเป็นที่คนสองคน ที่คุยกันและเข้าใจกันจริงๆ ว่านี่คือความรัก มันไม่มีทางที่คนอื่นจะเข้าใจได้อีกแล้ว เมคิดว่านะ อยากได้ผู้ชายแบบพี่ชายตัวเอง เขาเป็นคนดีที่สุดในโลก รักเดียวใจเดียว รักแค่แฟนคนเดียว ไม่ไปเสาะหาคนอื่นอีก คนนั้นสวย คนนี้สวย ชอบคนตัวสูง ชอบคนไทย เพราะว่าวัฒนธรรมเดียวกัน คุยกันรู้เรื่องกว่า คนไทยมีความเป็นสภาพบุรุษ เลดี้เฟิสต์"
--------------------------------------------------------------------------

เปิดใจคุณแม่ถึงความห่วงลูกสาวในต่างแดน
เคยเป็นเด็กดื้อเงียบ บางครั้งก็มีแหกกฎบ้าง แต่เมื่ออยู่ห่างจากคุณแม่ (วิภาพร อรรถบุรานนท์) เธอกลับเรียนรู้ได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือคนที่เธอรัก ซึ่งก็คือครอบครัวนั่นเอง ทำให้เธอคิดก่อนทำมากขึ้น และเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ถึงขนาดทำให้คุณแม่เอ่ยปากว่าเป็นลูกสาวที่คุณแม่ภูมิใจ และไม่ค่อยเป็นห่วงเหมือนแต่ก่อนแล้ว 
 
“ภูมิใจมากกว่าเป็นห่วง เริ่มตั้งแต่เขาทำงานที่แกรมมี่ ที่จะห่วงคือเรื่องอยู่เองได้ไหม เรื่องเรียนไม่ห่วงเลย เพราะเขารับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ดี ความห่วงสำหรับวัยรุ่นก็คือเรื่องแฟน ก็จะสอนเขาตลอดว่าเราเป็นคนไทย หนูจะทำอย่างฝรั่งเขามาห้องเรา เราเข้าห้องผู้ชายไม่ได้ ก่อนหน้านี้เมเป็นเด็กดื้อ มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่พอไปอยู่คนเดียวแล้วรู้สึกว่ารักแม่ เขาเปลี่ยนแปลงเยอะ เราพูดอะไร เขาฟังมากขึ้น แต่ก่อนเขาดื้อเงียบ เขาจะเปิดใจมากขึ้น แชร์กันมากขึ้นมีโทรสั่งดอกไม้ให้ ตอนอยู่ด้วยกันไม่หวานนะ พอแยกกันแล้วจะมีสเปซ เราก็เรียนรู้จากเขา เขาสอนเราหลายๆ อย่าง บางครั้งเราหัวเก่าเกินไป ไม่เข้ากับยุคสมัยหรือเปล่า
 
คนเป็นพ่อแม่ ลูกจะอายุเท่าไหร่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ ห่วงเรื่องสุขภาพ เวลาเครียดเขาจะไม่สบาย ปวดท้อง ปวดหัว เป็นคนเซนซิทิฟมากๆ ถ้าอยู่ด้วยกันก็ปลอบโยนกันไป แต่พอเขาอยู่ต่างประเทศ เขาโทรมาร้องไห้ คนเป็นแม่นึกภาพออกไหม อยากเข้าไปกอด สุขภาพจิต สุขภาพกาย เป็นห่วงมากทุกวันนี้ก็อยากให้เขาทำทุกอย่างให้มีความสุข ไม่เดือดร้อนใคร ไม่ขัดศีลธรรม ทุกวันนี้ภูมิใจ เขาเรียนหนังสือ ทำงานรับผิดชอบ"

ชื่อ : ศิตาภา อรรถบุรานนท์
ชื่อเล่น : เม
วันเกิด : 4 พฤษภาคม 2533
ประวัติการศึกษา :มัธยมต้น โรงเรียนสารสาสน์พิทยา, มัธยมปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ประวัติการทำงาน : อัลบั้ม Preppy G มีผลงานเพลงอัลบั้ม Sweet Vacation, พิธีกร NHK รายการ katei sousou , นักแสดง TV TOKYO Piramekino เล่นเป็น may

ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์

ภาพโดย ศิวกร เสนสอน

(ขอบคุณภาพประกอบจาก Blog Sweet Vacation)












รับบท เม ในซีรีส์ Piramekino ทาง TV TOKYO
นักศึกษามหาวิทยาลัยวาเซดะ
สกี กีฬาที่ชื่นชอบที่สุดตอนนี้




(เมคนกลาง) สมัยอยู่วง Preppy G
เมกับคุณแม่
กำลังโหลดความคิดเห็น