xs
xsm
sm
md
lg

สุดยอดนักลดน้ำหนักไทยระดับเอเชีย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เมื่อหลายเดือนก่อน ชื่อของคนไทยได้ไปปรากฏอยู่บนอันดับต้นๆ ของเอเชีย ด้วยการประกวดรายการเรียลิตี้ลดน้ำหนักที่เป็นรายการที่ได้รับความนิยมในเอเชียอย่าง The Biggest Losser Season 2 โดยมี คุณ อธิคม ลักษณประนัย หรือ “คุณนาย” ที่สามารถลดน้ำหนักจาก 137 กิโลกรัม เหลือเพียง 74 กิโลกรัม ได้รับรางวัลรองแชมป์ที่พ่ายให้กับผู้แข่งขันจากประเทศสิงคโปร์ไปอย่างสูสี

แรงจูงใจอะไรที่ทำให้เขาสามารถลดน้ำหนักได้ รวมถึงประสบการณ์การลดน้ำหนักโดยมีการแข่งขันเป็นเดิมพันของเขาเป็นเช่นไร M-Lite จะพาคุณไปพูดคุยเรื่องราว และประสบการณ์ดีดี จากการออกกำลังกาย ที่สามารถสร้างขึ้นด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งยาลดน้ำหนักอีกด้วย

เรียลิตีสุดหิน!

ก่อนหน้าที่คุณนายจะก้าวเข้าไปสู่สังเวียนของเรียลิตี้ที่เขาชื่นชอบในรายการ The Biggest Looser ซึ่งเป็นรายการที่เขาชื่นชอบตั้งแต่ดูซีซั่นแรก การออกกำลังกายโดยมีแรงจูงใจในการลดน้ำหนัก ทำให้เขาต้องการเข้าไปอยู่ในเกมส์เรียลิตีดังกล่าวในซีซั่นที่ 2 ด้วยความตั้งใจที่พร้อมจะทำให้น้ำหนักของตนเองลดลงและสุขภาพร่างกายของตนเองดีขึ้น

“ชอบรายการนี้อยู่แล้วตั้งแต่ซีซั่นแรก เมื่อก่อนผมอ้วน แต่เป็นคนอ้วนที่ชอบออกกำลังกาย แต่เพราะน้ำหนักมาการออกกำลังกายที่ผ่านมาเลยไม่ค่อยเต็มที่ พอได้เห็นรายการแล้วน่าสนุกแล้วได้ลดความอ้วนด้วยเลยอยากลองดู”

นายเล่าว่า ก่อนจะเข้าไปเขาต้องทำออดิชั่นในการส่งไปให้กรรมการได้คัดเลือด ปีแรกเห็นวิดีโอที่เขาทำส่งกันไปดีมาก แต่เพราะตนเองคิดว่ายังไม่พร้อมจึงทำให้ล้มเลิก เมื่อขึ้นปีที่ 2 เริ่มมีการมาออดิชั่นที่เมืองไทย และมีคนไทยสมัครจำนวนมากจึงทำให้เขาได้มีโอกาสอีกครั้งหนึ่ง

“เค้ามาออดิชั่นในเมืองไทย ก็รีบไปสมัคร เป็นการกรอกใบสมัครแล้วก็ไปลองทำดู คือคนไทยสมัครเยอะเหมือนกัน พอเข้าไปในห้องก็มีเทรนด์เนอร์ของตัวเอง แล้วก็ให้ตอบคำถามแล้วมีการประเมินเรา ดูทัศนคติ พร้อมที่จะลดน้ำหนักไหม มันเป็นรายการต่างประเทศก็ดีที่เรามีพื้นฐานภาษาที่เราเคยไปเรียนอยู่ต่างประเทศมาสักพักหนึ่ง ก็ทำให้ภาษาได้ ผมว่าหลายคนน่าจะเข้าไปในรายการได้แต่ด้วยเรื่องของการสื่อสารจึงทำให้ไม่ผ่าน เราก็เลยได้เป็น 1ใน3 ของรายการ”

เมื่อได้ก้าวเข้าไปในรายการดังกล่าว นายเล่าถึงประสบการณ์ที่ต้องเผชิญในการลดน้ำหนักว่า เป็นการลดน้ำหนักที่ทรมานมาก แม้ว่าซีซั่นแรกที่ตนเป็นคนดูจะทำให้มองว่าเป็นการแข่งขันที่ดูดี แต่เมื่อเอาเข้าจริงเป็นเรื่องที่ยากมาก พฤติกรรมที่เคยทำต้องเปลี่ยนแปลงทั้งหมด

“ตอนเข้าไปในรายการ คอนเซ็ปต์ทุกอย่างในตัวเราต้องเปลี่ยน การกินต้องเปลี่ยนการออกกำลังก็ต้องเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยนหมด เราเป็นคนละคนไปเลย จากที่เราเคยเป็นคนที่กินอะไรก็ได้ไม่แคร์ เราเข้าไปต้องกินแบบนับแคลอรี่ ซึ่งสามารถดูอาหารต่างๆว่ามีกี่แคลอรีได้จากเวปไซต์ ซึ่งจะมีบอกว่าอาหารแต่ละอย่างให้กี่แคลอรี่ อาหารที่เรากินเข้าไปเราไม่ได้กินเป็นอาหารแล้ว เราต้องมองว่ามันเป็นพลังงานให้กับตัวเอง เรามองเหมือนว่ามันเป็นน้ำมันที่จะคอยเติมพลังให้กับตัวเรา เหมือนเราเติมน้ำมันรถ ไม่ได้มองว่ามันจะอร่อย เรามองเป็นตัวเลขมากกว่า ออกกำลังกายต้องเป็นตัวเลข ทุกอย่างดูเป็นตัวเลขหมด ”

การแข่งขันในรายการสูงมาก ต้องห้ามใจและเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ปัญหาเรื่องอาหารการกินไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา เมื่อการไปอยู่ในภาวะที่มีแต่การแข่งขัน แม้กระทั่งออกกำลังกายยังต้องแข่งขัน จึงทำให้เขารู้สึกกดดันจากตัวเองและคนรอบข้าง
สิ่งหนึ่งที่เป็นแรงฮึดให้เขาต่อสู้และอยู่ได้จนกระทั่งรอบสุดท้าย คือ ความแค้นที่ก่อเกิดจากเพื่อนที่เข้าร่วมแข่งขันที่ทำให้รูมเมทของเขาต้องออกจากรายการไปก่อน

“ตั้งแต่ความรู้สึกแค้นใจเกิดขึ้นทำให้เราตัดสัมพันธ์ทุกอย่างมุ่งมั่นในการลดน้ำหนัก ตั้งใจมากขึ้น ในรายการอาหารเค้าไม่ห้ามคุณจะกินไรคุณก็กิน แต่อาหารต้องทำเอง เราก็จะลิสต์รายการซื้อออกมา วันนี้เราทานอะไรไปบ้างกี่กิโลแคลอรี่ แล้วเราก็ทำอาหารเอง ทำให้เรารู้ว่าวันนี้กินอะไรไปเท่าไหร่ ในทีมผมจะมีแม่ครัวหนึ่งคน ผมเองก็ทำกับข้าวเอง ทีมผมจะสบายมีอาหารดีๆ รสชาติคุณภาพดี แต่อีกทีมจะไม่มีใครทำกับข้าวเป็นเลย ปกติตื่นเช้ามา เราก็กินซีเรียล แล้วโยเกิร์ต ถ้ามีเวลาก็จะทำ ผมก็จะทำเป็นชามใหญ่ๆ แล้วก็มาแบ่งทานได้หลายมื้อ เลือกอาหารสำหรับตัวเอง ”

น้ำหนักที่เกิดจากสภาพแวดล้อม

ด้วยน้ำหนัก 137 กิโลกรัม กลายเป็นความเคยชินที่ผูกติดกับเขามาตั้งแต่วัยเด็ก สภาพของการเลี้ยงดูจากทางบ้านที่มีการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ทำให้คนในครอบครัวรวมถึงตัวเขาทุกคนมีน้ำหนักเกินร้อย

“ผมเป็นคนชอบรับประทานข้าว ชอบทำกับข้าว ตั้งแต่เด็กที่บ้านจะเลี้ยงดีมาก อาหารถูกปาก กลับจากโรงเรียนมีกับข้าวให้ทานตลอด ที่บ้านจะมีกฎอยู่ว่าต้องกินให้หมดอย่าให้เหลือเพราะเสียดายของ ผมถูกปลูกฝังมาแบบนนี้ พอที่บ้านซื้ออะไรมาให้กินจะกินหมดทุกอย่างตั้งแต่โตมาจำได้เลยว่าไม่เคยผอม น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น จนตอนนั้นอ้วนสุดน้ำหนัก 137 กก ”

“ตอนนั้นไม่รู้สึกเลยนะว่าตัวเองอ้วน เพราะเราอยู่กับมันเกิดมากับสิ่งนี้มาตั้งแต่เด็ก เราชินกับมันเราก็ไม่รู้สึกอะไร คิดกับตัวเองเสมอว่าลดเมื่อไหร่ก็ลดได้ เราอ้วนแต่เรามีเนื้อมากกว่าไขมัน เราเป็นคนเนื้อแน่น เพราะเราชอบยกเวท มาก่อน เราจะต่างจากคนอ้วนทั่วไปที่อ้วนแบบเหลวๆ ไม่มีเนื้อ แต่เราอ้วนมีเนื้อ มีกล้ามเนื้อ เราก็ไม่รีบคิดว่าตัวเองลดเมื่อไหร่ก็ได้ เรื่องปัญหาสุขภาพไม่มีเลยนะ คนไทยค่อนข้างยอมรับคนอ้วนพอสมควร ก็ตั้งแต่เด็กเราก็เป็นเด็กอ้วนในโรงเรียนที่ผู้ใหญ่เขามองว่าเราอ้วนน่ารักพอโตขึ้นเราก็มีพุงนิดๆ เราก็ยังเฉย ทั้งครอบครัวน้ำหนักเกินร้อยทุกคนเลยนะ แม่ก็ร้อยกว่า พี่ชายก็ร้อยกว่า น้องสาวก็เริ่มไต่น้ำหนักขึ้นมาเรื่อย”

เขาบอกว่าความอ้วนไม่ได้มาจากพันธุกรรม แต่เป็นเพราะเรื่องของพฤติกรรมมากกว่า สภาพแวดล้อมรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญ

“ตอนอ้วนเราก็ไม่รู้สึกว่าอ้วน มันอาจจะมีเรื่องของปัญหาสุขภาพนะ คงมีเพราะเราเองก็มองข้ามมันไปในข้อนี้เพราะเราเองอยู่กับความอ้วนมาตั้งแต่เด็ก รู้สึกชินไปแล้ว สุขภาพทางการแพทย์ผมไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ คงเพราะว่าอายุเรายังน้อยอยู่มั้ง อายุยังไม่ถึงเลข3 แต่ถ้าเราอายุเลข3 ปัญหาต่างๆก็คงจะตามมาเหมือนกัน”

ชีวิตติดตัวเลข

ในช่วงแรกของการเข้าแข่งขันรายการดังกล่าว คุณนายสามารถลดน้ำหนักได้มากที่สุดถึง 8 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ความรู้สึกที่เขาบอกว่าโหยและทรมานมากทำให้เขาต้องต่อสู้และฝ่าฟันเพื่อให้ความตั้งใจของตนเองบรรลุเป้าหมายให้ได้มากที่สุด

“รู้สึกอยากกินนะช่วงดึกมันโหยแน่นอนแต่เราต้องทำใจให้ได้ เราก็นอนไปเลย ออกกำลังกายวันละ8 ชั่วโมง กลับมา เคลียร์ของ ก็เหนื่อยแล้ว ตื่นมาต้องออกกำลังกายต่อ ก็ลืมแล้ว โหยนะแต่เหนื่อย มันอยู่ในข้อบังคับที่เรากินไม่ได้เพราะเราอยู่ในตอนแข่ง มันเป็นกฎข้อบังคับ ช่วงแรกร่างกายจะเผาผลาญเอาน้ำออกไปก่อน เลยทำให้ช่วงแรกลงเร็ว”

ส่วนวิธีการที่สำคัญที่สุดคือวิธีการเลือกรับประทานอาหาร โดยคุณนายวิธีการแนะนำบอกว่าเอาไว้ว่า การเลือกอาหารซึ่งจะแบ่งออกเป็นโปรตีนและแป้งที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ในช่วงเช้าและกลางวันเราสามารถรับประทานอาหารจำพวกแป้งได้ เนื่องจากต้องใช้พลังงานในการออกกำลังกาย ในช่วงบ่ายนั้นควรลดอาหารจำพวกดังกล่าว เพราะเราไม่สามารถนำเอาพลังงานเหล่านั้นไปใช้ได้

“ช่วงเช้าผมอาจจะรับประทาน ขนมปัง 2แผ่น กลางวันก็หาอาหารจำพวกแป้งมารับประทาน ตกเย็นอาจจะรับประทานสลัด ซึ่งอาจจะเป็นไก่ โดยนำเอาไปปรุงด้วยวิธีการต้ม อบ นึ่ง หรือทอดบ้าง ซึ่งใช้สเปรย์ฉีดกระทะในการปรุงอาหาร”

การรับประทานที่ได้ผลอาจจะใช้วิธีการนับแคลอรี ว่าในแต่ละมื้อเรารับประทานไปแล้วกี่กิโลแคลอรี่ และจากนั้นก็มีเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจที่สามารถป้อนข้อมูลส่วนตัวเข้าไปแล้วจะคำนวณอาหารในแต่ละมื้อที่รับประทานเข้าไปและการเผาผลาญทั้งหมดได้

“ไม่ได้ยุ่งยากนะว่าจะลดน้ำหนักจะต้องมานับว่าต้องกินเท่าไหร่ ยังไงบ้าง ผมว่าคนที่อ้วนน่าจะรู้นะว่าตัวเองควรกินยังไงควรออกกำลังกายยังไงแต่เขาไม่ทำ ซึ่งผมเคยเป็นแบบนั้น ความตั้งใจมีแต่ทำไม่ได้ ซึ่งบางคนรู้แต่ไม่ทำ นิสัยมักจะเป็นแบบนี้ ผมเข้าไปในรายการแล้วมันเป็นเกม ลดมาแล้วความอยากยังอยู่มั้ย ช่วงนี้จริงๆ มันเป็นช่วงที่ออกมาแล้วดูทุกอย่างละเอียดมาก พออกมาเราก็กินเป็นปกติ แต่เราก็คิดก่อนกินว่าไม่กินของทอด”

“ตอนอ้วนเหยื่อจะออกเยอะมาก นั่งเฉยๆก็จะออกมาล่ะ แต่พอตอนนี้เราใส่เสื้อแจ๊คเก็ตทับอีกตัวก็เหยื่อไม่ออกนะ สบายตัวเราเหนื่อยแต่เรามีความสุข สมัยก่อนไม่คิดจะวิ่งเจอสะพานลอยก็ไม่เอา ไม่ทำอะไรที่ทำให้ตัวเองรู้สึกเหนื่อย”

กินมากมื้อในปริมาณน้อย

นอกจากเรื่องอาหารการกินจะเป็นเรื่องสำคัญในการลดน้ำหนักแล้ว เรื่องการออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วยเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน หลังจากที่คุณนายน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วในช่วง สัปดาห์แรกถึง 8 กิโลกรัม โดยสิ่งที่เผาผลาญออกไปเป็นเพียงแค่น้ำที่มีอยู่ในตัว แต่ไขมันยังออกไม่มากพอ หลังจากนั้นน้ำหนักจึงลดลงอาทิตย์ละ 3 กิโลกรัมอย่างคงที่มาตลอด

“พอเหลือน้ำหนักที่ 80 กก. ผมก็ต้องพยายามลงให้ได้มากที่สุด แต่เราต้องมาเปลี่ยนวิธีการออกกำลังกาย เปลี่ยนคอนเซ็ปต์การออกกำลังกาย เปลี่ยนทุกอย่างที่เคยทำที่คิดว่าเป็นชีวิตประจำวัน เพื่อให้ร่างกายปรับให้ร่างกายรู้สึกว่ากำลังลดน้ำหนักหนัก เพราะร่างกายฉลาดที่จะจำได้ว่าเขาเคยลดมาแบบไหนแล้วร่างกายจะคงที่อยู่อย่างนั้น จากนั้นก็จะไม่เผาผลาญ หรือช้าลงกว่าเดิม ฉะนั้นเราก็ต้องปรับให้ร่างกายรู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญเกิดขึ้น ให้รู้สึกว่าร่างกายได้เผาผลาญตลอดเวลา ”

ด้วยลักษณะการบริโภคของคนในปัจจุบันมีผลต่อการออกกำลังกาย หากเราไม่ควบคุมการกินก็ไม่เกิดประโยชน์ ในอาหารและเครื่องดื่มทุกอย่างที่ไม่ใช่น้ำเปล่ามักจะมีแคลอรี่ทั้งสิ้นอาหารแต่ละอย่างอยู่ที่การปรุงแต่ง ถ้าเราเอาข้าวขาวกับข้าวกล้องในปริมาณที่เท่ากันเราก็ต้องเลือกข้าวกล้องที่ปริมาณที่อิ่มเหมือนกันแต่ให้พลังงานที่น้อยกว่า

“การเลือกบริโภค ปัจจุบันของทุกอย่างจะมีข้อมูลที่ให้มาว่ารับประทานเข้าไปแล้วจะได้พลังงานเท่าไหร่ ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลไปคำนวณได้ ทางที่ดีเราควรทานอาหารที่เราปรุงเอง ซึ่งที่เราซื้อมาเราไม่รู้วิธีการปรุงแต่งว่าเป็นอย่างไรบ้าง เราสามารถดูได้ว่าสิ่งที่เราทำ กินเข้าไป มันมีปริมาณเท่าไหร่ เราต้องออกกำลังกายแค่ไหน ”

วิธีการลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพนั้น ควรลดให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 กิโลกรัม หรืออาจจะกำหนดวันเวลาที่จะทำให้ถึงเป้าหมายให้แก่ตัวเองเพื่อเป็นแรงช่วยกระตุ้นให้รู้สึกอยากลดน้ำหนักและสุขภาพที่ดีขึ้น

“บางคนคิดว่ามื้อเช้าซัดเต็มที่แลยแต่มื้อกลางวันมื้อเย็นไม่กิน พอเราทำแบบนี้ร่างกายกำลังรู้สึกว่าพักผ่อน ทุกอย่างที่เรากินเข้าไปจะไม่ย่อย ทำให้แปลงเป็นพลังงานสะสมไปสู่ส่วนต่างๆ ไม่ถูกเผาผลาญ แต่ถ้าเราเปลี่ยนการกินของเราเป็นวันละ 6 มื้อ มื้อเช้า เที่ยง เย็น ปกติ แต่ปริมาณที่น้อยลง แล้วก็จะมีอาหารว่างระหว่างมื้อ อะไรก็ได้ อาจจะเป็นผลไม้ การกินเยอะๆ ร่างกายเผาผลาญไม่ทันก็กลายเป็นสะสมไปตามส่วนร่างกาย การที่เรากินมากมื้อแต่ปริมาณที่น้อยก็จะทำให้เราเผาผลาญได้ดีขึ้น” คุณนายแนะนำ
 
ข่าวโดย M-Lite /astv ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย  อดิศร  ฉาบสูงเนิน




กำลังโหลดความคิดเห็น