อดีตนักร้องดูโอ แห่งวง 'ไทรอัมพ์ส คิงดอม' ฉายาเจ้าแม่สายเดี่ยว โบว์-สุรัตนาวี สุวิพร ที่ปัจจุบันเธอผันตัวเองไปเป็นดีเจ และใช้เวลาว่างที่เหลือในการเข้าร่วมกิจกรรมตามหลักของศาสนาคริสต์ ในฐานะคริสเตียนคนหนึ่ง ช่วงวัยรุ่นสมัยที่ออกอัลบั้มเธอมีทั้งชื่อเสียง เงินทอง ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง เที่ยวกลางคืน เหล้า ยา บุหรี่ เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่เธอทำแล้วมีความสุข แต่ลึกๆ แล้วเธอก็รู้ตัวเองตลอดว่ามันไม่ใช่ความสุขแบบที่เธอตามหา จนเมื่อเธอได้รู้จักกับพระเจ้า ซึ่งนับจากวันแรกที่เธอได้อ่านพระคัมภีร์ ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เรียกว่าจากโบที่เป็นสีเทาเกือบดำ กลายเป็นโบสีขาว ที่ทุกวันนี้เธอพร้อมที่จะแบ่งปันความสุขให้แก่ผู้อื่น
“ความสุข” สิ่งที่ตามหามาตลอด
ภายนอกที่คนอื่นมอง อาจจะเห็นว่าเธอมีชื่อเสียง มีเงินทอง ใช้ชีวิตสนุกสนานดูมีความสุข แต่แท้จริงแล้ว เธอบอกว่าเธอเป็นคนที่ไม่มีความสุขเลย การที่ออกไปข้างนอก ไปเที่ยวคือออกไปหาความสบายใจ แต่มันก็มีความสุขเป็นครั้งเป็นคราว ไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขอย่างแท้จริง
“ลึกๆ แล้วเราไม่เคยมีความสุข เรายังคงแสวงหา อะไรที่ทำให้เราสบายใจ เราก็ไป ใช้คำว่าสุขนิยมก็ได้ ไปเที่ยว ชอบมีกลุ่มสังสรรค์ ชอบไปเที่ยวกลางคืน ชอบแสงสี แต่ทั้งหมดที่โบทำ ก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะไปหาได้จากที่ไหน
เคยลองอธิษฐาน ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเราพูดอะไรกับใคร พูดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก เราคงไม่ขอแก้วแหวนเงินทอง เราคงไม่ขอให้มีแฟน เพราะเรารู้สึกว่าในชีวิตเราก็มีอยู่แล้ว เราก็ไม่ได้เป็นคนอยากจะได้อะไรมากมายเราก็เลยขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะคิดว่าท่านก็ต้องรู้ใจเราแน่เลย ว่าอะไรเป็นสิ่งที่เติมเต็มเรา ก็เท่านั้น แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร”
รู้จักพระเจ้าครั้งแรก
ช่วงที่เธอยังใช้ชีวิตเที่ยวเตร่ เกเร แต่ลึกๆ แล้วเธอก็ยังคงตามหาอะไรบางอย่างที่จะมาเติมเต็มชีวิตของเธอ จนวันหนึ่ง “บอย โกสิยพงษ์” พี่ชายที่เธอสนิท โทรมาชักชวนเธอให้เข้าร่วมกลุ่มทำกิจกรรมทางศาสนาคริสต์ ซึ่งตอนนั้นคนชวนยังไม่แน่ใจว่าเธอจะอยากเข้าร่วมกลุ่มหรือเปล่า แต่ในที่สุดเธอก็ตอบตกลง กลับกลายเป็นว่าคำชวนนั้นทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิต
"มีอยู่วันหนึ่งพี่บอยเขาก็โทรมาหาโบ บอกว่าอยากชวนโบมาที่บ้าน มาเป็นกลุ่มเซล โบก็งงว่ากลุ่มเซลคืออะไร ถ้าขายตรงโบคงไม่เอานะ โบไม่ได้จริงๆ พี่บอยก็บอกว่า ไม่ใช่ ตอนนั้นโบจะซ่าๆ หน่อย ยังแกเรอยู่เลย พี่บอยก็บอกว่า พี่เขาก็ยังบอกว่าไม่รู้ว่าโทรมาทำไม พี่คิดว่าโบคงไม่มาแน่นอน แต่โบก็ตอบตกลงว่าจะไป เพราะโบกำลังหาอะไรอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้บอกอะไรเขามากมาย
ไปถึงวันแรกก็เจอพี่ปุ๊ อัญชลี เจออาจารย์ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ ซึ่งเป็นประธานของคริสตจักร เขาก็แนะนำว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร ตอนแรกโบก็ยังไม่รู้สึกเชื่อหรอก เพราะโบคิดว่าการที่คนเราจะเปลี่ยนศาสนา มันคือการที่ไม่มีจุดยืนอย่างชัดเจน และโบเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมาก โบคิดว่าสิ่งที่โบยืนอยู่มันถูกต้องแล้ว แต่ด้วยความที่โบเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย นาทีนั้นโบก็อธิษฐานกับพระเจ้าว่าถ้าพระเจ้ามีจริง ถ้าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้วตายบนไม้กางเขน อย่างที่เขาเล่าจริงๆ ทำให้โบเชื่อสิ ทำให้โบรู้จักกับพระเจ้าจริงๆ”
ธรรมจากพระคัมภีร์
จากคนที่ไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ แต่พอได้รับพระคัมภีร์เล่มหนา เธอกลับตั้งใจอ่านอย่างรวดเร็ว และไม่น่าเชื่อว่าคำสอนที่ปรากฏในพระคัมภีร์ บวกกับการอธิษฐานของเธอ จะทำให้เธอเชื่อ และทำให้เธอเปลี่ยนเป็นคริสเตียนได้ เพราะความศรัทธาที่มีต่อพระเจ้าจริงๆ
“พี่บอยให้พระคัมภีร์มาเล่มหนามาก ปกติโบเป็นคนไม่อ่านหนังสือ โบเป็นคนค่อนข้างขี้เกียจเลยหละ แต่หลังจากที่อธิษฐานวันนั้น โบอ่านไม่หยุด คือพออ่านแล้วเราเริ่มเข้าใจ ทุกคำในพระคัมภีร์มันมีพลังที่โบบอกไม่ถูกจริงๆ มันคือความจริง มันคือชีวิตที่ปฏิเสธไม่ได้ ในพระคัมภีร์บอกว่าผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ จะไม่พินาศ และมีชีวิตนิรันดร์
เราก็จะคิดว่าชีวิตเราเกิดมาแค่นี้เรายังไม่มีความสุขเลย เราไม่อยากได้ชีวิตนิรันดร์ได้ไหม เราก็ต่อรองมาก อธิษฐานกับพระเจ้าว่าเราอยากมีความสุข เราไม่อยากมีชีวิตนิรันดร์ โบก็อธิษฐานแล้วคืนนั้นโบฝันเห็นไฟนรก เหมือนเห็นชีวิตหลังความตาย หลังจากนั้นโบตื่นขึ้นมาแล้วคุกเข่าลงบอกพระเจ้าว่าเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว แต่ว่าตอนนั้นก็ยังอ่านพระคัมภีร์อยู่คนเดียว ยังไม่ได้ไปโบสถ์ คือตอนเด็กเคยได้ยินว่าเข้าโบสถ์แล้วจะถูกล้างสมอง ก็เลยยังไม่เข้า (หัวเราะ) แล้วก็อธิษฐานบอกกับพระเจ้าว่าพระเจ้ามาเติมเต็มหัวใจเราจริงๆ เราเริ่มเข้าใจแล้วหละ ว่าสิ่งที่เราขาดไปคืออะไร”
ชีวิตเปลี่ยนได้เพราะพระเจ้า
จากคนที่เคยติดเที่ยว ทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันไม่ใช่สิ่งที่ดี เธอก็อยากจะเปลี่ยนตัวเองอยู่แล้ว แต่ด้วยความอ่อนแอในจิตใจ ทำให้เธอไม่มีพลังพอที่จะเปลี่ยนตัวเองได้ หลังจากที่ได้รู้จักพระเจ้า และพระเจ้าประทานความเข้มแข็งทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
"แต่ก่อนโบติดเที่ยวมาก เหมือนไปเช็กชื่อ ตอกบัตรเลยก็ได้ กินเหล้า สูบบุหรี่ ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด คือโบยอมรับว่าโบแตะเลย โบไม่ใช่คนที่ดีเลย เรื่องผู้ชายโบก็เจ้าชู้ คือโบไม่มีอะไรดีเลย แต่กว่าโบจะตาสว่างแล้วเห็นสิ่งที่โบทำ ว่ามันแย่แค่ไหน โบรู้สึกว่าพระเจ้าเปิดเผย แล้วโบรู้ว่าโบเป็นคนบาปมากๆ แล้วคิดว่ายังไงก็นรกชัวร์ๆ แล้วเนี่ย
โบก็อธิษฐานกับพระเจ้าว่า โบไม่มีกำลังเปลี่ยนแปลงตัวเอง โบเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ถ้าพระเจ้ายิ่งใหญ่ โบขอให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงโบ ทุกๆ อย่างค่อยๆ หายหมด บุหรี่ไม่แตะ ไม่น่าเชื่อว่าโบจะเปลี่ยนได้ ด้วยกำลังจากพระเจ้าล้วนๆ เลย เราสู้นะ แม่ก็พยายามบอกว่าสูบบุหรี่เนี่ยทำลายสุขภาพนะ เราก็รู้ เราก็อยากเลิก แต่มันทำไม่ได้ เพราะเราอ่อนแอ
ถึงวันนี้โบรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามาก ที่ทำให้เราเปลี่ยนมาถึงจุดนี้ ตอนนี้โบอาจจะไม่ใช่คนที่ดีมาก แต่โบดีกว่าแต่ก่อนเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการมองคน เรื่องของการตรงต่อเวลา เรื่องของอารมณ์ร้อน คือโบเปลี่ยนแปลงจนสามารถที่จะออกไปบอกคนอื่นว่าพระเจ้าดียังไงได้”
โอกาสที่สอง ของการเริ่มใหม่
เมื่อวันหนึ่งเธอได้มารู้จักกับศาสนาคริสต์ และเธอเชื่อว่าพระเจ้าให้โอกาสแก่คนบาปอย่างเธอเป็นครั้งที่สอง บวกกับมีพี่ๆ น้อง ๆ ชาวคริสเตียนคอยช่วยเหลือ ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เธอเลือกเดินทางนี้
“หลักคำสอนของศาสนาพุทธ โบก็ว่าดีถ้าทำได้แบบนั้นเป๊ะ แต่ยากมากสำหรับโบ ในบททุกอย่างที่มีในศาสนาพุทธ ก็คล้ายคำบัญญัติที่อยู่ในศาสนาคริสต์เหมือนกัน ในไบเบิลก็มีคำบัญญัติว่าอย่าฆ่าคน อย่าโกหก อย่าลักทรัพย์ อย่ามุสา อย่าอยากได้ของเพื่อนบ้าน ให้เรารักบิดา มารดา ให้เกียรติบิดา มารดา
โบรู้สึกว่าโบเป็นคนที่ผิดไปแล้ว ถ้าโบได้โอกาสครั้งที่สองคงดีมาก และโบรู้สึกว่าพระเจ้าช่วยโบตรงนี้ได้ ทำให้โบเปลี่ยนเป็นอีกคน
มันเป็นเรื่องในใจหลายๆ เรื่องที่ต้องการถูกปลดปล่อย เหมือนตอนเด็กเคยมีปม เราเคยทะเลาะกับแม่ เราเคยพูดผรุสวาทใส่แม่ ตอนวัยรุ่น แล้วมันเป็นเหมือนมีหนามตำในใจ แล้วเราจะรู้สึกตลอดเวลามันอยู่ในอณู ทุกโมเมนต์ที่เราทำความบาปนั้นๆ มันยังอยู่ในใจเรา แล้วมันตีตราเสมอว่านรกแน่ๆ แล้วพอเรารู้จักกับพระเจ้า เราขอโทษต่อพระเจ้า ทำให้เรามีความกล้าหาญ เราขอโทษต่อแม่เรา มันเหมือนปลดปล่อย ความรู้สึกผิดในใจเรา”
ยึดหลักยุติธรรม สัจจะ กรุณา
ทุกศาสนามีหลักที่คล้ายกันคือ สอนให้คนทำความดี ละเว้นความชั่ว เมื่อโบได้รู้จัก และเรียนรู้ในหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ เธอก็ยึดถือหลักคำสอนมาปฏิบัติ สิ่งที่เธอยึดถือก็คือ ความยุติธรรม สัจจะ กรุณา และไม่ว่าจะศาสนาใด ถ้าได้ตั้งใจจริงก็สามารถทำให้คนเป็นคนดีได้
“พอเรารู้ว่าเราบาป เราก็ต้องหาทางที่จะรอด เรารู้ว่าใครช่วยเราให้รอดได้ ในพระคัมภีร์บอกไว้เลยว่าในทางนั้นเป็นความจริง และเป็นชีวิต ผู้ใดมาหาเราผู้นั้นจะได้รับชีวิตนิรันดร์ คือตอบโจทย์ที่เราค้นหามาตลอด คือถ้าเราตายแล้วเราไปไหน เราเกิดมาในโลกนี้เพื่ออะไร สรุปว่าง่ายๆ เลย โบได้คำสอนจากพระคัมภีร์ว่า เมื่อเรารู้จักกับพระเจ้าแล้ว เรารู้แล้วว่าพระเจ้ามีพระประสงค์อะไรกับเรา เรารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดี เราก็จะทำตาม ยุติธรรม, สัจจะ, กรุณา เราก็ดำเนินชีวิตไปกับพระเจ้าที่เรารู้จัก
สิ่งที่พระคัมภีร์สอนหลักๆ คือความเชื่อ ให้เรามีความหวัง ให้เรามีความรัก ทำงานแบบพระคัมภีร์สอน อย่าขี้เกียจ บางคนถึงขนาดเอามือวางไว้ในชามตัวเอง แล้วไม่หยิบขึ้นมากินด้วยซ้ำ ถ้าคนขี้เกียจก็จะไม่เจริญ เหมือนคอมมอนเซนส์ที่เรารู้ๆ กันน่ะแหละ แต่พอเราได้มาย้ำ ได้มาลึกซึ้ง กับความหมายจริงๆ แล้วเราได้ขอกำลังจากพระเจ้า ทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้”
ความรักที่ดีขึ้น
โบเล่าว่าตอนเป็นวัยรุ่น เธอเป็นคนอารมณ์ร้อน ชอบโวยวาย และเคยพูดไม่ดีกับแม่หลายครั้ง ซึ่งเมื่อเธอได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแม่ ก็ค่อยๆ ดีขึ้น
“เรื่องของอารมณ์ แต่ก่อนโบแรง แล้วก็โวยวาย ลูกสาวกับแม่ก็จะมีอะไรกันสักอย่าง คุยกันได้ไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ เรื่องค่าใช้จ่าย เรารับผิดชอบอยู่แล้ว แต่เรื่องความสัมพันธ์ ไม่ไหวแล้ว คุยกันแล้วก็แยก แต่พอเดี๋ยวนี้โบเบาไปเยอะเลย แม่ก็จะรัก กลายเป็นที่รัก”
ไม่เฉพาะความสัมพันธ์กับครอบครัวดีขึ้น เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับคนรักก็ดีขึ้นเช่นกัน ถึงขั้นกำลังจะมีข่าวเในเร็วๆ นี้
“ตั้งแต่ตอนเป็นคริสเตียนแรกๆ ก็ชัดเจนแล้วล่ะว่า ถ้าจะแต่งงาน เราก็ต้องแต่งงานกับคนที่เป็นคริสเตียน คนที่มีความเชื่อเหมือนกับเรา คิดว่าถ้าเรามีความเชื่อเดียวกัน มันเหมือนคนสองคนรับกันได้ เพราะเรายอมพระเจ้า บางทีเราอาจจะไม่ได้ยอมซึ่งกันและกันก็ได้ มันทำให้ความสัมพันธ์คงอยู่ได้ ไม่ว่าจะ มีปัญหานานแค่ไหน
จนได้มารู้จักแฟนคนปัจจุบัน รู้จักกันมา 5 ปีแล้ว แต่ประมาณ 2 ปีกว่าๆ ถึงเริ่มมาคุยกันเยอะขึ้น และจริงจัง จนรู้สึกว่าความสัมพันธ์เราเริ่มขยับแล้วนะ โบก็ตัดสินใจว่าถ้าเราจะคบกันพัฒนาไปถึงขั้นเป็นแฟนกันเนี่ย เราไปเรียนกันไหม เป็นการเรียนเข้าคอร์สชีวิตคู่ แล้วได้เรียนรู้ทัศนคติของกันและกัน หน้าที่ของชายหญิง เรื่องราวที่เราทั้งสองฝ่ายควรจะรู้จักกันมากขึ้น เรื่องที่เลวร้ายที่สุดที่เราควรรู้คืออะไร ถ้าเจอสิ่งที่ไม่ดีของอีกฝ่าย เราให้อภัยในสิ่งที่เราเคยทำไม่ดีไปได้ไหม พระเจ้าสอนว่าให้เราให้อภัยแบบลบทิ้งไปเลย มันไม่ใช่แค่ปลง หรือเข้าใจ ให้อภัยแบบเริ่มใหม่เลย”
หลายคนคงเคยได้ยินคำสอนของพระเจ้าว่าให้รักเพื่อนบ้านเหมือนที่รักตัวเอง ซึ่งหลักการนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่โบนำมาปรับใช้ในชีวิต และด้วยความคิดที่ว่ารักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง ทำให้เธอคิดถึงตัวเองน้อยลง คิดถึงคนอื่นมากขึ้น
“พระเจ้าเปลี่ยนโบจากข้างในเลย ใจที่เคยคิดแต่เรื่องของตัวเองว่าฉันจะทำอะไร แต่พอรู้จักพระเจ้า พระเจ้าบอกให้เรามีชีวิตเพื่อคนอื่น ใจที่มันมีค่า คือหัวใจที่เต้นเพื่อคนอื่น คือทำอะไรได้ก็ไป คือโบไปจนไม่มานั่งคิดแล้วว่ามันจะได้อะไรกลับมา หรือว่าคนจะเห็นไหม มันข้ามจุดนั้นไปมากๆ แล้ว มันเหมือนตอนนี้เราเป็นคนอะไรก็ได้”
รายงานข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน
(ขอบคุณภาพประกอบจาก multiply/church of joy)