"พญ.นวลนภา สันติไชยกุล" หรือ “หมอแอร์” อาจารย์แพทย์คนสวยที่ลูกศิษย์ต่างยกนิ้วให้ในความน่ารัก และใจดี นอกจากบุคลิกภายนอกที่ดูเป็นสาวน่ารัก สดใส สไตล์เกาหลีอย่างที่เห็น เธอยังเป็นคนเก่ง และมีความสามารถอย่างน่าทึ่ง เธอเรียนจบคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 และด้วยวัยเพียง 27 ปี วันนี้เธอเป็นทั้งผู้บริหารเจ้าของคลินิกสกินกว่า 4 สาขา และยังเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ซึ่งโดดเด่นคนหนึ่งในวงการแพทย์ผิวหนังไทย
สาวร่างเล็ก หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม ในชุดเดรสลายจุดสีดำขับผิวขาวใสแบบมีออร่า เดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส นี่ถ้าไม่ทราบมาก่อนว่าสาวลุคเกาหลีที่ตรงหน้าคือ “หมอแอร์” บุคคลที่เรานัดสัมภาษณ์ไว้ คงคิดว่าเธอเป็นลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเสริมความงาม เพราะเธอดูหน้าใสอ่อนวัยมากๆ เธอเล่าว่าก่อนที่เธอจะมาเป็นหมอผิวหนังอย่างทุกวันนี้ เธอเคยเป็นหมออายุรกรรม ดูแลผู้ป่วยตามคลินิก ตามโรงพยาบาลมาก่อน จุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอทิ้งความฝันเพราะคุณพ่อของเธอเกิดป่วยเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร ทำให้เธอตัดสินใจกลับมาดูแลครอบครัว และเรียนต่อด้านผิวหนัง และพบว่าเรื่องของผิวหนัง การดูแลเรื่องความสวยความงามก็เป็นสิ่งที่เธอชอบไม่แพ้การเรียนอายุรกรรม
ฝันอยากเป็น “หมอ” ตั้งแต่เด็ก
ด้วยความที่หมอแอร์เป็นลูกสาวคนโตในบรรดาพี่น้องชายหญิง 4 คน ของครอบครัวคนจีนทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าไม้ยางพารานำเข้าจากต่างประเทศและในประเทศ ในครอบครัวไม่เคยมีใครเป็นหมอ และเธอฉายแววความฉลาดตั้งแต่เด็ก เรียนได้เกรด 4.00 สอบได้ที่ 1 มาตลอด ทำให้เธอกลายเป็นความหวังของครอบครัวว่าอยากให้เรียนหมอ ซึ่งการถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กก็ทำให้กลายเป็นความฝันของเธอว่าโตขึ้นจะต้องเป็นหมอ
“หมอแอร์เป็นลูกคนโตจากพี่น้อง 4 คน แต่มีเราคนเดียวที่เรียนหมอ ส่วนน้องๆ ก็เลือกเรียนอย่างที่ชอบ แต่ที่เหมือนกันคือเรียนจุฬาฯ ทุกคน น้องชายก็เรียนวิศวะฯ คนที่สามเรียนนิติฯ คนที่สี่เรียนบัญชีฯ เหมือนกระจายสาขา มีอะไรจะได้ช่วยกัน มีคอนเนกชันหลายๆ ทาง ส่วนหมอแอร์ที่บ้านอยากให้เป็นหมอตั้งแต่เด็กๆ เลย เพราะเห็นว่าเราดูเป็นเด็กเรียนเก่ง เป็นเด็กความจำดี ฉลาด เหมือนเขาอยากให้เราเป็นที่พึ่งของครอบครัว ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กเลยว่าให้เป็นหมอ จนกลายเป็นความฝันของเราไปเลย ว่าโตขึ้นอยากเป็นหมอ ต้องเรียนหมอนะ เรามีความฝันว่าอยากจะช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วย ตอนนั้นไม่ได้อยากเป็นหมอ skin นะ
เรียนหมอค่าเทอมก็พอๆ กับคณะบัญชีหรือคณะวิศวะ รัฐบาลซัปพอร์ตให้ตั้งแต่ปี 1-6 แต่เรียนหนักมาก แต่เราโชคดีที่ครอบครัวมีส่วนช่วยในเรื่องร่างกาย และจิตใจ แนะนำแต่สิ่งที่ดี ช่วยดูแลเรื่องสุขภาพเวลาเราเหนื่อย ให้เราพักผ่อนเต็มที่ หาอาหารการกินดีๆ มาบำรุง เราก็เรียนอย่างมีความสุข”
หมอแอร์เล่าย้อนให้ฟังว่า ตอนเด็กเปลี่ยนที่เรียนหลายที่ เรียนโรงเรียนชื่อดังตามสเต็ปเด็กเรียนดี ตอนประถมเรียนโรงเรียนอัชสัมชัญ ม.ต้น เรียนสาธิตปทุมวัน ม.ปลายก็เข้าเตรียมอุดมฯ พอเข้ามหาวิทยาลัยก็สอบเข้าคณะแพทย์ จุฬาฯ แล้วก็เรียนได้อันดับท็อปมาตลอด
“ตอนเด็กเรียนได้เกรด 4 สอบได้ที่ 1 ตลอด ได้ประกาศชื่อหน้าเสาธง ประกาศเกียรติคุณ แต่พอช่วงมัธยม เราไม่ได้เกรด 4 ตลอดเราร้องไห้น่ะ เพราะเราเป็นเด็กเรียนไง ก็เลยเครียดกับเรื่องเรียนมาก พอเราเครียดมากๆ ก็มาคิดว่ามันไม่ใช่แล้ว การเรียนได้เกรด 4.00 มันไม่ใช่จุดความสำเร็จของชีวิต จริงๆ แล้วชีวิตมันมีอะไรมากกว่านั้น เราก็ค่อยๆ ปรับทัศนคติของตัวเองลงมา ว่าไม่จำเป็นต้องได้เกรด 4.00 ตลอดก็ได้ หลังจากนั้นความเครียดเรื่องเรียนก็เริ่มน้อยลง
ที่โรงเรียนสาธิตปทุมวันเขาสอนดีมากเลย คำขวัญประจำโรงเรียนคือ “ความสามารถในการปรับตัว คือความสำเร็จของชีวิต” ถ้าเราไปจม หรือไปเครียดกับชีวิตมากเกินไป อาจจะทำให้เราอยู่ในสังคมไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องปรับตัว หลังจากที่เราปรับตัวได้ จากที่เคยเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าพูด ก็กลายเป็นคนเฮฮาไปเลย เริ่มสนใจทำกิจกรรมอย่างอื่น คิดว่าเราไม่จำเป็นที่ 1 เหมือนแต่ก่อน แต่ก็ยังสานฝันการเป็นหมอ”
เรียนแพทย์ทั้งหนัก ทั้งกดดัน
เส้นทางการเรียนแพทย์สำหรับหมอแอร์ถือว่าไม่ยากนัก เพราะเธอมีผลการเรียนที่ดีมาตลอด แต่ที่หนักสำหรับเธอเป็นช่วงที่ต้องเจอกับประสบการณ์การเป็นนักศึกษาแพทย์ ที่ทั้งทำงานหนัก และกดดัน ซึ่งทำให้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตหลายๆ อย่าง ได้ช่วยเหลือคนมากมาย และเปลี่ยนให้เธอเป็นคนที่เข้มแข็ง และเก่งขึ้น
“ตอนที่เรียนแพทย์เนี่ยหนักมาก ต้องผ่านความกดดันหลายอย่าง ตอนแรกก็จะอัดความรู้เยอะๆ แต่พอขึ้นคลินิกมันกดดันทุกอย่าง ทั้งอดนอน อาจารย์ก็กดดัน ขนาดเราทำดีที่สุดก็ยังโดนด่า บางทีเขวี้ยงชาร์ตคนไข้แตก มันเหมือนเป็นการทดสอบว่าเราจะผ่านความกดดันได้แค่ไหน เพราะฉะนั้น การเรียนแพทย์มันสอนให้เราดึงศักยภาพของตัวเองออกมาเยอะมาก แล้วก็เรื่องของความอดทน กลายเป็นทำให้คิดว่าต่อไปนี้ไม่ว่าจะเจออะไร เราก็ไม่กลัวแล้ว เพราะเราเคยเจอมาหนักมากแล้ว
แต่ก่อนเราเป็นเด็กไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก พอเป็นหมอมันต้องรับผิดชอบ ต้องทำงาน พอเข้าเวรปุ๊บ ไม่ได้นอน ไม่ได้ล้างหน้าตั้งแต่บ่าย 3 ของวันหนึ่งไปจนถึงบ่าย 3 ของอีกวันหนึ่ง เพราะมีคนไข้ตลอด พอดีเราเป็นคนมีเคสคนไข้เยอะ หมอเขาจะมีดวงเกี่ยวกับการดูแลคนไข้ นี่พูดเล่นๆ นะ จะมี 'ดวงสบาย' กับ 'ดวงเยิน' เราเนี่ยเป็นดวงเยิน คือจะมีเคสคนไข้ตลอด จนน้องๆ บอกว่าไม่อยากอยู่เวรกับพี่แอร์เลย เพราะเคสจะเยอะ แล้วเขาจะไม่ได้นอนกัน”
เคยเป็นลีดฯ คณะแพทย์
ด้วยรูปร่างเล็กๆ ผิวขาว หน้าตาน่ารักแบบสาวหมวย ทำให้เธอถูกเลือกให้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะแพทย์ จุฬาฯ และได้ทำกิจกรรมต่างๆ ถึงขั้นมีรุ่นพี่ชักชวนให้เป็นลีดฯ ของมหา'ลัย แต่การเป็นนักเรียนแพทย์ ทั้งเรียนหนัก และต้องรับผิดชอบ ทำให้เธอไม่มีเวลาทำกิจกรรมนั้น แต่การที่ได้เริ่มทำกิจกรรม ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เธอหันมาสนใจเกี่ยวกับเรื่องความสวยความงาม
“ตอนเราเป็นเฟรชชี่ เคยเป็นลีดฯ คณะแพทย์ เขาก็เลือกเราไป ทั้งๆ ที่เราไม่มีความสามารถด้านนี้ จริงๆ อยากเป็นลีดฯ สันทนาการมากกว่า ชอบทำกิจกรรม อย่างออกค่ายอาสา แต่ตอนนั้นเขาหลอกให้เราเต้นเพลงของจุฬาฯ พอเราซ้อมเสร็จเขาก็บอกให้เราเป็นลีดฯ เลย ช่วงเฟรชชี่เชียร์กีฬาระหว่างคณะ ตอนแรกเขาจะให้เป็นลีดฯ ของมหา'ลัย แต่รู้ไหมคะว่าลีดฯ จุฬาฯ ซ้อมหนักมาก ซ้อมเป็นเดือนๆ คือจะมีรุ่นพี่ลีดฯมาคัด จริงๆ เราไม่ได้คิดอยากเป็นลีดฯ เลย เพราะเราเรียนแพทย์ด้วย ไม่มีเวลาด้วย แล้วคิดว่าชีวิตเราอยากเป็นหมอ ไม่ได้อยากเป็นลีดฯ ก็เลยไม่เลือก
ช่วงนั้นเรื่องผิวพรรณก็ไม่ได้ดูแลนะ สิวขึ้น ผิวก็ไม่ได้ดี ยิ่งเราเรียนแพทย์ ยิ่งไม่มีเวลาดูแลตัวเอง เวลานอนเราก็น้อยอยู่แล้ว แล้วต้องออกไปรับคนไข้แต่เช้า แล้วเราเป็นลีดฯคณะ ก็เหมือนเป็นที่รู้จัก แล้วเราเริ่มโตขึ้น สิวเริ่มมา จะให้เราออกไปเยินๆ เราก็อาย ก็แต่งหน้าตอนเช้า มันมีสิว มีรอยดำ เยอะแยะ ก็ต้องปกปิด ซึ่งเราเบื่อมาก อันนี้เป็นจุดเริ่มต้น ว่าทำไมถึงสนใจเรื่องผิวหนัง”
จากหมออายุรกรรมมาเป็นหมอผิวหนัง
เธอมีความตั้งใจแรกว่าจะเป็นแพทย์อายุรกรรม เพื่อที่จะดูแล ช่วยเหลือผู้ป่วย เธอเรียนจบแพทย์ จุฬาฯ ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 และฝึกงานต่อที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ แต่ขณะที่เรียนต่อนั้นคุณพ่อของเธอเกิดเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอทิ้งความฝันการเป็นแพทย์อายุรกรรมกลับมาดูแลครอบครัว และเรียนต่อด้านแพทย์ผิวหนัง จนพบความชอบใหม่ และพัฒนาตัวเองจนประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้
“ตอนเด็กมีอุดมการณ์มาก เวลาผ่านวอร์ดต่างๆ เราก็รู้สึกว่าเราอยากเรียนอายุรกรรม ที่ต้องรู้วิชาเยอะๆ เพราะเราชอบ พอเรียนแพทย์จบแล้วก็ต้องทำงานใช้ทุน 3 ปี แต่ด้วยความที่เราเรียนดีมาตลอด ก็ไปสัมภาษณ์ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เราก็ได้เรียนต่อเลย ระหว่างที่เรียนก็ได้ฝึกงานตามคลินิก อยู่ตามโรงพยาบาล บางทีก็อยู่ไอซียู เจอเคสหนักๆ เลย
ช่วงที่เราฝึกงานที่หาดใหญ่ ก็ทราบข่าวว่าคุณพ่อเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร เราร้อนรน อยู่ไม่ได้แล้ว ก็เลยคิดว่ากลับมาดูแลครอบครัวดีกว่า เพราะว่าเรามีครอบครัวเดียว แต่เรื่องเรียนเราจะเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนั้นคุณแม่ก็มีเรื่องของความเครียด และเรื่องความเสื่อมของกระจกตา จนคุณหมอตาบอกว่า ถ้าไม่เลิกเครียดระวังตาจะบอด ตอนนั้นทั้งสองคนเลย เราก็เลยต้องกลับมาเป็นที่พึ่ง
คนไทยส่วนใหญ่ถ้าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารจะเป็นระยะหลังๆ แล้วถึงจะแสดงอาการ แล้วอยู่ได้ประมาณ 3-5 เดือนก็จะไป เราก็ตกใจ แต่โชคดีที่คุณพ่อเจอก่อนก็เพราะท่านไปส่องกล้อง ก่อนสเตจหนึ่งเลย ตอนที่เรากลับมา เราก็ช่วยได้เยอะ เราเข้าใจว่าเกิดโรคอย่างนี้ต้องดูแลยังไง แล้วเรามีคอนเนกชัน เราก็มีเพื่อนที่ดี มีอาจารย์ช่วยผ่าตัดให้ ก็ทำให้การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี”
หลังจากผ่าตัดคุณพ่อสำเร็จไปด้วยดี เธอก็ตัดสินใจเรียนต่อด้านแพทย์ผิวหนัง ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กรุงเทพฯ ซึ่งมีชื่อเสียงด้านโรคผิวหนัง และเวชศาสตร์ชะลอวัย
“ตอนแรกที่เราเรียน skin ก็ยังไม่รู้ว่าชอบหรอก เราชอบทำงานลุยๆ มากกว่า แต่พอมาเรียนปุ๊บ มันใช่เลย โดยเฉพาะคอสเมติก ได้เจอวัตถุดิบที่ดี ตัวยาที่ดี แล้วผิวเราดีขึ้นจากการใช้สกินแคร์ การทำทรีตเมนต์ที่ถูกต้อง เรารู้สึกว่าเหมาะกับเรา จริงๆ เพราะเราชอบอะไรสวยๆ งามๆ ชอบภาษา เราเป็นพวกมีศิลปะ เรามีการคิดประยุกต์ รู้ว่าอะไรคือความสวย รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คนกังวล อย่างงานฉีดฟิลเลอร์มันต้องฉีด ต้องปั้น คล้ายๆ งานศิลปะ ก็เลยรู้เลยว่านี่มันเหมาะกับเราจริงๆ แล้วเราก็ทำได้ดี”
สวยขึ้นเพราะโบท็อกซ์ฟิลเลอร์
การทำคลินิกเสริมความงามกลายมาเป็นสิ่งที่เธอรัก และมองว่าการฉีดโบท็อกซ์และฟิลเลอร์ เป็นเหมือนงานศิลปะที่ทำให้คนสวยขึ้น และทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่มีความสุขมากขึ้น และตัวเธอเองก็ไม่ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเธอสวยขึ้น เพราะเธอเองก็ฉีดโบท็อกซ์ฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มจุดบกพร่องบนใบหน้า ทำให้สวยปิ๊งมีออร่าอย่างที่เห็น
“เราชอบด้านผิวหนังอยู่แล้ว ก็มาเปิดคลินิกยาสซาชี่มาได้ประมาณ 2 ปี แล้ว เราบริหารเอง เริ่มจากมีเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนชักชวนให้เปิด เพราะเห็นว่าเรามีแนวคิดไม่เหมือนใคร เราก็คิดว่าเราทำได้ชัวร์ เราเป็นคนแอ็กทีฟ และชอบพัฒนาตัวเอง แล้วดวงเยินด้วย คนไข้เยอะอยู่แล้ว ก็เลยไม่กลัว (หัวเราะ) เราเคยไปเรียนเกี่ยวกับผิวหนังคอร์สสั้นๆ ที่ญี่ปุ่นด้วย ก็เลยมีคอนเนกชันนำเข้าตัวยาของญี่ปุ่น บวกกับเราชอบอะไรที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นอยู่แล้ว ก็เลยตั้งชื่อคลินิกว่ายาสซาชี่ แปลว่าอ่อนโยน และอยากให้การบริการเหมือนคนญี่ปุ่น จริงใจ ใจดี ดูแลต่อเนื่อง”
พอถามว่ามีคนไข้รีเควสต์หน้าแบบหมอแอร์ไหม หมอแอร์หัวเราะร่าแล้วตอบว่า “มีค่ะ อยากได้จมูกแบบหมอแอร์เลย แต่จริงๆ มันก็ไม่ได้หรอก มันขึ้นอยู่กับพื้นฐานของแต่ละคนด้วย แต่หมอทำให้ใกล้เคียงได้ แต่ทำให้เหมือนเป๊ะๆ คงไม่ได้ ฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของจมูกด้วยว่าทำได้แค่ไหน จมูกของหมอแอร์เป็นทรงพื้นฐานตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ฉีดฟิลเลอร์เพิ่มไปเติมนิดๆ แต่ที่รู้กันคือหมอแอร์ไม่ฉีดอะไรเกินเลยให้คนไข้ บางคนอยากทำอะไร ที่มันเยอะเกิน เราก็เตือน บอกไปตรงๆ ว่าอย่าฉีดเลย เขาอยากเอาโหนกลง เราบอกโหงวเฮ้งดีอยู่แล้ว เราแนะนำตรงๆ ว่าอันไหนดีไม่ดี อย่างหน้าอักเสบก็ไม่ควรเลเซอร์
หมอแอร์มองว่าผู้หญิงสมัยนี้เขาไม่ได้เสริมสวยเพื่อใครนะ เขาเสริมเพื่อตัวเอง เวลาส่องกระจกแล้วรู้สึกดี รู้สึกมั่นใจ บางทีหมอแอร์ก็เป็นนะ ทำพิลลิ่งหน้ามาแล้วหน้าลอก มันก็มีส่วนที่ทำให้อารมณ์เราไม่มั่นใจนะ พอเราทำแล้วตัวเองดีมันก็มีออร่า ที่ทำให้คนอื่นรู้สึกดีกับเรา สมัยนี้อาศัยความสามารถอย่างเดียวอาจจะไม่พอ ถ้ามีบุคลิกภายนอกที่ดูดี หน้าตาสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณผ่องใส เรียกว่าหน้าตาดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง เคสที่มาทำกับหมอแอร์ก็มีดาราวัยรุ่นมาทำเยอะ เขาก็มาฉีดนิดๆ หน่อยๆ อย่างถุงใต้ สมัยนี้อยากมีถุงใต้ตาก็มาฉีดฟิลเลอร์ หรือไม่อยากมีก็มาฉีดให้มันซอฟต์ๆ ลง ก็เป็นไปตามเทรนด์ด้วย แล้วก็เป็นไปตามที่เขาอยากได้
อย่างหมอแอร์ก็ยังทำเลย ทำนิดๆ หน่อยๆ เติมบ้าง ฉีดจมูก เติมใต้ตา มันก็เต็มขึ้นมา การฉีกโบท็อกซ์ฟิลเลอร์ มันเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงโหงวเฮ้งบนใบหน้าด้วย เราทำอะไร ถ้ามีหลักโหงวเฮ้งด้วย มันจะมีความสมดุล บาลานซ์ จะทำให้ชีวิตดีขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น จมูกผู้หญิงควรเป็นจมูกรูปตรง แล้วก็เรียบ หน้าผากแคบๆ หน่อย จะดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น เป็นความเชื่อด้วย เบางคนเขาทำแล้วเขาก็บอกว่าชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
การทำศัลยกรรมเราจะทำได้ครั้งเดียว ถ้าทำครั้งที่ 2-3 มันจะไม่ค่อยสวยแล้ว แต่โบท็อกซ์ฟิลเลอร์มันตามเทรนด์ได้ แก้โหงวเฮ้งให้กับรูปหน้าได้ ประมาณ 6-8 เดือน ก็จะสลายไป ตัวโบท็อกซ์เป็นโปรตีนที่สกัดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อชั่วคราว หลังจากหมดฤทธิ์ยาแล้วมันก็สลายไป ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ก็ไม่ได้มีอันตรายอะไร กล้ามเนื้อไม่ได้ตายอะไร กลับมาก็ขยับได้ดีเหมือนเดิม อาจจะน้อยกว่าเดิมนิดหนึ่ง อย่างอเมริกาก็ใช้มา 20-30 ปี แล้ว ยังไม่พบผลอันตราย อย่างหมอแอร์ก็ฉีดแบบทัชอัพ ใต้ตา หน้าผาก หมอฉีดนิดเดียว ไม่ฉีดเยอะ เหมือนเราป้องกันริ้วรอยก่อนที่จะเกิด เหมือนกระดาษขยำไปแล้วมันรีดเท่าไหร่ก็ไม่เรียบ แต่ถ้าเราไม่ขยำมาก มันก็เหมือนสตัฟฟ์เอาไว้ ก็อยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่ต้องทำอะไรมันมาก”
หมอแอร์แนะนำคนที่คิดอยากฉีดโบท็อกซ์ฟิลเลอร์ว่าควรฉีดให้เป็นธรรมชาติ อย่าไปฉีดเยอะ ฉีดให้หน้าเปลี่ยจากอายุ 50 เหลือ 30 ก็คงไม่ดี ที่สำคัญต้องสวยตามวัย สวยสมวัย ไม่ควรฉีดเยอะเกินไปจนถึงกับขยับหน้าไม่ได้
อีกหนึ่งบทบาทการเป็น 'อาจารย์หมอ'
แม้จะอายุเพียง 27 ปี ส่วนงานที่เธอทำนั้นก็แทบจะล้นมือ ทั้งเป็นหมอ เป็นผู้บริหารที่ต้องคอยคิดงาน และแก้ปัญหาตลอด แถมยังต้องเดินทางเพื่อไปดูงาน เข้าประชุมเกี่ยวกับเรื่องผิวหนังที่ต่างประเทศอยู่บ่อยๆ ทั้งที่งานเยอะขนาดนี้เธอยังแบ่งเวลามาสอนนักศึกษาแพทย์ของภาควิชาโรคผิวหนังที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม้ฟ้าหลวง สาขาอโศกด้วย
“ช่วงเช้าก็มีสอน skin ที่แม่ฟ้าหลวง สาขาอโศกด้วย จริงๆ ต้องสอนทุกวัน แต่เราก็แบ่งเวลาไป 3-4 วันต่อสัปดาห์ เริ่มจากอาจารย์ท่านเห็นหน่วยก้าน ก็เลยอยากให้เราเป็นอาจารย์สอนหมอผิวหนังต่อไป เหมือนเราถ่ายทอดประสบการณ์ให้ลูกศิษย์ พอจบออกไปเขาก็เก่งขึ้น อย่างเรามีข้อผิดพลาดตรงไหน เคยพลาดมาก่อนเราก็สอนเป็นช็อตคัตให้เขา หมอแอร์จะเป็นคนที่ชอบสอนแบบให้เข้าใจง่ายๆ สมมตินะ 'การฉีดกรามโบท็อกซ์ รู้ไหมว่าทำไมฉีดแล้วหน้าถึงเรียวได้ เพราะว่าโบท็อกซ์จะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว อย่างเราเคี้ยวหมากฝรั่ง เคี้ยวข้าวเยอะมันก็เหมือนเล่นกล้าม กล้ามเนื้อก็หนาขึ้น แล้วมันก็มีหนังหุ้ม แต่พอเราฉีดโบท็อกซ์มันก็คลาย หน้าก็เรียว'
หมอแอร์จะเป็นคนพูดแล้วเข้าใจง่าย ไม่ประดิดประดอย เน้นความเข้าใจ ลูกศิษย์ก็จะชอบ เรียนแล้วเข้าใจ ถามอีกทีเขาก็ตอบได้ แต่การที่เราอายุน้อย ก็ต้องมีการวางตัว เวลาสอนก็จะสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมในการสอน ว่าการทำดีแล้วเราได้สิ่งดีๆ กลับมาอย่างไร อย่างตัวเราก็เป็นแบบอย่างได้ เราอายุเท่านี้แต่เราเป็นทั้งอาจารย์ เป็นผู้บริหารได้”
ยามว่างนั่งสมาธิที่วัด
สังเกตว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างมองโลกแง่บวก และใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความสุข แม้ว่าหน้าที่รับผิดชอบจะเยอะ หรือเหนื่อยขนาดไหน เธอก็ยังยิ้มได้ เป็นเพราะไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร เธอจะนำธรรมะมาใช้เป็นทางออก มีเวลาว่างเมื่อไหร่ เธอจะใช้เวลานั้นไปนั่งสมาธิ ทำบุญที่วัด ซึ่งเธอทำอย่างนี้มานานแล้ว เหมือนเป็นการไปชาร์จแบตฯ ให้มีสติในการลุยงานต่อไป
“ทุกวันนี้หมอแอร์ก็แฮปปี้กับชีวิตนะ ถ้ามีเวลาก็จะอยู่บ้านดูทีวี นอน อ่านหนังสือ ชอบเข้าไปอ่านข่าวในเว็บผู้จัดการ ชอบอ่านบทสัมภาษณ์ หรือมาร์เกตติ้ง อ่านเพลินๆ ดี แต่ไม่ชอบเรื่องหุ้น เรื่องตัวเลขอะไรเครียดๆ แล้วก็ชอบไปนั่งสมาธิที่วัดเกือบทุกอาทิตย์ ที่วัดป่ามณีกานต์ จังหวัดนนทบุรี หมอแอร์จะมีหลวงปู่ที่เคารพมาก หลวงปู่สาคร ท่านจะบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งดีเสมอ เจอปัญหาอะไรก็ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ ให้เเราแข็งแรงขึ้น ก้าวข้ามผ่านมาได้ ทำให้เราเหนือขึ้นไปอีกระดับ
แต่ก่อนเราจะมีเรื่องของความโกรธ คือเวลาเจอใครทำอะไร เราก็จะโกรธมาก โกรธหน้าแดง หน้าร้อนผ่าวเป็นอาทิตย์ แต่พอมาเจอหลวงปู่เล่าพุทธตำนานให้ฟัง ที่โกรธๆ อยู่มันหายไปเลย พรึ่บ! เหมือนเราเอาคำสอนมาปฏิบัติมาใช้ในชีวิตจริง เราเป็นคนใจร้อน แอ็กทีฟ พูดเร็ว เวลาเราเข้าไปนั่งสมาธิ เหมือนเตือนให้เรามีสติมากขึ้น เวลาว่างก็พาคุณพ่อคุณแม่ไปด้วย ไปทำบุญ จริงๆ ชอบทางนี้ด้วย บางทีนั่งเรียนแอบอ่านหนังสือธรรมะ เราเชื่อว่าการที่เราแคล้วคลาด เกิดจากบุญที่เราได้ทำ กตัญญูต่อพ่อแม่
แต่ก่อนเราเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ เดี๋ยวนี้คิดว่ามีความสุขกับสิ่งที่ทำก็พอแล้ว เราต้องบาลานซ์ แต่ก็ทำทุกอย่างให้ดี ไม่ให้ใครมาว่าได้ ให้คนจดจำเราในแง่ดี ทุกวันนี้พอใจกับชีวิตมาก เราอายุแค่นี้ แต่ทำอะไรได้เยอะ อนาคตก็ไม่ได้คาดหวังอะไร อยากทำงานบริการคนไข้ให้ดีที่สุด และมีแพลนว่าจะไปเรียนต่ออีก เกี่ยวกับผิวหนังเพราะมันมีเรื่องใหม่ๆ ให้เรียนรู้ตลอด”
หนุ่มนิสัยดีมีสิทธิ์จองหัวใจ
ทั้งน่ารัก ทั้งใจดีแบบนี้ เชื่อว่าต้องมีหนุ่มๆ อยากมารุมขายขนมจีบ พอถามถึงเรื่องความรักหมอแอร์หัวเราะเขินๆ และบอกว่าตอนนี้ก็มีคนที่ดูๆ กันอยู่แล้ว และมองว่าความรักสำหรับเธอสิ่งสำคัญคือความเข้าใจ คอยเติมเต็มสิ่งดีๆ ให้แก่กันและกัน
“หมอแอร์ไม่เคยมีสเปกนะคะ จะชอบคนที่นิสัย ชอบคนที่อยู่ด้วยแล้วเย็นๆ อ่อนโยน ที่สำคัญต้องเข้าใจเรา ความรักสำหรับหมอแอร์ก็เหมือนมาเติมเต็มความสุขให้เรา พากันไปทำสิ่งดีๆ เราจะไม่ชอบผู้ชายโกหก ผู้ชายเจ้าชู้ เพราะเรามองว่าการคบหลายๆ คน หรือคบเผื่อเลือกมันเป็นการเสียเวลา เราเลือกที่จะคบผู้ชายที่นิสัยดีๆ ดีกว่า”
ประวัติ
ชื่อ-สกุล : พญ.นวลนภา สันติไชยกุล
ชื่อเล่น : แอร์
วันเกิด : 20 กันยายน 1983
การศึกษา : (เกียรตินิยมอันดับ1) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ฝึกงานในภาควิชาเวชศาสตร์ภายในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, วิทยาศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาตจวิทยา (ผิวหนัง วท.ม.) สาขาวิชา Anti - Aging Regenerative Medicine โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สาขากรุงเทพฯ
การทำงาน : อาจารย์แพทย์ของภาควิชาโรคผิวหนัง และ Anti - Aging Regenerative Medicine โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สาขากรุงเทพฯ, แพทย์ และผู้อำนวยการบริหารคลินิก Yasashii
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี