การชุมนุมของเหล่าคนเสื้อแดง ไม่เพียงแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่อยู่ในชุมชนที่ใกล้กับบริเวณชุมนุมเท่านั้น เพราะแม้แต่เหล่าบรรดาสัตว์ในสวนสัตว์ดุสิต (เขาดินวนา) ก็ยังต้องอพยพหนีกันจ้าละหวั่น เพราะเกรงกลัวภยันตรายอันเนื่องมาจากการชุมนุมของพระเดชพระคุณ
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา สวนสัตว์ดุสิตได้ตัดสินใจย้ายสัตว์ในสวนสัตว์ดุสิตที่มีกรงติดอยู่กับบริเวณถนนอู่ทองใน เพราะประเมินแล้วว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น จะมีผลกระทบกับสัตว์ตาดำๆ อย่างแน่นอน โดยได้เคลื่อนย้ายสัตว์จำนวน 14 ตัว ได้แก่ ช้าง 3 เชือก นกกระเรียน 2 ตัว จิงโจ้แดง 6 ตัว จิงโจ้แคระ 3 ตัว ไปไว้ที่สวนสัตว์อื่น เช่น นำช้างไปไว้ที่สวนสัตว์สงขลา และสัตว์ที่เหลืออีก 11 ตัวไปไว้ที่สวนสัตว์นครราชสีมา และจะนำสัตว์ทั้ง 14 ชีวิตกลับมา ก็ต่อเมื่อเหตุการณ์ในเมืองกรุงได้สงบลงแล้ว
เมื่อบรรดาสัตว์ต้องลี้ภัยการเมือง
ไม่เพียงแต่สัตว์ 4 ชนิด 14 ชีวิตนี้เท่านั้นที่ได้รับการคุ้มครอง แต่สัตว์อื่นๆ ในสวนสัตว์อีก 2,000 กว่าตัว ก็จะได้รับการดูแลความปลอดภัยเป็นพิเศษในช่วงนี้เช่นกัน หากแต่ไม่มีโอกาสย้ายไปตากอากาศเหมือนกับสัตว์ 14 ตัวที่กล่าวไปข้างต้น
“นอกจากสัตว์ 14 ตัว ที่เราทำการขนย้ายไปแล้ว สัตว์ที่เหลืออยู่ ก็จะได้รับการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น เราก็มีรถบรรทุกสัตว์ที่พร้อมจะขนย้ายสัตว์ทั้งหมดในสวนสัตว์ ไปยังที่ปลอดภัยได้ทันที”
อยากรู้นักว่า เมื่อบรรดาสัตว์ทั้งหลายได้ยินคำยืนยันของ กาญจน์ชัย แสนวงศ์ ผู้อำนวยการสวนสัตว์ดุสิตแห่งนี้ ที่ให้คำมั่นถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยให้สิ่งมีชีวิตในเขาดินวนาแล้ว จะรู้สึกดีใจที่ได้รับการเฝ้าระวัง หรือยังคงรู้สึกหวาดหวั่นกับสถานการณ์อันสุ่มเสี่ยง ที่อาจส่งผลกระทบกับวิถีชีวิตของพวกมัน ทั้งที่ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยเลย
แต่เมื่อการชุมนุมอันยากจะคาดเดาถึงความรุนแรงที่บานปลาย กำลังเดินทางมาเยือน เจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์แห่งนี้ ก็ต้องหาแนวทางการป้องกันที่ดีที่สุด ซึ่งมาตรการที่ผู้อำนวยการสวนสัตว์เขาดินนำมาใช้เป็นการเร่งด่วน ทั้งยังดำเนินการแล้วเสร็จภายในระยะเวลาเพียง 5 วันก็คือ การขนย้ายสัตว์ 14 ตัว ที่มีความเสี่ยงสูงสุดไปไว้ยังสถานที่ห่างไกล และมีความปลอดภัย
“สัตว์ที่เราย้ายไป มีช้าง 3 เชือก เป็นช้างพังทั้งหมด แล้วก็มีนกกระเรียนไทย 2 ตัว มีจิงโจ้แดง 6 ตัว และจิงโจ้แคระอีก 3 ตัว เหตุผลที่เราต้องย้ายสัตว์ 14 ตัวนี้ ก็เพราะว่ากรงของสัตว์เหล่านี้ อยู่ติดกับรั้วของสวนสัตว์ ด้าน ถนนอู่ทองใน ซึ่งอยู่ติดกับอาคารรัฐสภา เป็นจุดที่มีความสุ่มเสี่ยงมาก
“สำหรับช้าง 3 เชือก เราย้ายไปไว้ที่สวนสัตว์สงขลา ซึ่งปกติช้างเหล่านี้เขาก็เชื่องกับผู้ดูแลซึ่งเป็นควาญของสวนสัตว์ การขนย้ายจึงทำได้อย่างราบรื่น แต่เพื่อความปลอดภัยระหว่างการเดินทาง เราก็ขอให้ควาญช้างจากจังหวัดสุรินทร์มาช่วยดูแลระหว่างการเดินทางด้วย โดยขนใส่รถบรรทุก 10 ล้อ ไป 2 คัน ซึ่งควาญของสวนสัตว์ทั้ง 2 คนที่คุ้นเคยกับช้าง ก็จะไปอยู่กับช้างตลอดระยะเวลาที่เราฝากไว้ที่สวนสัตว์สงขลา ส่วนสัตว์อีก 11 ตัว เราย้ายไปไว้ที่สวนสัตว์นครราชสีมา เวลาที่เราทำการขนย้าย ก็คือช่วงเช้ามืด เพราะเป็นเวลาที่อากาศกำลังดี ไม่ร้อน”
คำถามที่อาจจะเกิดขึ้นในใจของหลายคนก็คือ เมื่อสัตว์เหล่านี้ต้องไปอยู่แปลกถิ่นแปลกที่ มันจะมีความสุขและปรับตัวได้ไหม
“ถ้าถามว่าสัตว์จะปรับตัวเข้ากับที่ใหม่ได้ไหม ก็ไม่มีปัญหาครับ เพราะสภาพอากาศในเมืองไทยไม่ว่าที่กรุงเทพฯ สงขลา หรือ โคราช ก็ไม่ต่างกันนัก และเราก็ติดต่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่สวนสัตว์สงขลากับโคราชทุกวัน”
ในเรื่องของการดูแลและขั้นตอนการขนย้ายสัตว์นั้น นายสัตวแพทย์สมชาย โชติอภิสิทธิ์กุล หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์และวิจัยของสวนสัตว์ดุสิต ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า
“สัตว์ทั้ง 14 ตัวที่เราส่งไปสวนสัตว์สงขลาและสวนสัตว์นครราชสีมา สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้เป็นอย่างดีครับ เพราะเราจะติดต่อสื่อสารกับสวนสัตว์ทั้งสองแห่งทุกวัน ทำให้ทราบว่า สัตว์ทุกตัวดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ กินอาหาร นอนหลับ ขับถ่ายสะดวก อย่างเจ้าจิงโจ้แดงนี่ กินเยอะมาก ซึ่งการกินอยู่หลับนอนแบบนี้ เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าเขาปรับตัวได้แล้ว เพราะเขาใช้ชีวิตปกติเหมือนกับเวลาอยู่ที่สวนสัตว์ดุสิต”
วันย้ายบ้าน
ในกระบวนการขั้นตอนการขนย้ายสัตว์ทั้ง 14 ตัวนั้น นับว่าเป็นงานช้างเลยทีเดียว (แน่นอน เพราะสัตว์ทั้ง 14 ตัวนั้น มีช้างรวมอยู่ถึง 3 เชือก) อีกทั้งยังเป็นการย้ายเร่งด่วนก่อนวันที่ 12 มีนาคมจะมาถึง แต่ทั้งหมดก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
“การขนย้ายไม่ยุ่งยากครับ โดยเฉพาะช้างทั้ง 3 เชือก เขาก็เชื่องและคุ้นเคยกับควาญช้างอยู่แล้ว การขนย้ายเราก็นำรถบรรทุก 10 ล้อ ทั้ง 2 คัน มาจอดเทียบที่กรง ให้เขาเดินขึ้นไปจากกรงเลย สัตว์ตัวอื่นๆ ก็ไม่มีปัญหาครับ เราสามารถอุ้มเขาไปใส่กรงขนย้ายได้เลย แต่สำหรับสัตว์ตัวไหนที่ตื่นเต้น ไม่คุ้นกับกรงขนย้าย เราก็ฉีดยาซึมให้ เพราะอาจเกิดอันตรายได้ ถ้าเขาวิ่งไปวิ่งมา หรือวิ่งชนกรง”
นั่นคือขั้นตอนคร่าวๆ ของงานช้างในครั้งนี้ ที่ นายสัตวแพทย์สมชาย เล่าให้ฟัง
แต่ถึงแม้สัตว์ทั้ง 14 ตัว ถูกส่งไปถึงปลายทางโดยสวัสดิภาพแล้ว สัตวแพทย์สมชาย ก็ยืนยันว่าสัตว์ทั้งหมดที่เหลืออยู่ ก็จะได้รับการใส่ใจดูแลไม่น้อยไปกว่ากัน
“เรามีการจัดเวรยาม ดูแลตลอด 24 ชั่วโมงครับ นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็จะคอยสังเกตอาการของสัตว์อย่างใกล้ชิด ว่าเขาเกิดอาการเครียดหรือเปล่า แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงครับ เพราะสัตว์ที่เหลืออยู่ มีกรงที่ห่างจากอาคารรัฐสภามาก ต่างจากสัตว์ทั้ง 14 ตัว ที่ถูกขนย้าย”
แต่ไม่ว่าอย่างไร สวนสัตว์ดุสิตก็ไม่ลืมเตรียมความพร้อม ด้วยกรงและรถที่พร้อมจะขนย้ายสัตว์ได้ทุกเมื่อหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
และเป็นที่แน่นอนว่า การชุมนุมครั้งนี้อาจจะกระทบกับรายได้ของสวนสัตว์บ้างไม่มากก็น้อย เนื่องจากตอนนี้อยู่ในช่วงปิดเทอม ซึ่งจากการประเมินนั้นมีตัวเลขออกมาว่า ทางสวนสัตว์อาจสูญเสียรายได้ไปไม่ต่ำกว่า 50% จากเดิมที่ช่วงนี้จะมีรายได้ประมาณ 7 ล้านบาท
สุดท้าย ผอ.กาญจน์ชัย ฝากทิ้งท้ายถึงการชุมนุมครั้งใหญ่นี้ว่า
“จะทำอะไร ก็อยากให้นึกถึงสัตว์ในสวนสัตว์ด้วยครับ เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”
แม้การย้ายสัตว์ในครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ในสายตาของใครหลายคน และบางคนอาจเห็นเป็นเรื่องขำๆ ด้วยซ้ำ แต่ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ ก็เป็นตัวชี้ชัดว่า ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจากม็อบป่วนเมืองนั้น มิได้สงวนสิทธิ์ไว้มอบให้กับประชาชนตาดำๆ เท่านั้น
แม้แต่สัตว์ที่อยู่ในเขาดินก็ยังโดนหางเลขไปเต็มๆ ส่วนสัตว์เลื้อยคลานประเภทต่างๆ ที่อยู่รอบๆ เขาดินไม่มีรายงานแจ้งถึงการดูแลแต่อย่างใด
……….
มารู้จักกับสัตว์ทั้ง 4 ชนิดที่ต้องย้ายหนีม็อบ
1.ช้างไทย
แตกต่างจากช้างแอฟริกาตรงที่มีหูเล็ก หัวโหนก หัวแบ่งเป็นสองพู หลังโค้งและปลายงวงมีอวัยวะคล้ายนิ้วสองอัน ว่ากันว่ามีอยู่ในธรรมชาติจริงๆ ในบ้านเราราวๆ 1,000 – 1,500 ตัวเท่านั้น (ช้างบ้านจะมีลักษณะนามเป็นเชือก) ซึ่งช้างนั้นสามารถยกของหนัก 600 ปอนด์และลากของหนัก 2,000 ปอนด์ ได้อย่างสบายๆ อีกทั้งมันยังครองตำแหน่งสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
2.นกกระเรียน
เป็นนกขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายนกกระสา ขนาดลำตัวยาวประมาณ 1.52 เมตร สูงราว 1.5 เมตร เป็นนกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีคอยาว ขายาว และจงอยปากตรงปลายเรียวแหลม ปัจจุบันนกกระเรียนไทยได้ถูกจัดให้เป็นสัตว์ป่าสงวน ตาม พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 และสวนสัตว์นครราชสีมาที่ทางสวนสัตว์นำนกกระเรียนไปอาศัยอยู่ชั่วคราวนั้น เป็นศูนย์เพาะเลี้ยงและอนุรักษ์นกกระเรียนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
3.จิงโจ้แดง
เป็นสัตว์ในกลุ่มที่มีกระเป๋าหน้าท้องที่มีขนาดตัวโตที่สุด โดยตัวผู้อาจสูงได้ถึง 1.80 เมตร มีความยาวถึงหาง 2.85 เมตร และหนักได้ถึง 90 กิโลกรัม ส่วนตัวเมียจะมีขนาดที่เล็กกว่า นอกจากนี้ พวกมันยังแพร่พันธุ์ได้เร็วอีกด้วย เนื่องจากตัวเมียจะตั้งท้องนานแค่ 33 วัน และสามารถจะผสมพันธุ์ได้อีกใน 1-2 วันหลังจากคลอดลูก ซึ่งทางสวนสัตว์นำเอาจิงโจ้แดงนี้เข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย
4.จิงโจ้แคระ
จิงโจ้แคระ หรือ Parma Wallaby เป็นจิงโจ้ขนาดเล็กมีความสูงประมาณ 40 เซนติเมตร และมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยเพียง น้ำหนักตัวเฉลี่ย 3-4 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งเมื่อแรกเข้ามาเมืองไทยใหม่ๆ เจ้าจิงโจ้แคระนี้มีราคาแพงถึงตัวละ 60,000 บาทเลยทีเดียว และก็ได้รับความนิยมจากเหล่าบรรดาคนรักสัตว์กระเป๋าหนักทั้งหลาย ซึ่งที่สวนสัตว์ดุสิตมีเจ้าจิงโจ้แคระนี้ถึง 3 ตัวเลยทีเดียว
*************
เรื่อง: ทีมข่าว Click
ภาพ: ทีมภาพ Click