หนังสือพิมพ์คือสื่อที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาเนิ่นนาน เรียกได้ว่าเป็นสื่อดึกดำบรรพ์เลยทีเดียว และภาพข่าวเหล่านั้นไม่ใช่เพียงโบราณวัตถุ แต่เป็นสิ่งที่สามารถเล่าถึงประวัติศาสตร์ได้อย่างน่าทึ่งทั้งต่อคนไทยและชาวต่างชาติที่มีโอกาสได้สัมผัส
มร. นิโคลัส กรอสแมน บรรณาธิการ ‘Chronicle of Thailand’ ชาวต่างชาติผู้รวบรวมภาพข่าวเก่าหายากในยุคสมัยต่างๆ ของไทย มองว่าช่างภาพหนังสือพิมพ์ถือเป็นประจักษ์พยานของประวัติศาสตร์ เพราะพวกเขาบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้และเข้าใจ ถึงแม้ว่างานจะทำให้พวกเขาจะต้องตกอยู่ในอันตราย เป็นประจักษ์พยานของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเพื่อให้คนไทยได้จดจำและรำลึกถึง
เมื่อกาลเวลาล่วงเลยก็ทำให้เห็นแล้วว่า ภาพข่าวเหล่านั้นนอกจากสามารถเล่าเรื่องราว เหตุการณ์สำคัญในอดีตแล้ว ภาพถ่ายยังสามารถเปลี่ยนความคิดเห็นของคน ช่วยทำให้คนตื่นตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นและสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายของรัฐบาลได้อีกด้วย
“ผมคิดว่าภาพถ่ายมีความสำคัญอย่างมาก ภาพถ่ายทำให้คนรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความสุขจากเหตุการณ์สำคัญๆ ภาพยังทำให้คนหวนคิดถึงอดีต ยกตัวอย่างเช่น ใน Chronicle of Thailand คุณจะเห็นภาพถนนสาทรสมัยที่ยังมีต้นไม้มากมาย ภาพกรุงเทพฯ ในสมัยที่ยังมีรถสามล้อถีบเต็มเมือง ไม่มีสะพานลอย หรือสะพานข้ามแยกมากเหมือนสมัยนี้และไม่มีตึกสูงเหมือนสมัยนี้ ภาพเหล่านี้ทำให้คุณเข้าใจว่าประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดภายในช่วง 64 ปีที่ผ่านมา”
ในช่วงปี 1946 นั้นหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยแทบจะไม่มีภาพถ่ายเลย ถ้ามีก็เป็นภาพคนสำคัญๆ เท่านั้น เช่น นายกรัฐมนตรีหรือภาพเหตุการณ์จากต่างประเทศ หากได้ลองศึกษาภาพข่าวตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ก็จะเห็นพัฒนาการของภาพถ่ายหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย ในแต่ละปีที่ผ่านไป จะเริ่มเห็นภาพต่างๆ มากขึ้น จากภาพขาวดำเป็นภาพสี จนทุกวันนี้ การถ่ายภาพพัฒนาไปมาก จนมีภาพของเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ทำให้สามารถอ้างอิงข้อเท็จจริงจากภาพถ่ายได้ดีพอๆ กับเนื้อข่าวที่เขียน
นอกจากนี้ มร. นิโคลัส ยังบอกด้วยว่าภาพข่าวจะต้องแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเสนอในแง่ลบหรือแง่บวก จะต้องสามารถถ่ายทอดความรู้สึกหรือบอกเล่าเรื่องราว คือสิ่งที่ทำให้ภาพนั้นๆ มีค่าในแง่ของข่าว เพราะฉะนั้น ภาพข่าวมักจะถ่ายทอดความรู้สึก เช่น ความทุกข์ ความสิ้นหวัง ความโกรธ ความรุนแรง
แต่มีภาพหลายภาพในหนังสือที่แสดงบรรยากาศการเฉลิมฉลอง ความสนุกสนานและความสำเร็จ คุณจะเห็นทุกด้านภาพข่าวอย่างชัยชนะของนักกีฬาไทยที่ชนะเหรียญทองจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และการเฉลิมฉลองในโอกาสมหามงคลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งความโศกเศร้าของผู้สูญเสียในเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิในปี พ.ศ. 2547อีกทั้งยังแสดงให้เห็นสไตล์หรือแฟชั่นสมัยก่อนด้วย
มีบางคนพูดว่า "ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเดิม" แต่ มร. นิโคลัส กลับไม่คิดว่าคำพูดนี้ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะมาร์ค ทเวน เคยกล่าวว่า "ประวัติศาสตร์สัมพันธ์กันแต่ไม่ซ้ำรอยเดิม" จึงคิดว่าคำพูดนี้ถูกต้องกว่า เป็นความจริงที่ ในประเทศไทย มีเหตุการณ์ในปัจจุบันบางเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับในอดีต เช่นเดียวกับในหลายๆ ประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยต่างพยายามแก้ไขปัญหาที่คล้ายคลึงกันมาตั้งแต่ปี 1946 ไม่ว่าจะเป็น การคอร์รัปชั่น ปัญหาความยากจนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัญหาโสเภณี หรือแม้แต่สุนัขจรจัด เห็นได้ชัดว่าบางปัญหายากที่จะแก้ไข แต่ไม่ได้หมายความว่า ประเทศไม่มีการพัฒนา ประเทศไทยได้พัฒนาไปอย่างมากตลอดช่วง 64 ปีที่ผ่านมา
มร. นิโคลัส ยังได้กล่าวถึง หนึ่งในดวงใจของคนไทยทั้งชาติ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชกรณียกิจของพระองค์นั่นเอง
“ถ้าลองดูภาพเหตุการณ์ต่างๆ จะทำให้เข้าใจประเทศไทยดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การเข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของไทย หลังจากปี 1960 พระองค์ท่านเสด็จฯเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศอย่างเป็นทางการ ซึ่งทำให้เกิดภาพข่าวมากมาย”
นอกจากนี้ พระองค์ยังได้เปิดประเทศไทยสู่สายตาของประชาคมโลกและทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ พระองค์ยังทรงมีบทบาทในเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศ รวมทั้งการพัฒนาประเทศ ขณะเดียวกัน ก็จะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของวัฒนธรรมไทยผ่านภาพและโฆษณาต่างๆ ในอดีต
อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรีชาสามารถโดดเด่นในหลายๆ ด้าน จนสื่อมวลชนจับเป็นประเด็นในการรายงานข่าวมากมายตลอด 64 ปีที่ผ่านมา มีข่าวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระองค์ในช่วงต่างๆ กว่า 100 ชิ้น นับตั้งแต่สมัยที่ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ จนปัจจุบัน จะเห็นแนวพระราชดำริและโครงการต่างๆ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
พระปรีชาสามารถด้านการกีฬาจากการทรงเรือใบข้ามอ่าวไทยตามลำพังส่วนพระองค์ การเสด็จฯเจริญสันถวไมตรีกับต่างประเทศ การแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง หลายหน่วยงานและองค์กรทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายประกาศนียบัตรและเหรียญตรายกย่องพระเกียรติคุณ รวมทั้งข่าวพิธีมหามงคลเพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมาย
“เราได้เห็นว่า พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ทรงมีส่วนร่วมในการทำให้พระปณิธานที่ทรงให้ไว้เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นความจริง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นตัวอย่างและที่ยึดเหนี่ยวของปวงชนทั้งในเวลาสุขและทุกข์”
...ขอพระองค์ทรงพระเจริญ...
ขอบคุณภาพจาก หนังสือ ‘Chronicle of Thailand’