xs
xsm
sm
md
lg

สมัคร สุนทรเวช การจากไปของ ‘ขวาอมตะ’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


08.48 น. ของวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของไทย สมัคร สุนทรเวช ก็จากไปอย่างสงบด้วยโรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ รวมอายุ 74 ปี


1.

สมัคร สุนทรเวช ถือเป็นนักการเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีฝีปากฉะฉาน และมีเส้นทางชีวิตที่มีสีสัน

เขาเป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 6 คนของ เสวกเอก พระยาบำรุงราชบริพาร (เสมียน สุนทรเวช) กับ คุณหญิงบำรุงราชบริพาร (อำพัน จิตรกร) ทั้งยังเป็นหลานลุงของ มหาเสวกตรี พระยาแพทย์พงศาวิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช) นายแพทย์ประจำรัชกาลที่ 6 และเป็นหลานตาของ มหาเสวกตรี พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) จิตรกรประจำสำนัก

จึงอาจถือได้ว่าเขาก็มีเชื้อสายอำมาตย์คนหนึ่ง

เขาเข้าสู่เส้นทางการเมืองในนามพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2511 แต่กว่าจะได้ลงชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ล่วงเข้าปี 2518

ไม่ว่าใครจะรัก จะเกลียด แต่คงต้องยอมรับเรื่องหนึ่งที่ว่า สมัคร สุนทรเวช เป็นนักการเมืองที่มีจุดยืนชัดเจนในตัวเอง ผู้ประกาศตัวเป็นฝ่ายขวามาตลอดทั้งชีวิต และไม่เคยประนีประนอมใดๆ

ปี 2519 เมื่อจอมพลถนอม กิตติขจร พยายามกลับเข้าประเทศในฐานะเณร จนทำให้เกิดการต่อต้านในหมู่นักศึกษา เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย เมื่อสมัคร สุนทรเวช กล่าวหาว่ากลุ่มนักศึกษาแสดงละครหมิ่นสถาบัน จนทำให้เกิดกระแสความเกลียดชังและกล่าวหาว่าขบวนการนักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์ที่ต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ เป็นเหตุให้กลุ่มจัดตั้งฝ่ายขวาต่างๆ ออกมาแสดงจุดยืน และในที่สุด ก็นำไปสู่เหตุการณ์โศกนาฏกรรม 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งนักศึกษาในยุคนั้นหลายคน ยังคงโลดแล่นในฐานะนักการเมืองจนถึงทุกวันนี้ เช่น จาตุรนต์ ฉายแสง, สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นต้น

และกลายเป็นภาพประทับติดตัวสมัคร สุนทรเวช มาตั้งแต่นั้น เพราะเมื่อพูดถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จะต้องมีเขาปรากฏอยู่ด้วยเสมอ

2.

ด้วยความที่เป็นนักการเมืองฝีปากกล้า ท้าชน ทำให้เขาก่อคดีและสร้างความขัดแย้งไว้มากมาย ไม่เว้นกระทั่งสื่อมวลชน และสามารถไต่เต้าขึ้นมาจากนักการเมืองธรรมดาๆ ขึ้นสู่การเป็นหัวหน้าพรรคประชากรไทย ซึ่งในยุคหนึ่ง เป็นพรรคที่ครองใจคนกรุงเทพฯ สามารถกวาดที่นั่ง ส.ส. ในกรุงเทพฯ ชนิดถล่มทลาย

แนวคิดทางการเมืองข้อหนึ่งของที่คนชื่อสมัคร สุนทรเวช ยึดถือคือ ‘การเมืองต้องมีมิตรแท้ และศัตรูถาวร’ ซึ่งมองได้ 2 ทาง-เป็นความไร้เดียงสาทางการเมือง หรืออาจจะมองได้ว่ามันคือความชัดเจนของนักการเมืองคนหนึ่ง ที่หาไม่ได้ง่ายนักท่ามกลางความตลบตะแลง

สมัคร สุนทรเวช เคยดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ทางการเมืองหลายตำแหน่ง ปี 2518 ปีแรกที่เขาได้รับเลือกเป็น ส.ส. เขาก็ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ทหารทำการรัฐประหาร และมี ธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเขาได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เคยดำรงตำแหน่งรองนายกฯ ในยุครัฐบาลของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร, บรรหาร ศิลปะอาชา และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนั่นก็ทำให้ใครๆ คิดว่าน่าจะเป็นตำแหน่งสูงสุดในชีวิตการเมืองเขาแล้ว

ปี 2543 สมัคร สุนทรเวช ผันตัวเองจากการเมืองระดับชาติสู่เวทีท้องถิ่น ด้วยการสมัครเป็นพ่อเมืองกรุงเทพฯ และเขาก็ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 1,016,096 คะแนน จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีใครทำลายสถิตินี้ลงได้ แม้ว่าผลงานจะไม่เป็นที่ประทับใจคนกรุงเทพฯ สักเท่าไร

หลังจากหมดวาระพ่อเมืองกรุงเทพฯ เขาไม่ได้ลงสมัครอีกครั้ง แต่เปลี่ยนเส้นทางไปสมัครสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพฯ และเขาก็ได้รับเลือกเข้ามาอีกด้วยคะแนนสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจาก ร.ต.อ.นิติภูมิ นวรัตน์ แต่ก็เกิดเหตุรัฐประหาร 19 กันยายน ขึ้นเสียก่อน จึงทำให้ฝันที่จะเป็นสมาชิกวุฒิสภาของเขาไม่เป็นจริง

3.

ใครๆ ต่างก็คิดว่าตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาที่สมัคร สุนทรเวชได้รับเลือก แต่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งจริงๆ น่าจะเป็นตำแหน่งสุดท้ายในชีวิตทางการเมืองของเขา

แต่ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา ก็พลิกผันให้นักการเมืองผู้ชอบเลี้ยงแมวอย่างเขากลายเป็นแมวเก้าชีวิตที่ไม่มีวันตาย (ทางการเมือง) เมื่อถูกชักชวนจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทาบทามให้นั่งตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และเมื่อพรรคพลังประชาชนได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด

สมัคร สุนทรเวช จึงขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองของประเทศไทย เขาคือนายกรัฐมนตรีคนที่ 25

แม้ว่าในพรรคพลังประชาชนขณะนั้น จะมีอดีตนักศึกษาเดือนตุลาคม 2519 เป็นส่วนหนึ่งของพรรค แต่เรื่องของผลประโยชน์ทางการเมืองไม่เคยเข้าใครออกใคร และมันพร้อมจะทำให้อุดมการณ์เขวได้เสมอ

ช่วงที่สมัครอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ลวดลายของผู้เฒ่าการเมืองคนนี้ก็ไม่ได้แก่เฒ่าไปตามวัย ถึงเขาจะเป็นนายกฯ ขาลอยที่ไม่ได้มีฐานเสียงใดๆ กระนั้น เขาก็สามารถจัดดุลอำนาจได้ลงตัว สร้างความสนิทสนมกับกองทัพ และจัดการเรื่องราวในพรรคพลังประชาชนได้ค่อนข้างราบคาบผ่านกลุ่มคนที่ถูกขนานนามจากสื่อในตอนนั้นว่า แก๊งออฟโฟร์ หรือ แก๊งสี่คน ซึ่งประกอบด้วย เนวิน ชิดชอบ, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี, ธีรพล นพรัมภา และตัวเขาเอง

ขณะเดียวกัน สมัคร สุนทรเวช น่าจะเป็นนายกฯ ที่มีเรื่องทะเลาะกับสื่อมากและบ่อยที่สุด เรียกว่าไม่เคยเกรงกลัวปากกาสื่อ และพร้อมปะ ฉะ ดะ ได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะวาทะอมตะที่ยังถูกจดจำ เมื่อเขาถามนักข่าวสำนักหนึ่งว่า

“เมื่อคืนคุณเสพเมถุนกับใคร”

อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขาก็จบลงเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าการที่เขาเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์ให้แก่รายการ ‘ชิมไปบ่นไป’ ถือเป็นการผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ประกอบมาตรา 182 (7) และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชนอย่างไม่เป็นทางการและยุติบทบาททางการเมือง

ก่อนจะมีข่าวออกมาภายหลังว่าเขาเป็นมะเร็ง

4.

ความเป็น ‘สมัคร’ ไม่ได้หยุดเพียงการเป็นนักการเมืองที่ก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศ
แต่ในอีกหลายด้านของชีวิต เขายังมีความสามารถในการทำอาหารแบบที่คนทั้งประเทศคงได้รับรู้กันดีอยู่แล้ว

‘นักเขียน’ และ ‘นักหนังสือพิมพ์’ ก็เป็นอีกบทบาทหนึ่งที่เขาเคยสวม ในฐานะเจ้าของหนังสือพิมพ์เดลิมิเรอร์ หนังสือพิมพ์ฝ่ายขวาตามจุดยืนของเขา ด้านงานเขียน เขามีผลงานออกมาหลายเล่ม เล่มที่ยังคงถูกกล่าวขานอยู่ถึงปัจจุบันคงหนีไม่พ้นเรื่อง ‘สันดานหนังสือพิมพ์’ ‘การเมืองเรื่องตัณหา’

วันนี้ เขาจากไปแล้ว มันน่าจะเป็นบทเรียนอย่างดีสำหรับนักการเมืองที่ยังคงหมกมุ่นในอำนาจ โดยหลงลืมไปว่าสุดท้ายของชีวิตคือความตาย

กล่าวแบบไม่ต้องโกหกพกลม สมัคร สุนทรเวช คือนักการเมืองที่มีทั้งคนรักและคนชัง และเราเชื่อว่าหลายคนจะคิดถึงเขา ไม่ว่าจะในแง่มุมใด ต้องยอมรับว่าเส้นทางชีวิตเขาเปี่ยมด้วยสีสันและชวนศึกษา

อย่างน้อยที่สุด ไม่ว่าคนอย่างสมัคร สุนทรเวช จะดี จะชั่ว ในสายตาใคร ความเป็นสมัคร สุนทรเวช ก็เป็นสิ่งที่ชัดเจนตลอดมา ขวาคือขวา ไม่ดัดจริต คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น

...ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากขึ้นทุกวี่วันในการเมืองไทยปัจจุบัน

*******************************

ปาก...สมัคร

สมัคร สุนทรเวช ในช่วงที่มารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชนและได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของไทย ต้องถือว่าเป็นอีกช่วงชีวิตหนึ่งที่เขาทิ้งถ้อยคำอันดุเดือดตามประสาคนชื่อ ‘สมัคร’ ไว้มากมาย

เริ่มจากวิวาทะที่สั่นสะเทือนแวดวงการเมืองเมื่อสองปีก่อน เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช ที่เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนในขณะนั้น ย้อนถามสื่อมวลชนด้วยประโยคแห่งปีที่ว่า

"เมื่อคืนคุณไปร่วมเมถุนกับใครหรือไม่"

เหตุเพราะไม่พอใจที่ถูกนักข่าวจี้ถามเรื่องที่เนวิน ชิดชอบ และ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปแล้ว แต่กลับเข้าร่วมประชุมพิจารณา ส.ส.ระบบสัดส่วนของพรรค

นี่มิใช่ครั้งแรก ที่นายสมัครเคยแสดง (วิ) วาทกรรมกับสื่อ ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เขาเคยกล่าววาจาที่เป็นที่จดจำของนักข่าวและประชาชนหลายต่อหลายครั้ง อาทิ "เป็นสันดานโทรทัศน์ เลวทราม ต่ำช้า ให้มันรู้ไป ถ้าออกไปแล้วคนจะไม่เลือก นี่แหละผม รู้จักนิสัยนายสมัครแท้ๆ จะต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ดัดจริต พูดปากตรงกับใจ แล้วสื่อเป็นอย่างไร เป็นพ่อคนทั้งเมืองหรือไง"

เมื่อคราวที่ถูกพาดพิงระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งหนึ่ง สมัครเคยถูกนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามระบุว่า เป็นต้นตำรับการแสดงเอกสารเท็จในสภาผู้แทนราษฎร เขาได้ออกมาตอบโต้ว่า

"คนอย่างนายสมัคร ไม่ใช่คนที่เป็นแบบไม้ฉำฉา แต่เป็นไม้สักซึ่งทนทาน"

ในการอภิปรายครั้งนั้น สมัครยังกล่าวอีกว่า นพ.เหลง ศรีจันทร์ ซึ่งเป็นหมอนักการเมืองและหนึ่งในคณะที่เปลี่ยนเปลี่ยนการปกครอง พ.ศ.2475 เป็นผู้ทำคลอดตน และตนคลอดโดยเอาเท้าออกก่อน อยากถามว่าผิดตรงไหน ตนสร้างบ้านให้พ่อแม่อยู่ได้ ตนเป็นคนมีชื่อเสียงในวงศ์ตระกูลและนำชื่อเสียงมาสู่ตระกูล

ส่วนข้อครหาที่ว่า เขาอยากเป็นนายกรัฐมนตรีจนตัวสั่นนั้น สมัครโต้ว่า
"เรื่องที่บอกว่าผมอยากเป็นนายกฯ ผมขอบอกว่าอะไรที่อยากจะไม่ได้เป็น คนที่ไม่ได้อยาก จะได้มาเป็น"

แต่ที่ฮือฮาที่สุด คงจะเป็นเมื่อครั้งที่อดีตนายกฯ คนที่ 25 ผู้นี้ กล้าลั่นสาบานกลางที่ประชุมสภาฯ ว่าไม่ได้เป็นผู้สั่งการปิดหนังสือพิมพ์ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ที่เขาให้สัมภาษณ์ว่ามีคนเสียชีวิตเพียง 1 คน โดยยืนยันหนักแน่นว่า

“ถ้าผมเป็นคนเลวมาไม่ได้ไกลขนาดนี้หรอก ถ้าผมเป็นคนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ คงไม่ได้รับการสนับสนุนให้เดินหน้ามาถึงป่านนี้หรอก”
..........

สมัคร ‘ปากเป็นเอก’ (วิ)วาทกรรมสังคมสะดุ้ง

สมัคร สุนทรเวช ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่สามารถตีฝีปากอย่างคมกล้าไม่แพ้ใครในสภาผู้หนึ่ง ลองมาดูสิว่า (วิ) วาทะของสมัคร สุนทรเวช ที่เคยกล่าวออกมาในขณะที่มีชีวิตอยู่นั้น จะมันถึงอกถึงใจขนาดไหน (ส่วนนี้ผู้ปกครองควรพิจารณา)

- "รัฐธรรมนูญเฮงซวย"
- "เมื่อคืนไปร่วมเมถุนกับใครหรือไม่"
- "ถามทำหอกอะไร ?"
- “โธ่ไอ้บ้า คิดมาได้อย่างไร ตอนนี้สื่อก็มากล่าวหาผม ไอ้พวกสื่อสารมวลชนใจทรามต่ำช้า พวกมึงบ้าหรือเปล่าที่มากล่าวหาผมว่าพูดคำว่า เสพเมถุน"
- “นี่สำนวนสมัคร ถามเลยว่าถ้าขายวันจันทร์จะมีใครตายไหม”
- “ผมว่าใครแรงๆ แสดงอาการไม่เข้าท่า ผมบอกไอ้นี่มันสมองเท่าหัวแม่เท้า”
- "ถามแบบนี้แล้วรู้หรือไม่ว่า พรุ่งนี้ฝนตกหรือแดดออก"
- "คำถามนี้ผมไม่ใช่หมอดู ไม่ใช่กรมอุตุนิยมวิทยาที่จะมาตอบในสิ่งที่ถามล่วงหน้า"
- “ถามอะไรโง่ๆ แบบนี้ เป็นคำถามโง่เง่าที่สุดที่เคยได้ยินมา"
- "พวกคุณเขียนกันเองน่ะสิ หนังสือพิมพ์ไปเขียนนั่งเก้าอี้ซ้อนกัน มันเป็นความคิดของคนระดับพวกคุณเท่านั้นแหละ ขอย้ำเลยนะ เพราะพวกคุณคิดกันอย่างนั้น ต้องกระแทกแดกดัน พูดจาเสียดสี ให้เสียให้หาย ทำไมคิดกันได้แค่นั้นเอง ความคิดมีอยู่ระดับแค่นั้นหรือ ทำไมไม่คิดอย่างคนธรรมดาเขาควรคิดบ้างล่ะ"
- "ที่ด่ามานั้นน่าอายสำหรับวงการสื่อสารมวลชนทั้งหมด ว่านี่หรือสื่อสารมวลชน สติปัญญาเพียงเท่านี้หรือ ด่าเขาโดยยังไม่มีเหตุผล ด่าตั้งแต่ยังไม่ทำงาน"
- "ผมไม่มีหน้าที่ต้องมาแถลง พวกที่ถามอย่างนี้มีใครไหว้วานมาหรือไม่ ผมจะไม่ตอบ"
- “ตอนนั้นคุณอายุเท่าไหร่...อายุเท่าไหร่...คุณเกิดหรือยัง?”
- "ผู้หญิงอย่างคุณ เดินทางมาแสนไกล เพื่อมาถามคำถามแบบนี้เนี่ยนะ แม้แต่คนไทย ยังไม่กล้าถามคำถามแบบนี้กับผมเลย"


แต่มาวันนี้ ขวาตลอดกาลอย่าง คุณสมัคร ก็ได้จากไปอย่างสงบแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับสื่อมวลชนตลอดมา แต่สุดท้ายแล้วก็คงต้องอโหสิกรรมให้กันและกัน และที่สำคัญ สื่อมวลชนทุกคนคงต้องคิดถึงคุณสมัครอย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยก็เป็นนักการเมืองที่มีจุดยืนและพูดจาอย่างตรงไปตรงมามากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

……….
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK



กำลังโหลดความคิดเห็น