xs
xsm
sm
md
lg

‘ไสยศาสตร์ ON TV’ ปรากฏการณ์สั่นไหวของคนไทยจิตอ่อน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คนเห็นผี-สแกนกรรม-ระลึกชาติ-ใบ้หวย-เข้าทรง…
ที่ไล่เรียงมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สำนักหมอดูทางในที่ไหน หากแต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับแวดวงทีวีไทย เมื่อรายการต่างๆ พร้อมใจกันนำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ในเวลาติดๆ กัน


คำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย? ในขณะที่ประเทศต่างๆ พยายามพัฒนาก้าวไปข้างหน้า แต่วงการโทรทัศน์ไทยกลับก้าวถอยหลังด้วยการนำเสนอเรื่องราวเหนือธรรมชาติแบบประโคมโหมกระหน่ำ ตั้งแต่รายการวาไรตี้ ทอล์คโชว์ ไปจนถึงแม้แต่รายการข่าวก็ยังไม่วายเกาะกระแสไปด้วย

หรือว่า ทุกวันนี้ไม่มีข่าวดีๆ ให้เสพ จนคนไทยต้องหันหน้าไปพึ่งเรื่องราวที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้นี้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแทน…


มันมากับความเครียด

“การหยิบยกเรื่องไสยศาสตร์หรือผีสางเทวดา สำหรับสื่อเมืองไทย ถือเป็นเรื่องปกติมาก และมีนำเสนอเรื่องแบบนี้ มาทุกยุคทุกสมัยแล้ว เพราะสื่อเมืองไทยชอบประเมินคุณค่าข่าว พยายามหยิบคุณสมบัติความน่าสนใจ โดยเฉพาะความแปลก ความไม่ธรรมดา มานำเสนอ เพื่อให้ผู้ชมหันมาดูมากที่สุด”

อาจารย์มานพ แย้มอุทัย จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงปรากฏการณ์ที่รายการโทรทัศน์มักหยิบยกเรื่องราวเกี่ยวกับไสยศาสตร์มานำเสนอทางหน้าจอ

นอกจากนี้ องค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เรื่องพวกนี้สามารถเจริญเติบโตได้มากก็คือ สังคมเมืองไทยนั้นส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา และในส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนา ก็มีการพูดถึงเดรัจฉานวิชชารวมอยู่ด้วย

“หลักการของพระพุทธศาสนามีการแบ่งคนออกเป็น 4 ประเภท นั้นก็คือบัวเหนือน้ำ บัวปริ่มน้ำ บัวกลางน้ำ และบัวใต้น้ำ ซึ่งไอ้บัวกลางน้ำ โอกาสที่จะขึ้นมาได้ก็ต้องมีการอธิบาย ซึ่งการอธิบายที่ดีก็ต้องมีกุศโลบาย คล้ายๆ กับการหลอกว่ามีเปรต มีผีอะไร แล้วก็มีการนำเรื่องอภินิหารปาฏิหาริย์เข้ามา เพื่อที่จะทำให้คนพวกนี้มีโอกาสที่พ้นน้ำได้ เพราะอย่างที่ทราบ การอธิบายแบบบโต้งๆ ก็อาจจะยากเกินไปที่ชักจูงพวกเขาเข้าใจหรือสนใจได้

“และเมื่อเกิดการสมมติเอาในพระพุทธศาสนา สิ่งที่ตามมาก็คือ การเกิดกลุ่มคนที่ชอบอ้างเอาเรื่องพวกนี้มาหาผลประโยชน์ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ชอบ พออกพอใจ เพราะว่าจิตใจของมนุษย์เรามักชอบในเรื่องที่เข้าข้างตัวเองมากกว่าไว้ก่อนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่เจอผีหรือเจออะไร ก็ชอบคิดว่าตัวเองนั้นใช่ ตัวเองถูกต้อง หรือเวลาที่เห็นอภินิหารอะไร ก็เชื่อว่ามันเป็นจริง ทั้งที่ จริงๆ แล้วมันคือจิตไม่ใช่ของจริงซะหน่อย

“จากตรงนี้เอง สื่อในเมืองไทยก็เลยเอาจุดนี้ไปใช้กับในสังคม แม้ในพระพุทธศาสนาเองก็มีคำสอนอยู่ว่าอย่าไปเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่พวกเดรัจฉานวิชาก็ยังพยายามจะใช้ตรงนี้ขึ้นมา ซึ่งมันก็ไปสอดคล้องต้องกันกับสื่อพอดี”

ไม่แค่นั้น ทุกวันนี้สื่อจำนวนมากมักสนใจแต่เรื่องธุรกิจและการสร้างกำไรสูงสุดให้แก่ตัวเอง จึงทำให้การนำเสนอรายการเป็นไปอย่างไม่รับผิดชอบ แล้วยิ่งเมื่อสังคมกำลังอยู่ในภาวะวุ่นวาย ผู้คนในสังคมมีจิตไม่ปกติ มีความเครียด ความไม่สบายใจ สื่อก็มักจะหยิบฉวยโอกาสตรงนี้เพื่อสร้างกระแสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรายการเรื่องแปลก เรื่องผี

“เราสังเกตได้เลยว่า เวลาที่คนมีความเครียด เศรษฐกิจแย่ ประชาชนหาที่พึ่งไม่ได้ รายการพวกนี้ก็จะออกมาเยอะแยะ มันเป็นธรรมดาของสื่อในไทย ที่ต้องผลิตอะไรแบบนี้ วนเวียนอย่างนี้ หนีไม่รอดหรอก ตราบใดที่สื่อยังคิดเพียงแค่ถ่าย หรือใส่ใจแค่การลงทุน หรือกำไรสูงสุดเท่านั้น

“ทุกวันนี้ ผมคิดว่าสื่อต้องมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ สื่อไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยว หรือข้าวแกงกินเสร็จแล้ว เลิกรากันไป อร่อยก็กินไม่อร่อยก็ไม่กิน แต่สื่อต้องมีความรับผิดชอบ ไม่อย่างนั้นสื่อก็ทำอะไรมาก็ได้ แค่ถ่ายเสร็จก็ขายได้ แม้ว่าสิ่งที่คุณทำจะเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งก็ตาม”

บันเทิงหรือมอมเมา

“พื้นฐานของคนไทยชอบเรื่องทำนองนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าตั้งแต่ยุคสมัยไหนเป็นต้นมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้คนไทยก็ยังมีความเชื่อแบบนี้ คือหมายถึงว่าไม่ใช่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าชอบที่จะเสพเรื่องทำนองนี้ เพราะฉะนั้น ในแง่การนำเสนอเพื่อต้องการที่จะเพิ่มเรตติ้งหรือว่าเพื่อให้คนหันมาดูรายการเยอะๆ อันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สื่อหันมาเล่น”

อกนิษฐ์ มาโนษยวงศ์ โปรดิวเซอร์ ‘รายการเรื่องจริงผ่านจอ’ ตั้งข้อสังเกตถึงสาเหตุที่มีกระแสการนำเสนอไสยศาสตร์ทางรายการทีวีบ่อยครั้งขึ้นในระยะหลัง

“ไม่ใช่แค่รายการทีวีอย่างเดียว แม้กระทั่งสื่อหนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็ยังเล่นเรื่องราวเหล่านี้เหมือนกัน ถ้าสังเกตดูดีๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาหวยออกนี่ ทุกวันที่ 15 ก่อนวันที่ 16 หรือว่าประมาณปลายเดือนจะต้องมีเรื่องทำนองนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นวัวสองขาหรือนกแสกอะไรทำนองนี้ ให้คนเอาไปตีหวย อันนี้เป็นข้อสังเกตของผม ที่มองว่าส่วนหนึ่งโดยพื้นฐานของคนไทยชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว”

ในส่วนของรายการเรื่องจริงผ่านจอนั้น รูปแบบรายการจะเป็นสารคดีเชิงข่าว นำเสนอความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งในปัจจุบันมีการนำเสนอเรื่องราวทำนองนี้ออกมาทางสื่ออื่นๆ ค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเชื่อ หรือความงมงายทางไสยศาสตร์ต่างๆ อกนิษฐ์ชี้แจงว่า ทางรายการจึงต้องทำหน้าที่นำเสนอในฐานะที่เป็นสื่อหนึ่ง เพื่อสะท้อนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม

“แต่รูปแบบรายการเรื่องจริงผ่านจอจะสอดแทรกและหาคำตอบว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ที่มาที่ไปมันคืออะไร แล้วเราสามารถอธิบายได้ในเชิงของทางวิทยาศาสตร์ หรือสามารถหาคำตอบได้ไหมว่า สิ่งลี้ลับเรื่องเหลือเชื่อ หรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติต่างๆ เหล่านี้ มันสามารถอธิบายได้โดยหลักการทางวิชาการ เพื่อให้คนที่ดูรายการเข้าใจ เข้าถึง และก็มีข้อมูลเพียงพอที่จะตัดสินใจได้ว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นจริง หรือว่ามันควรจะเป็นเรื่องหลอก ควรจะเชื่อต่อไปหรือไม่”

ซึ่งเขาอธิบายว่ารายการเรื่องจริงผ่านจอนั้น มีการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับไสยศาสตร์เพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อหารายการทั้งหมด

“คือรายการเรื่องจริงผ่านจอทำงานขึ้นอยู่กับพื้นฐานกระแสของข่าวที่เกิดขึ้นรายวัน เราไม่สามารถจะบอกได้ว่าสัปดาห์นี้จะทำเรื่องของไสยศาสตร์ แต่มันอยู่ที่ว่ากระแส ณ ตอนนี้มันไปในทิศทางไหน แล้วจะอธิบายเรื่องอะไรมากกว่า ซึ่งก็ไม่จำเป็นจะต้องนำเสนอไสยศาสตร์ทุกสัปดาห์ หรือว่าเทปนี้อาจจะไม่มีเรื่องไสยศาสตร์เลยก็ได้ แล้วแต่”

ต่อคำถามที่ว่า ‘เรตติ้ง’ หรือสปอนเซอร์โฆษณามีผลต่อการตัดสินใจเลือกประเด็นไสยศาสตร์มานำเสนอหรือไม่ อกนิษฐ์ตอบว่า

“เรื่องโฆษณาเป็นคนละส่วนกัน จริงๆ แล้วเรื่องเรตติ้งหรือโฆษณามันแทบจะแยกส่วนกัน เพราะว่าสปอนเซอร์แต่ละรายที่เลือกซื้อรายการก็จะดูจากคุณภาพ ดูจากรูปแบบรายการ แล้วก็ดูจากกลุ่มเป้าหมายที่แต่ละรายการนำเสนอ ส่วนเรื่องเรตติ้งสิ่งลี้ลับพวกนี้มันเป็นสีสันของรายการมากกว่า”

เมื่อรายการมีสีสันเป็นที่กล่าวขวัญถึงแล้ว แน่นอนว่าถึงเวลานั้นผู้สนับสนุนหรือสปอนเซอร์ก็จะสนใจตามมา ซึ่งแต่ละรายการก็จะมีวิธีการนำเสนอเพื่อเรียกความสนใจจากผู้ชมแตกต่างกันไป

“การทำงานรายการโทรทัศน์มันต้องมีการทำงานในเชิงการตลาด ให้คนหันมาดูรายการ ซึ่งแต่ละรายการก็จะมีลักษณะวิธีการนำเสนอ หรือมีเอกลักษณ์ของตัวเองแตกต่างกันไป มันขึ้นอยู่กับว่าพอนำเสนอแล้วปุ๊บ มีข้อมูลเพียงพอที่จะให้คนดูเข้าใจเนื้อหามากน้อยแค่ไหน ซึ่งตรงนั้นถือเป็นประเด็นหลักมากกว่า ส่วนที่บอกว่าการนำเสนอเรื่องไสยศาสตร์เพื่อให้มีคนดูมาก ผมมองว่าเป็นเรื่องในเชิงการตลาด ซึ่งมันก็สมควรที่จะทำ เพราะถ้าคนไม่ดูรายการ รายการก็ต้องหลุดจากผังแน่นอน มันเป็นเงื่อนไขที่ทุกคนต้องทำแบบนี้อยู่แล้ว”

อย่างไรก็ตาม อกนิษฐ์ไม่คิดว่าการนำเสนอเรื่องไสยศาสตร์ทางทีวีนั้นถึงกับเป็นเทรนด์ใหม่ของรายการโทรทัศน์ไทย ที่หากใครไม่เกาะกระแสจะตกยุค ซึ่งเขาตอบในฐานะคนทำรายการทีวีคนหนึ่งว่า

“เรื่องที่มันเป็นกระแสอยู่ตอนนี้ เรามีหน้าที่ที่จะอธิบายความจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอะไรก็แล้วแต่ที่มันเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ แต่ถ้าสังคมเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ยังไม่ถูกต้อง ไม่ชัดเจน หรือว่าเข้าใจกันผิดๆ เราก็มีหน้าที่ที่จะต้องนำเสนอเรื่องนี้เพื่อไปอธิบายข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น”

อกนิษฐ์ยกตัวอย่างเช่น กรณีเรื่องนกแสกผีที่เป็นข่าว ทุกคนก็จะคิดว่านกแสกเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาเพศขึ้น แล้วทำให้คนเสียชีวิตพร้อมกันถึงหกคน ทางรายการของเขาแม้จะตามประเด็นข่าวนี้เช่นกัน หากแต่เป็นการนำเสนอเรื่องของนกแสกในความหมายที่เป็นธรรมชาติ ว่ามันมีหน้าที่อะไรบ้าง ส่วนแง่คนที่เสียชีวิตหกคนนั้น ก็หาสาเหตุว่าเกิดจากเพราะอะไร เกี่ยวข้องกับนกแสกหรือไม่
“นกแสกจริงๆ แล้วมันมีการเพาะขึ้นมาเพื่อเอามาใช้งานในลักษณะของการเป็นสัตว์ล่าศัตรูพืช มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเสียชีวิตเลยแม้แต่นิดเดียว เรามีหน้าที่จะนำเสนอสิ่งเหล่านี้อีกแง่มุมหนึ่ง เพื่ออธิบายว่าจริงๆ แล้วมันมีอีกหลายมุมนะ เพื่อให้คนเข้าใจเกี่ยวกับตัวนกแสก”

เส้นแบ่งของการนำเสนอเรื่องราวไสยศาสตร์ทางโทรทัศน์ ที่จะไม่เป็นการมอมเมาผู้ชมจึงอยู่ที่ข้อเท็จจริง หรือ ‘Fact’ ว่าแต่ละรายการจะให้ความสำคัญชัดเจนมากน้อยขนาดไหน

“ต่อให้นำเสนอเรื่องงมงายมากๆ แต่ว่าในเมื่อมันมี fact ที่เราสามารถหาคำตอบหรือพิสูจน์ได้ ไม่ให้คนงมงาย หรือว่านำเสนอแค่มุมเดียว มันก็วัดได้แล้วครับว่ามีความรับผิดชอบแค่ไหน”

นอกจากคนทำรายการโทรทัศน์จะต้องรับผิดชอบด้วยจรรยาบรรณแล้ว แต่ละสถานีก็จะมีข้อกำหนด โดยการให้มีตัวหนังสือกำกับบนหน้าจอทำนองว่า ‘เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม’ แต่จะเป็นมาตรการที่เปล่าประโยชน์หรือไม่ คงมีแต่คนดูที่ทราบ

“สิ่งที่เราทำมากกว่านั้นก็คือพยายามสกรีนว่าเนื้อหาในนั้น ไม่ได้มีการนำเสนอเพียงแง่มุมเดียว หรือว่าแหล่งข่าวที่ให้สัมภาษณ์ไม่ได้มีแค่แหล่งข่าวเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้น สิ่งที่รายการคำนึงถึง ทางช่องคำนึงถึงคือ การนำเสนอทุกเรื่องจะต้องมีการนำเสนอในแง่มุมที่หลากหลาย ทั้งข้อมูลความคิดเห็นที่หลากหลายที่จะมาอธิบายปรากฏการณ์นั้นๆ ส่วนตัวหนังสือเป็นข้อคิดให้คนที่ดูพิจารณาด้วยสติปัญญาของเขาเองว่า ข้อมูลที่เขาได้มาจากรายการ เขาคิดว่าเรื่องนี้มันควรจะเป็นอย่างไร เพราะสื่ออย่างเราไม่มีหน้าที่จะไปสรุปว่ามันคืออย่างนี้อย่างนั้น”

สุดท้าย อกนิษฐ์ฝากคำแนะนำผู้ชมรายการทีวีที่นำเสนอเรื่องไสยศาสตร์ว่า ต้องแยกให้ออกว่าการชมโทรทัศน์เป็นการดูเพื่อบันเทิง หรือว่าดูเพื่อความรู้สึกสนุกสนานผ่อนคลาย

“วัตถุประสงค์การทำทีวีมันอยู่ตรงนั้น คือเพื่อผ่อนคลายหรือให้ได้รับความบันเทิงจากการที่ดูรายการ แต่ในขณะเดียวกันคนที่ดูรายการก็ต้องใช้วิจารณญาณหรือว่าสติปัญญาในการที่จะคัดกรองข้อมูลที่ได้รับ ว่าควรจะเชื่อหรือไม่ ควรจะงมงายหรือไม่ หรือควรจะคิดในรูปแบบไหนต่อไป”

เพราะจะเชื่อหรือไม่…นั่นคือสิทธิของคุณเอง

***************

สำรวจตลาดจอแก้วในโลกลี้ลับ

ในยุคนี้หากหมุนไปช่องไหนๆ ก็เชื่อได้ว่า ต้องเจอรายการเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ มนต์ดำ ผีสางเทวดา สักรายการอย่างแน่นอน

อย่างช่อง 3 เอง ก็มีอยู่หลาย ที่ดูจะเป็นผู้นำกระแสมากที่สุด เห็นจะไม่พ้น รายการตีสิบ ที่ทุกวันนี้ นอกจากจะขายการดันดาราแล้ว เสี่ยวีที วิทวัท สุนทรวิเนตร์ ก็ได้เรื่องราวประเภทนี้แหละ ตั้งแต่สแกนกรรม ทรงเจ้า คนเห็นผี เห็นวิญญาณ ฯลฯ ที่มาดึงเรตติ้งให้สูงเอาสูงเอาจนแซงหน้ารายการอื่นแบบไม่เห็นฝุ่น ที่รองลงมาก็เป็นรายการศึก 12 ราศี ที่เอา หมอลักษณ์ เรขานิเทศ มานั่งฟันธงว่า ราศีนี้ดวงจะเป็นยังไงบ้าง

ด้านคู่แข่งที่เชือดเฉือนกันมาตลอด อย่างช่อง 7 สี ก็ไม่น้อยหน้า ส่งรายการเรื่องจริงผ่านจอ ที่แต่ก่อนเน้นเรื่องข่าว หรือภาพระทึกขวัญ โดยรูปแบบของรายการจะเน้นการนำเสนอเรื่องแปลกๆ มหัศจรรย์ ที่ไม่มีใครคาดคิด อย่างเช่นกรณีที่บ้านหลังนี้เอาศพญาติผู้ใหญ่มาไว้นานบ้านร่วม 50 ปี โดยไม่มีการประกอบพิธีทางศาสนา เพราะญาติผู้นั้นมาเข้าฝันพี่สาวว่า ตอนนี้ยังไม่เกิด เพราะฉะนั้นอย่างเพิ่งเผา แถมท้ายโดยเห็นระทึกโดยการที่วิญญาณมาเข้าสิงพี่สาวให้ดูเป็นขวัญตาอีกด้วย

นอกจากรายการนี้ หากย้อนไปเมื่อสัก 4-5 ปี ก็มีรายการพิสูจน์วิญญาณแบบ มิติลี้ลับ ที่เอาเจ้าพ่อเรื่องผีอย่าง กพล ทองพลับ มารับหน้าที่พิธีกร พาผู้คนไปสำรวจจุดที่เข้าว่าเฮี้ยน สยองขวัญสั่นประสาทกันนับไม่ถ้วน ไม่แค่นั้นรายการนี้ที่เป็นผู้เปิดตัว แม่ชีธนพร ชัยประคอง ผู้มีนิมิตเห็นกรรมได้ ซึ่งก็ได้รับความนิยมจากผู้ศรัทธา จนมีเดียออฟมีเดียเจ้าของรายการถึงกับยกเวลาของช่อง ทีแชนแนล สถานีผ่านดาวเทียมของบริษัทให้แม่ชีไปเลย

ส่วนช่องอื่นๆ ก็ใช่จะยอมแพ้ อย่างรายการวู้ดดี้ เกิดมาคุย จากสถานีโทรทัศน์อุดมปัญญา ก็ยังหยิบยกเอาเรื่องหมู่บ้านที่มีคนระลึกชาติรวมตัวกันอยู่มากมายมานำเสนอ จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนจำนวนมาก หรืออย่างกรณีอาจารย์หนู กันภัย ซึ่งบรรดาสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมทั้งหลายพากันนำเสนออย่างคึกครื้นว่า หากสักยันต์กับอาจารย์หนูชีวิตจะรุ่งเรือง ปราศจากอันตรายภัยพาล

ทั้งหมดนี้คือเศษเสี้ยวเล็กๆ น้อยๆ ของเรื่องอภินิหารที่เกิดขึ้นบนจอโทรทัศน์เท่านั้น ซึ่งเรามั่นใจว่า รายการเหล่านี้คงไม่หยุดแค่นี้ เพราะหากเงินพร้อม คนดูพร้อม ทุกอย่างก็คงต้องเดินต่อไปอย่างแน่นอน
..........
เรื่อง : ทีมข่าว Click
ภาพ : ทีมภาพ Click



กำลังโหลดความคิดเห็น