เราไม่ได้ตั้งแง่ตำหนิติเตียน ‘ชาตินิยม’ ไปซะทุกเรื่อง ในโลกแห่งความเป็นจริง บ่อยครั้งที่มนุษย์ต้องหยิบยืมแนวคิดประดามีมาใช้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและแก้ไขปัญหา ชาตินิยมก็เช่นกัน เพียงแต่ต้องรู้จักใช้อย่างชาญฉลาด มิใช่ทำอย่างไม่มีสติและมักง่าย
กรณีปัญหาพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ระหว่างไทยกับกัมพูชา จึงเป็นสิ่งที่น่าพิเคราะห์ว่า คนกลุ่มหนึ่งที่พยายามเรียกร้องและปกป้องผลประโยชน์ของชาติกำลังคลั่งชาติอยู่หรือเปล่า
คนที่ให้ความกระจ่างในกรณีนี้ได้ดีคนหนึ่งคงไม่พ้น รศ. ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษามูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ซึ่งคลุกคลีอยู่กับประวัติศาสตร์และติดตามประเด็นเขาพระวิหารมาโดยตลอด เขาอธิบายแนวคิดเรื่องชาตินิยมในประเทศไทยว่า ความรักชาติมีมาตั้งแต่อดีต โดยลักษณะของชาตินิยมแบบแรกมีเป้าหมายอยู่ที่ความสำนึกรักในแผ่นดินเกิดของตัวเอง ซึ่งทุกชาติทุกภาษามีทั้งนั้น แต่ความคิดแบบนี้ เป็นความคิดที่ยังไม่มีการเมืองหรือสถานการณ์เข้ามาผสม
พอถึงสมัยรัชกาลที่ 4 แนวคิดเรื่องนี้ก็เปลี่ยนไป เพราะเกิดคำว่า ‘รัฐ’ หรือ ‘Nation’ ขึ้นมา เพราะช่วงนั้นสยามกำลังเผชิญหน้ากับชาติตะวันตกที่เข้ามาล่าอาณานิคม เป็นที่มาให้เกิดแนวคิดแบบชาตินิยมหรือรัฐประชาติขึ้นมา เพื่อปลุกจิตสำนึกของประชาชนให้มีความรักชาติ หวงแหนแผ่นดินเกิด แต่อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีการสร้างกระแส แต่คนไทยโดยรวมก็ยังไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าใดนัก
จนกระทั่งถึงยุคที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี คนไทยก็เริ่มตื่นตัวกับคำว่าชาตินิยม แต่ลักษณะจะต่างกับอดีต เพราะสมัยนี้มีการกระตุ้นความเป็นไทยที่เป็นเชื้อชาติขึ้นมา เป็นเชื้อชาตินิยม เน้นในเรื่องของคนที่เป็นชาติพันธุ์ไทย สืบสายเลือดมา เพื่อที่จะกีดกั้นคนที่มีเชื้อชาติอื่น โดยเฉพาะคนจีนมีการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ขึ้นมา ถามว่าเป็นแนวคิดที่ถูกไหม ก็คงไม่ถูกและเป็นอันตราย เพราะแผ่นดินไทยไม่ได้แค่คนไทยเท่านั้น แต่ยังมีคนเชื้อชาติอื่นๆ อีกด้วย
เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดชาตินิยมกับกรณีเขาพระวิหารว่าเป็นอย่างไร รศ.ศรีศักดิ์ ก็ตอบทันทีว่ากรณีนี้ปัญหาหลักๆ นั้นมาจากเรื่องเขตแดนซึ่งไม่ถูกต้อง และที่ผ่านมาคนไทยต้องเสียท่าผู้ที่มีอิทธิพลสูงกว่า อย่างประเทศฝรั่งเศส ศาลโลก และองค์การยูเนสโก
“ความเป็นรัฐชาติ มันมีเขตแดน แต่เขตแดนอันนี้มันเป็นของคนไทย เพราะฉะนั้น ความรู้สึกจึงเป็นของเรา เมื่อเจอคนเขมรเขามารุกล้ำก็เกิดความเป็นชาตินิยม เป็นความหวงแหนนขึ้นมาเป็นธรรมดา
“แล้วที่สำคัญเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พัวพันมาอย่างยาวนาน โดยคนเริ่มนั้นคือฝรั่งเศส ที่พยายามแยกไทยออกจากเขมร เพราะก่อนหน้านั้นไทยเคยปกครองเขมรอยู่ และวิธีแยกออกก็คือฝรั่งเศสกันเขตแดน โดยตกลงด้วยการใช้สันปันน้ำจากสันเขา ถ้าน้ำตกลงที่ไหน ก็ถือเป็นเขตนั้น ปี 1904 เขาก็ให้เราส่งคนไปร่วมกันเขตแดน แต่เรื่องของเรื่องก็คือเราตามไม่ทันเขา ปี 1907 เขาก็ทำแผนที่เรียบร้อย ซึ่งในนั้นก็มีเขาวิหารด้วย แต่หากมองกันจริงๆ เขาพระวิหารนั้นอยู่ในเขตเรา แต่ในแผนที่นั้นอยู่ในเขตเขมร แล้วเราก็เสียท่าไปเซ็นรับรอง ก็เลยกลายว่าเขาพระวิหารตกไปอยู่เขตเขมร”
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวตรงนี้ก็เปลี่ยนไปหลังเกิดสงครามเอเชียบูรพา ซึ่งเราก็ได้ดินแดนตรงนี้คืน เราเองก็ยึดครองปรปักษ์ตรงนี้มาตลอด เพราะเขมรไม่เคยขึ้นไปเลยที่เขาพระวิหาร
ถึงสมัยเจ้านโรดมสีหนุขึ้นปกครองกัมพูชา พระองค์ก็มีพระประสงค์ให้ประกาศความยิ่งใหญ่ของประเทศ พระองค์ก็เลยยกประวัติศาสตร์กัมพูชาที่ฝรั่งเศสทำไว้ว่า เขมรเคยปกครองประเทศไทย จากนั้นพระองค์ก็อ้างกรรมสิทธิ์ในเขาพระวิหาร แล้วก็เอาเรื่องไปฟ้องศาลโลก แต่ประเทศไทยเราโง่เกินไป ยอมไปขึ้นศาลโลก ทั้งที่คนในศาลโลกก็เข้าข้างกัมพูชาทั้งนั้น เพราะเคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสมาก่อน
“ตอนที่เราแพ้ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตช์ เขาร้องไห้ แล้วเขาก็ยอมรับ แต่ยอมแค่เรื่องตัวปราสาทเท่านั้น ส่วนเรื่องเขตแดนเราไม่เสีย เพราะมันอยู่ในสันปันน้ำของเรา รัฐบาลไทยก็เลยล้อมกั้นไว้เลย ส่วนเขมรเองก็ไม่เคยขึ้นมาที่เขาพระวิหารเลย เพราะทางขึ้นมันลำบาก แต่ต่อมาไทยโลภ โดยเฉพาะพวกการท่องเที่ยว ไปเปิดให้ขึ้นเขาพระวิหาร ร่นจากบันไดนาคราชไปบันไดสิงห์ แล้วพอหลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์เขมรแดงขึ้น พวกเขมรแดงก็เลยหนีมาพึ่งไทย เราก็เลยให้เขาอาศัยอยู่บนเขาพระวิหาร เขมรก็เลยเข้ามาครอบครองปรปักษ์ ฝ่ายทหารเขารู้ แต่รัฐบาลไทยนั้นโลภมาก เห็นว่าได้เงินจากการท่องเที่ยวฯ ก็เลยปล่อยไว้ จนกลายเป็นปัญหาต่อมา”
รศ.ศรีศักร อธิบายต่อว่า พื้นที่ตรงนี้จริงๆ ถือว่าเป็นพื้นที่ของไทยอย่างสมบูรณ์และไม่เคยเป็นพื้นที่ทับซ้อนอย่างที่เข้าใจ เพิ่งจะมาเป็นตอนสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะกรมแผนที่ทหารไปเขียนไว้ว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน และเมื่อกัมพูชาไปยื่นขอจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ประเทศไทยก็เกิดไปยอมเซ็นรับรองอีก ทำให้ปัญหามันลุกลามมากขึ้น
“การขึ้นทะเบียนมรดกโลก ยูเนสโกเขาก็ให้แก่กัมพูชาฝ่ายเดียว อันนี้โกงนะ เพราะโดยหลักการเขาพระวิหาร มันไม่ได้อยู่ที่ตัวปราสาทอย่างเดียว มันต้องขึ้นพื้นที่โดยรอบด้วย ซึ่งพื้นที่โดยรอบอยู่ในเขตเรา มรดกโลกต้องรู้ใช่ไหมว่า ถ้าขึ้นทะเบียนให้เขมรฝ่ายเดียวมันจะเป็นปัญหาเรื่องเขตแดน แสดงว่าเขาคบคิดกับพวกเขมร เขมรเขาเอาปราสาทไปแล้วเราไม่ว่า เราไม่ต้องไปยุ่งกับเขา แต่ขึ้นเป็นมรดกโลกมันต้องกินพื้นที่กับเรา ก็เลยเกิดความขัดแย้งขึ้น
“ในความขัดแย้งครั้งแรก คุณ นพดล ปัทมะ (รมต.กระทรวงต่างประเทศในขณะนั้น) ไปเจรจา เห็นว่าเขาจะเอาเฉพาะตัวปราสาทไม่เกี่ยวกับบริเวณโดยรอบ 4.6 ตารางกิโลเมตร เราก็ให้เขาไปสิ แต่เขาขุดหลุมพรางไว้ การเจรจาครั้งที่ 2 ช่วยขึ้นร่วมโดยการเอาพื้นที่ในเขตเรามารวมด้วย แต่เขาให้เป็นเอกสิทธิ์ของเขมร เพราะใช้คำว่า เปรียะห์วิเฮียร์ แล้วก็มีการตั้งกรรมการโดยไทยเป็น 1 ใน 7 ซึ่งหมายความว่าถ้าไปเจรจา ไอ้พวกนี้ก็ไปมะรุมมะตุ้ม ไทยไม่ค่อยมีเสียงเท่าไรหรอก ก็เท่ากับเราสังเวยพื้นที่ให้เขมร ด้วยเหตุนี้ไทยก็เลยไม่ยอม มันก็เลยเกิดเรื่องขึ้นมา จริงๆ แล้วมันควรจะไล่พวกเขมรลงมาให้หมด เพราะมันเป็นพื้นที่ในข้อพิพาท”
ส่วนในกรณีที่ วีระ สมความคิด ที่ระดมพลขึ้นไปอ่านแถลงการณ์บนพื้นที่ทับซ้อน ถือเป็นเรื่องที่ทำถูกแล้ว เพราะเขาถือว่าเป็นการรักแผ่นดิน หวงแหนแผ่นดิน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาคลั่งชาติหรือชาตินิยมอะไรหรอก ฝั่งกัมพูชาต่างหากที่คลั่งชาติ อยากเป็นใหญ่ และนึกว่าจะได้ประโยชน์ตรงนี้ โดยหารู้ไม่ว่าคนตรงนั้นไม่ได้ประโยชน์หรอก เพราะตรงนี้มันจะกลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจให้แก่พวกข้ามชาติ
“การที่คุณวีระไปประกาศเจตนารมณ์ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่แสดงให้ถึงความสามัคคีของชาติ ไปยันเอาไว้ ไม่อย่างนั้นพวกเขมรก็จะเข้ามาอีก แล้วก็ยิ่งต้องปลุกกระแสรักชาติให้มากกว่านี้อีก เพราะมันเป็นแผ่นดินเกิดเรา เราไม่ใช่พวกคลั่งชาติ แบบที่พวกนักวิชาการธุลีบาทธุลีเช็งพูดหรอก อย่าไปฟังมัน ทางที่ถูก คุณต้องประจาน เรื่องเขมรมันจิ๊บจ๊อย แต่ที่โกงเรามันคือฝรั่งเศส ศาลโลก และยูเนสโก เราต้องสื่อให้คนไทยเห็นตรงนี้ ที่เราแพ้เขา เพราะเราสับสน เราทะเลาะตีกันเอง”
นอกจากนั้น รศ.ศรีศักร ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา แนวคิดชาตินิยมของคนไทย ถือเป็นปัญหาอย่างมาก เพราะประชาชนส่วนใหญ่ถูกปลูกฝังมาจากภาครัฐอย่างไม่ถูกต้อง จนทำให้คนส่วนใหญ่ขาดความรู้เกี่ยวกับชาติของตัวเอง และน้อยครั้งนักที่จะรวมตัวเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ
“คนไทยไม่เคยรู้เรื่องของตัวเองเลยนะ ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์แล้ว กระทรวงศึกษาธิการงี่เง่ามาก ไม่เคยสอนประวัติศาสตร์ให้คนรักชาติเลย ไม่เคยสอนประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง แล้วคนก็ไม่เคยรับรู้ตรงนี้ ต่างคนต่างอยู่ ตรงนี้ต้องโทษที่กระทรวงศึกษาฯ กระทรวงวัฒนธรรม และพวกนักวิชาการธุลีบาทธุลีเช็งของหลายๆ มหาวิทยาลัย
“ทุกวันนี้ เราอย่าไปหวังอะไรกับรัฐบาลเลย ภาคประชาสังคมต้องทำเอง อย่าไปยุ่งกับเขา เขาทำไม่ได้หรอก พวกนี้ความขัดแย้งสูง ผลประโยชน์เยอะ ต่างประเทศเขาไม่ปลูกฝังแบบนี้หรอก อย่างเวียดนาม หลังช่วงสงคราม เขาตั้งอนุสาวรีย์ของแต่ละท้องถิ่นบนหลุมศพของวีรชน มีชื่อคนที่ตายอยู่บนป้ายหมดเลย นักเรียนมีหน้าที่ไปขัดหลุมศพ ให้รู้ว่าครั้งหนึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ประเทศชาติฉิบหาย แต่ของไทยมีไหม ไม่มีหรอก มีแต่เน้นเรื่องท่องเที่ยวงี่เง่า เน้นแสงสีเลอะๆ เทอะๆ”
..........
‘คลั่งชาติ’ กับ ‘รักชาติ’ จึงมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ และจำต้องแยกให้ออกว่าสิ่งไหนที่เรียกว่าคลั่งชาติ และสิ่งไหนที่เรียกว่ารักชาติและพยายามปกป้องผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ และหาวิธีที่จะให้คนตระหนักถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมอย่างชาญฉลาด มิใช่แปะป้ายประณามคนที่รักชาติ
*********
“เราไม่ได้คลั่งชาติ แต่เรารักชาติ”
อรุณศักดิ์ โอชารส จากเครือข่ายประชาชนปกป้องแผ่นดินไทย ศรีสะเกษ บอกเล่าสถานการณ์หลังจากการอ่านแถลงการณ์เสร็จสิ้นว่า ตอนนี้ทุกอย่างก็เข้าสู่รูปเดิม คือประชาชนกัมพูชาก็ยังยึดพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่เหมือนเดิม
อรุณศักดิ์อธิบายการเคลื่อนไหวว่า ไม่ได้ต้องการเรียกร้องเอาเขาพระวิหารคืน แต่กำลังเรียกร้องไม่ให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรไป เรายังหวังให้รัฐบาลผลักดันทหารและชาวกัมพูชาที่รุกล้ำแผ่นดินของไทยออกไป ยังยืนยันเหมือนเดิม
“ผมเองเป็นคนที่ยืนหยัดรักชาติ ผมไม่เคยคลั่งชาติเลยครับ ผมก็เคยใช้คำนี้กล่าวหาคนอื่นเหมือนกัน คือต้องเข้าใจว่าการรณรงค์ครั้งนี้ ชาวศรีสะเกษในตลาด ในเขตเทศบาลกันทรลักษ์ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เข้าใจและบริจาคเงินให้มาต้อนรับชาวไทยที่เดินทางมาทวงคืนเขาพระวิหาร ขนาดเราขึ้นไปวันนั้น นักเรียนยังมาโบกธง และตะโกนไทยแลนด์สู้ๆ
“เราไม่ได้คลั่งชาตินะครับ แต่เรามีความรักชาติหวงแหนผืนแผ่นดิน ผมยังมองว่ามีคนไทยกลุ่มหนึ่งขายชาติด้วยซ้ำไป เอายุทธปัจจัย เอาปูนซีเมนต์ ขายให้แก่ชาวเขมรมาขึ้นเขาพระวิหาร พวกนั้นขายชาติหรือเปล่า ไปอำนวยความสะดวกให้กับคนที่รุกล้ำแผ่นดินไทย”
***********
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK