ในที่สุดกล้องฟิล์มสุดฮิตที่ชื่อ LOMO ซึ่งกำลังทวนกระแสเชี่ยวกรากของ “โลกยุคดิจิตอล” ที่เมินการใช้ฟิล์ม ก็เดินทางแบบสง่างามเข้าสู่วัยเบญจเพส 25 ปี ในวันที่ 19 เดือนมิถุนายนนี้แบบพอดิบพอดี
การชุบชีวิตกล้องฟิล์มแบบ LOMO ให้กลับมาฮิตอีกครั้งก็ต้องมอบเครดิตให้กับ วูล์ฟกัง สตรันซิงเกอร์ (WOLFGANG STRANZINGER) และ แมตเทียส ฟีกัล (MATTHIAS FIEGL) (ปัจจุบัน วูล์ฟกัง และ แมตเทียสเป็นผู้ดูแลแบรนด์ LOMO ทั่วโลก) โดยไอเดียชุบชีวิต LOMO เกิดขึ้น ขณะที่ 2 ผู้ก่อตั้งได้เดินทางจากเบอร์ลินมาเวียนนา แล้วเพื่อนเขาพบเข้ากับโปรเจกต์ LOMO สุดเจ๋ง…! ของ 2 หนุ่มผู้ก่อตั้ง
ด้วยรูปแบบที่สไตล์จัดจ้าน และแปลกใหม่จึงอยากจะนำ LOMO ไปเผยแพร่บ้าง ทาง 2 ผู้ก่อตั้ง (หมายถึงวูล์ฟกัง และ แมตเทียส) ก็ยินดีให้ความอนุเคราะห์ความช่วยเหลือเต็มที่ ในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับกล้อง การถ่ายภาพ ช่วยหากล้องไปส่งให้ และความช่วยเหลืออื่นๆ อีกจิปาถะ
หลังจากนั้นความฮิตของ LOMO ก็เดินทางต่อยอดด้วยตัวมันเองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ 2 หนุ่มได้ก่อตั้งบริษัทเพื่อทำธุรกิจเกี่ยวกับ LOMO ขึ้นมาใน พ.ศ. 2538 โดยเดินทางไป ติดต่อและเล่าเรื่องคนที่ยังชื่นชอบ LOMO ว่ามีมากมายแค่ไหนเพื่อให้กับโรงงานผลิตกล้อง LOMO ได้ฟัง (ทางโรงงานผลิตบอกว่าได้เลิกผลิตกล้อง LOMO ตั้งแต่ พ.ศ.2534 สาเหตุเพราะว่าไม่ได้รับความนิยม แล้ว) พร้อมกับขอร้องให้พวกเขาผลิตกล้อง LOMO ขึ้นมาอีกครั้ง
นับตั้งแต่การจุดกระแสของ 2 หนุ่มที่ว่า ได้แพร่หลาย จาก 1 เป็น 10 เป็น 1, 000 ชุมชนชาว LOMO ก็เริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็ว ต่อมาสถานทูต LOMO (พวกเขาเรียกแหล่งรวมคนรัก LOMO ตามประเทศต่างๆ ว่า สถานทูต โดยสถานทูตแห่งแรกของโลกเปิดทำการเมื่อปี 2537 ก่อนที่ LOMO จะมีรูปแบบเป็นบริษัทเสียอีก) ก็เริ่มผุดขึ้นในหลายประเทศ รวมถึง ที่สถานทูต LOMO ในประเทศ ไทย ซึ่งตั้งอยู่ที่ ซ.สุขุมวิท 39 ด้วย
การเดินทางของ LOMO โลก
เดิมทีกล้อง LOMO (LOMO ย่อมาจาก Leningrad Optical Machinery Organization) ออกแบบมาเพื่อใช้ในหน่วยงานสายลับของกองทัพรัสเซีย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ผลิตเลนส์เพื่อใช้ในโครงการอวกาศของกิจการกองทัพและผลิตเลนส์ที่ใช้ในกล้องโทรทัศน์
จนกระทั่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงและอุตสาหกรรมของสหภาพโซเวียตในขณะนั้น มีคำสั่งให้หน่วยงาน LOMO ผลิตกล้องเลียนแบบกล้องคอมแพคท์ของญี่ปุ่นขึ้นมาให้เร็วที่สุด ถูกที่สุดและมากที่สุด เพื่อแจกจ่ายให้พลเมืองรัสเซียทุกคนได้รู้จักการถ่ายรูป โดยมีคำขวัญว่า "คอมมิวนิสต์อันทรงเกียรติทุกคนควรมีกล้อง LOMO KOMPAKT AUTOMAT LC-A เป็นของตัวเอง" (ผู้ผลิตกล้อง LOMO KOMPAKT AUTOMAT LC-A คือ MICHAIL ARONOWITSCH RADIONOV อดีตสายลับ KGB นั่นเอง)
เสน่ห์ LOMO ที่หาไม่ได้จากโลกยุคดิจิตอล
พูดถึงชื่อ LOMO แล้วคนในยุคดิจิตอลไฮเทคนี้ อาจจะสงสัยว่า...เจ้ากล้องฟิล์มอย่าง LOMO มันจะเจ๋ง...! แบบ “กล้องดิจิตอล” ที่ถ่ายเสร็จแล้วสามารถมองที่จอด้านหลังได้ทันทีได้อย่างไร… ตอบได้ว่า ถ้าวัดด้วยเรื่องทันสมัยที่ว่า LOMO อาจสู้ไม่ได้แต่ถ้าเป็นมนต์เสน่ห์ ของความง่าย รูปที่ถ่ายได้ก็มีสีสันฉูดฉาด และความไม่มีกฎ เกณฑ์ใดๆ ซึ่งถ่ายทอดผ่านการกดชัตเตอร์จากกล้อง LOMO แต่ละครั้งพวกเขาขออนุญาต ล้ำหน้า กล้องดิจิตอลหลายช่วยตัว
“เรียกได้ว่าอะไรที่เป็นอุปสรรคสำหรับกล้องดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็น องค์ประกอบแสง วัตถุและสิ่งปนเปื้อนบนเลนส์ แต่ทว่าเมื่อถ่ายด้วยกล้อง LOMO จุดตำหนิที่ว่าทำขึ้นมา อย่างจงใจ เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นศิลปะ เป็นนามธรรม ทั้งหมดเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักถ่าย ภาพ LOMOGRAPHER นิยมชมชอบ”
ที่สำคัญด้วยขนาดที่เล็กกะทัดรัดเหมาะกับการพกพา ทำให้กล้อง LOMO เป็นที่นิยม จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันพวกเราจะเห็นเหล่า LOMOGRAPHER หยิบกล้อง LOMO ออกมาจากกระเป๋าแล้วใช้บันทึกภาพในชีวิตประจำวันกันอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ ความสามารถในการถ่ายในที่ ๆ มีแสงน้อยได้ ทำให้มันเป็นที่นิยม
ปัจจุบัน คุณสมบัติของโลโมแต่ละรุ่นมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน เช่น Holka และ Diana เป็นกล้อง Medium Format, Actionsampler และ Supersampler สร้างภาพได้หลายเฟรมหลายแอคชั่นในการกดชัตเตอร์ครั้งเดียว, Pop- 9 จะให้ภาพซ้ำแบบ Pop Art, Colorsplash มีแฟลชที่เปลี่ยนสีได้, Fisheye ลักษณะภาพจะดูนูน ขอบรูปวงกลม ดีไซน์กล้องที่ดูกึ่งๆ คลาสสิก LC-A+ มีการ Recite ในเชิงประวัติศาสตร์ในฐานะที่เป็นกล้องโลโม่รุ่นแรกตั้งแต่สมัยสายลับรัสเซีย
และนี่คือวัยเบญจเพสกับการเป็นหนุ่มใหญ่ ในวัย 25 ปี ของ LOMO
ข้อมูลอ้างอิงจากวิกิพีเดีย และ รูปจาก samuraihatejazz