เมืองไทยเราคงจะคุ้นเคยกับโรงเรียนเตรียม... ทั้งหลาย เช่น โรงเรียนเตรียมทหาร เตรียมแพทย์ เตรียมพยาบาล เตรียมคุณครู ฯลฯ แต่ทว่าตอนนี้ ประเทศไทยได้มีการก่อตั้ง ‘โรงเรียนเตรียมสามเณร’ ขึ้นเป็นอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่วัดครึ่งใต้ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนสามเณรและพระภิกษุ เพื่อให้ได้เรียนรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป โดยเปิดสอนตั้งแต่ชั้นเตรียมสามเณรจนถึงระดับปริญญาโท เพื่อผลิตพระสงฆ์ออกสู่สังคมได้อย่างมีคุณภาพ โดยเราได้ไปพูดคุยกับ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี หนึ่งในเจ้าของโครงการจัดตั้งโรงเรียนเตรียมสามเณร ถึงความเป็นมาและความเป็นไปของโรงเรียนแห่งนี้
โดยปกติแล้ว ณ โรงเรียนเตรียมสามเณรแห่งนี้ ภิกษุสามเณรทุกรูปจะต้องเรียนอย่างน้อย 2 เรื่องคือความรู้ทางโลก ตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับปริญญาโท ถ้ารูปใดมีภูมิปัญญาสามารถมาก ทางโรงเรียนก็จะผลักดันให้เรียนต่อจนถึงระดับด็อกเตอร์ได้ นอกจากนั้น ยังได้ตั้งสถาบันสอนภาษาขึ้นที่โรงเรียนแห่งนี้ด้วย เพื่อให้ภิกษุสามเณรได้เลือกเรียนถึง 5 ภาษา ได้แก่ จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และบาลี
และสองคือความรู้ทางธรรม คือเรียนนักธรรมทั้ง ตรี โท เอก ซึ่งเป็นหลักสูตรภาคบังคับของคณะสงฆ์ จบแล้วถ้าอยากเรียนให้สูงกว่านั้น ทางโรงเรียนก็จัดสอนบาลีให้ตั้งแต่ประโยค 1-2 จนถึงประโยค 9 และที่สำคัญจะต้องผ่านคอร์สวิปัสสนากรรมฐานซึ่งเป็นเรื่องสุดท้ายที่พระทุกรูปต้องเรียน
หลักสูตรใหม่แก้ปัญหาพระกะเทย
ว.วชิรเมธี กล่าวว่า หลังจากที่ได้จัดตั้งโรงเรียนเตรียมสามเณรขึ้นมาแล้ว มีความประสงค์จะเพิ่มหลักสูตรใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาของภิกษุสามเณรในปัจจุบันที่มีกิริยาอาการไม่เหมาะสม
“ตอนนี้เราประสบปัญหา พระเณรเป็นตุ๊ด เป็นแต๋ว นอกจากนี้ ภิกษุสามเณรบางรูปยังได้แสดงอาการกระตุ้งติ้ง แต่งหน้าทาปาก การรับจัดงาน เช่น รับจัดดอกไม้ แต่งผ้า ตามงานต่างๆ บั่นทอนสถาบันศาสนาของชาวพุทธมาก บางทีเดินเข้าวัด เห็นพระสักยันต์ตามตัวลายพร้อย มือก็คีบบุหรี่ จีวรไม่ห่ม เดินเต๊ะจุ้ยไปมา ในขณะที่วัดก็เรียกร้องอยากให้โยมเข้าวัด แต่เมื่อเดินเข้าวัดแล้วกิริยาของพระก็ไม่เรียบร้อย ภูมิทัศน์ของวัดก็ไม่ร่มรื่น การบริหารจัดการวัดก็ไม่สะอาด อย่างนี้หรือวัดที่จะเป็นสถานที่สำหรับบริหารจิตใจของคนได้อย่างไร” ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าว
ด้วยปัญหาเหล่านี้จึงทำให้ท่าน ว.วชิรเมธี มีไอเดียเปิดหลักสูตรใหม่ 3 หลักสูตรในโรงเรียนเตรียมสามเณรแห่งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของพระเณรที่เป็นการแสดงออกซึ่งความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์โดยรวมของพระสงฆ์
“ฉะนั้น เราถึงต้องมีการเปิดหลักสูตรใหม่เพื่อให้พระเณรได้เรียนรู้คุณสมบัติของการเป็นผู้ดี ว่าเขาเป็นกันยังไง พระพุทธองค์ทรงสอนวิชาเหล่านี้ไว้อยู่แล้ว ขาดอยู่แต่เราไม่ได้หยิบยกมาเน้นย้ำ วิชาสมบัติผู้ดีของสามเณรจึงไม่ใช่วิชาใหม่ อาตมาเพียงแค่หยิบมาเน้นย้ำให้เห็นภาพชัดขึ้น ในภาควิชาสมบัติผู้ดีของอาตมา ที่เรียกว่า เสขยวัตร แปลว่าข้อปฏิบัติเพื่อควรศึกษา”
3 หลักสูตรที่ว่านี้ ได้แก่
1.สมบัติผู้ดีของสามเณร ซึ่งยังไม่เคยมีที่ไหนในประเทศไทย สอนเรื่องกิริยามารยาท และการพัฒนาบุคลิกภาพของภิกษุสามเณรทั้งโรงเรียน
2.พระธรรมทูตน้อย ฝึกพระหนุ่ม เณรน้อย ให้เป็นนักเทศน์ นักสอนตั้งแต่ยังเป็นเด็ก มีการเรียนรู้เรื่องการถ่ายทอดธรรมะที่ไม่น่าเบื่อ ให้มีเนื้อหาสาระเท่าทันยุคสมัย
3.หลักสูตรนักเขียนน้อย เพื่อให้พระเณรได้เรียนรู้ถึงการถ่ายทอดธรรมะผ่านงานเขียน
“ณ ตอนนี้มีพระเณรเรียนในโรงเรียนนี้แล้วกว่า 120 รูป ซึ่งความจริงมีผู้ที่สนใจมากกว่านี้ แต่อาตมาต้องจำกัดในเรื่องจำนวน อยากทำงานในลักษณะที่เน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ จิ๋วแต่แจ๋ว เล็กแต่ลึก เราไม่ต้องการทำอะไรที่หวือหวาแต่ไม่มีเนื้อหาสาระ หรือใช้เงินเยอะแต่ได้ประโยชน์น้อยก็ไม่ทำ จึงมีการคัดกรองผู้ที่จะเข้ามาเรียน เมื่อเกิดโรงเรียนนี้ขึ้นมาแล้ว ภิกษุสามเณรในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่ชายขอบแถวนั้น จะเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา เรียกได้ว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งทางโลกและทางธรรม และอาตมามีความหวังว่า นับตั้งแต่นี้ไป 10 ปี ประเทศไทยเราน่าจะมีพระธรรมทูตดีๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากโรงเรียนเตรียมสามเณรแห่งนี้ เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมไทย” ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าว
นอกจากนี้ โรงเรียนเตรียมแห่งนี้ยังมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กกว่า 60 เครื่อง เพื่อให้นักเรียนที่เป็นภิกษุสามเณรได้เรียนรู้กัน ทั้งทางโลกและทางธรรมพร้อมกับคนทั่วโลก และห้องสมุดที่วัดมีหนังสือไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นเล่ม ให้ได้ใช้ประโยชน์ในการศึกษาหาความรู้กันอย่างเต็มที่
เฟ้นหาคนดีมาบวช
ปัญหาของสามเณรที่เป็นตุ๊ดแต๋ว ตอนนี้ถือว่ามีจำนวนมากจนน่าตกใจ ถ้าทางคณะสงฆ์ไม่เร่งรีบแก้ไขปัญหานี้จะเป็นระเบิดเวลาอีกลูกหนึ่งที่จะมาบั่นทอนทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันสงฆ์ไทย ไม่ใช่ในอนาคต แต่มันคือตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
“อาตมามีความคิดนะ ว่าอยากให้มีระบบเลือกเฟ้นและกลั่นกรองคนเข้ามาบวช มีระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ถ้ามีสองข้อนี้ สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะถ้าเราเลือกเฟ้นหาคนที่มีคุณภาพมาบวชแล้ว เราก็สามารถแก้ปัญหาได้ตั้งแต่ต้น สอง-ถ้าเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เมื่อหลุดเข้ามาบวชแล้ว เราก็ต้องสอนเรื่องสมบัติผู้ดีให้ท่าน ให้รู้จักครองตนให้สง่างาม น่า
กราบไหว้ น่าเลื่อมใส แต่ปัญหาเราตอนนี้คือขี้ยาก็บวชได้ ขี้เหล้าก็บวชได้ ขี้โรคก็บวชได้ ขี้เกียจก็บวชได้ แต๋วก็บวชได้ พอบวชมาแล้ว พระทุกรูป เณรทุกรูป ก็กลายเป็นปูชนียบุคคล”
นอกจากนี้ ท่าน ว.วชิรเมธียังเสนอแนวทางว่า ควรจะมีระบบเลือกและกรองภิกษุสามเณรที่จะเข้ามาบวช รวมทั้งจัดการศึกษาให้ ที่สำคัญควรจะหาวิธีเขียนกฎหมายเพื่อป้องกันให้คนเหล่านี้เข้าสู่สถาบันสงฆ์ได้ยากขึ้น
“คำถามจาจกคนรุ่นใหม่ก็คือ ปูชนียบุคคลดีกว่าฉันตรงไหน พฤติกรรมก็ไม่เรียบร้อย การศึกษาก็ไม่ดี บุคลิกภาพก็ไม่น่าดู นี่หรือจะยกให้เป็นปูชนียบุคคล คนรุ่นใหม่ก็ไม่เห็นด้วย คิดว่าไม่สมเหตุผล โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากโลกตะวันตกค่อนข้างเยอะ เขาไปเจออะไรที่ศิวิไลซ์กว่านี้มาแล้ว เขารับไม่ได้ พอเขารับไม่ได้ก็มีการหันหลังให้พระและวัด นั่นแสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มจะเกิดสถาบันศาสนาใหม่ขึ้นในสังคมไทย ซึ่งเรียกว่าศาสนาของฆราวาส โดยได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดีมาจากข้างนอก และมาศึกษาพุทธศาสนา และจับพุทธศาสนากันเอง และเปิดสอนวิปัสสนากรรมฐานกันเองที่บ้าน ที่โรงแรม สปอร์ตคลับ รีสอร์ต ซึ่งตอนนี้เกิดขึ้นทั่วไปหมด กลายเป็นเทรนด์แนวโน้มศาสนาใหม่ โดยที่พระเข้าไปมีส่วนร่วมน้อยมาก พระสงฆ์ถูกทิ้งให้อยู่ในวัด เพราะไม่มีการปรับตัว ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่ในอนาคต แต่คือปัจจุบัน ที่ถ้าเราไม่ตระหนักรู้ สถาบันพระสงฆ์จะถูกทิ้งไว้ด้านหลัง “
ภิกษุสามเณรอาจจะอยู่ในสังคมแบบไม่มีความหมาย คือมีตัวตน แต่ไม่มีความหมาย พูดเสียงดัง แต่ไม่มีใครฟัง ด้วยเหตุดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤตในบ้านเมืองขึ้น เสียงของพระสงฆ์จึงไม่ค่อยถูกยอมรับ
“ณ เวลานี้สังเกตไหม สังคมไทยตอนนี้ต้องการการถ่วงดุล การเตือนสติ แต่สติที่ได้รับการเตือนนั้นมาจากนักวิชาการ มาจากในหลวง มาจากตุลาการ มากกว่าสถาบันสงฆ์ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าสถาบันสงฆ์ได้ลดทอนความน่าเชื่อถือของตนไปแล้วเรียบร้อย จากการที่ด้อยคุณภาพ จากการปล่อยปละละเลยให้ถูกบั่นทอนจากเหตุการณ์ฉาวโฉ่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จากการไม่ปรับองค์กรให้เรียนรู้ที่จะเผยแผ่ในเชิงรุก ที่ถ้าไม่ยอมย้อนกลับหันมาแก้ไข ก็จะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่และหนักมาก”
ที่มาโรงเรียนเตรียมสามเณร
“ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่อาตมาบวชเณรปีแรก เมื่อ 2530 ซึ่งมีความตั้งใจว่าจะได้เรียนหนังสือ แต่เมื่อบวชแล้วก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ฝันไว้ เพราะที่วัดได้เรียนแต่สวดมนต์
เรียนแต่ธรรมะ พอเรียนได้ปีที่สอง เพื่อนที่เขาเรียนการศึกษาปกติก็เข้าเรียนต่อ ม.1 ส่วนเราได้เรียนแค่สวดมนต์ ซึ่งพอเพื่อนขึ้น ม.2 เราถึงได้เรียนชั้น ม.1”ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าว
จากการถูกปิดกั้นทางด้านการเรียนมาตั้งแต่ยังเป็นเณรน้อย ทำให้ท่าน ว.วชิรเมธี มีแนวความคิดที่อยากจะให้พระเณรสมัยนี้ได้เปิดกว้างด้วยดวงตาทั้งสองข้าง คือทั้งตาด้านทางธรรมะและตาด้านทางโลก จึงมีแนวคิดจัดตั้งโรงเรียนเตรียมสามเณรขึ้น
จากการที่ได้เข้ามาเรียนโรงเรียนมัธยมที่วัดในช่วงนั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นดั่งใจที่ท่าน ว.วชิรเมธี วาดฝันไว้แต่อย่างใด เพราะเป็นการเปิดสอนในรูปแบบของการศึกษาผู้ใหญ่ มีการใช้ครูมาจากโรงเรียนมัธยม เปิดสอนกันตั้งแต่บ่ายโมงถึงหนึ่งทุ่ม ห้องเรียนที่ใช้ก็เป็นแบบง่ายๆ บางวันครูก็มาบ้างไม่มาบ้าง ถ้าวันไหนฝนตกก็เปียกโชกกันทั้งครูทั้งนักเรียน
เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมต้นแล้ว ท่าน ว.วชิรเมธี ก็เดินทางมาเรียนต่อที่ วัดพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงราย และก็เป็นเช่นเดียวกับโรงเรียนวัดอื่นๆ ที่ให้เรียนแต่ทางธรรมะและภาษาบาลีเท่านั้น ไม่ให้เรียนทางโลกเลย
“ตอนนั้นอาตมาก็เลยรู้สึกว่านี่มัน 2534 แล้วนะ ทำไมยังมีการปิดกั้นทางการศึกษาอยู่อีก มนุษย์ถ้าจะให้สมบูรณ์จะต้องมีตาสองข้าง แต่วัดทั้งสองแห่งบอกอาตมาว่า เรามีตาข้างเดียวก็พอแล้ว คือรู้ทางธรรม แต่ทางโลกไม่ต้องไปสนใจ”
ท่าน ว.วชิรเมธี ให้ความเห็นไว้ว่า การที่อยู่ในโลกแห่งธรรมะ ซึ่งเรียนรู้แต่ธรรมมะเพียงอย่างเดียว และเมื่อหากเราไปสอนชาวโลก มันก็เกิดเป็นกำแพงแห่งภาษาได้
“คุณรู้แต่เรื่องของตนเอง แต่ไม่รู้เรื่องคนอื่น คุณจะไปสอนคนอื่นได้ยังไง ก็เหมือนมนุษย์ต่างดาวเข้ามาสู่วงโคจรของมนุษยชาติ คุณอยู่ในโลกนี้จริง แต่คุณไม่สามารถสื่อสารกับเขาได้ ก็เหมือนพระทั่วไปที่รู้เรื่องธรรมะ แต่ไม่สามารถถ่ายทอดธรรมะให้กแก่คนทั่วไปได้ เพราะท่านไม่มีความรู้ร่วมสมัยเลย เช่น ภาษาศาสตร์ อักษรศาสตร์ นิติศาสตร์ ท่านไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย
ท่านรู้เพียงธรรมะศาสตร์เท่านั้น ปัญหาของท่านก็คือ ท่านรู้แต่เรื่องของท่าน ประชาชนก็รู้แต่เรื่องของประชาชน ก็เกิดการเข้าไม่ถึงซึ่งกันและกัน”
จากห้องสมุดกลายเป็น ต.ส.
เมื่อ ท่าน ว.วชิรเมธี มีแนวความคิดที่จะให้พระภิกษุสามเณรได้เรียนรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม จึงกลับไปที่วัดครึ่งใต้ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อที่จะจัดทำห้องสมุดเท่าที่มีกำลังจะสร้างได้ เพื่อให้พระภิกษุสามเณร และประชาชนทั่วไปบริเวณนั้นได้หลงรักการอ่าน ซึ่งเมื่อมีการสร้างห้องสมุดในปี 2548 และแล้วเสร็จเมื่อปี 2550 และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้มีพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดโครงการนี้ด้วย
“อาตมาเรียกโครงการทั้งหมดว่า พระพูดได้ (train the trainer project) คือสร้างยอดคนให้เป็นยอดพระ สอนคนที่จะไปสอนคนอื่นให้ได้ดีเสียก่อน ถามว่าทำไมต้องเป็นพระพูดได้ เพราะว่าเรามีการสร้างพระอิฐพระปูนกันเต็มแผ่นดิน เมืองไทยมีพระอิฐพระปูนขนาดใหญ่ที่สุด ประมาณเทพีเสรีภาพก็มีอยู่ในเมืองไทย เล็กที่สุดขนาดต้องส่องกล้องจุลทรรศน์ดูก็มี และเป็นที่น่าสังเกตว่าวิกฤตก็เต็มแผ่นดินเช่นเดียวกัน อาตมาจึงคิดว่าพระอิฐ พระปูน พระเครื่อง จึงไม่น่าจะใช่คำตอบที่เราชาวพุทธศาสนาจะให้ชาวโลกได้ เราต้องสร้างพระเป็นๆ ที่เรียกกันว่า พระธรรมทูตขึ้นมา” ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าว
จากห้องสมุดเล็กๆ จึงกลายเป็นโครงการพระพูดได้
“เมื่อสมเด็จพระเทพฯ ได้เสด็จไปทอดพระเนตรแล้วและทรงพอพระทัยมาก รับสั่งว่าอยากตั้งโรงเรียนขึ้นมาสักแห่งหนึ่งนะ เรียกว่าโรงเรียนเตรียมสามเณร หรือ ต.ส. ดีไหม พระองค์บอกว่าเรามีโรงเรียนเตรียมแพทย์ เตรียมทหาร เตรียมอะไรหมดแล้วนะ ไม่มีใครเตรียมพระชั้นนำเลย พระดีๆ ไม่มีใครเตรียมเลย ทุกวันนี้หาพระที่เทศน์เป็นภาษาคนรู้เรื่องยากมาก ก็ฝากพระอาจารย์ไว้ด้วยนะ”
ก็เลยเป็นที่มาของโรงเรียนเตรียมสามเณรตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และกลายเป็นโรงเรียนเตรียมสามเณรในพระบรมราชูปถัมภ์ในสมเด็จพระเทพฯ จนบัดนี้ หลังจากนั้นสมเด็จพระเทพฯ ก็ได้มีการถวายพระราชอุปถัมภ์ พระราชทานอาหารกลางวัน อุปกรณ์การเรียนการสอน และส่งเจ้าหน้าที่ติดตามความคืบหน้าของโรงเรียน พร้อมทั้งมีรับสั่งว่าจะเสด็จเยี่ยมโรงเรียนพระเณรทั่วจังหวัดเชียงรายจำนวน 20 โรงให้ครบ เพื่อพัฒนาต่อยอดให้เป็นโรงเรียนเตรียมสามเณรที่มีคุณภาพต่อไป
ล่าสุด โรงเรียนแห่งนี้ยังมีโครงการพ่อแม่บุญธรรม ที่ได้เชิญชวนคนทั่วประเทศได้เป็นพ่อแม่บุญธรรมรับสามเณรโดยการบริจาคปัจจัย ซึ่งถ้าเป็นรายเดือนๆ ละ 500 บาท ถ้าเป็นรายปีๆ ละ 6 พันบาท หรือบริจาคได้ตามกำลังศรัทธา
“เราเป็นโรงเรียนการกุศล ภิกษุสงฆ์ที่เข้าเรียนมีค่าใช้จ่ายน้อยมาก รายจ่ายอื่นๆ อาศัยญาติโยมบริจาค ตอนนี้ใช่ว่าโรงเรียนเราพร้อมทุกอย่างนะ เราพร้อมที่สุดคือใจ วันที่สมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯมาเยี่ยม อาตมาจึงได้ขอพรว่าขอพระราชทานกำลังใจให้ทำโครงการนี้สำเร็จลุล่วงไป พระองค์ท่านก็รับไว้ว่าจะช่วยดูแลให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นเวลานี้ก็ยังต้องการทุนทรัพย์ในการจัดตั้งกองทุนโรงเรียนเตรียมสามเณร เพราะอาตมามีความปรารถนาว่าพระเณรทุกรูปต้องได้รับการเรียนที่ดีที่สุด ในโรงเรียนที่สมบูรณ์แบบที่สุด และถ้าภิกษุสามเณรท่านใดมีปัญญาจะเรียนให้ดีที่สุด หากมีความเป็นไปได้ เราก็อยากจะส่งเสียท่านให้ถึงที่สุด ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องมีการใช้ทุนทรัพย์พอสมควร ซึ่งหากใครสนใจจะสมทบโครงการนี้ก็สามารถติดต่อสมทบทุนได้ตลอดเวลาที่สถาบันวิมุตตยาลัย”
หากพระภิกษุตัวแทนพระศาสนา ไม่มีองค์ความรู้ใดๆ เลยนั้น ก็เป็นเรื่องยากที่จะสอนชาวโลกให้บังเกิดความรู้และทางสว่างขึ้นในใจได้
“ในความเป็นจริงเราต้องเรียนหนังสือ ถ้าเราไม่เรียนหนังสือ เราจะเอาความรู้ที่ไหนไปสอนชาวโลก โลกนี้ไม่ได้มีแต่เมืองพาราณสี คนเก่งไม่ได้มีแต่พระเจ้าอโศกมหาราช และพระเจ้าพรหมทัตเท่านั้น แต่โลกนี้เป็นโลกซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลในแง่ของความรู้ ในแง่ของอารยธรรม แต่ที่ผ่านมาเราถูกครอบโดยอารยธรรมเดียว คือ อินเดียธรรม เราคิดว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่ดีที่สุดเพราะเป็นเมืองพระพุทธศาสนา อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ อาณาจักรพระเจ้าอโศกมหาราช เรามีความรู้กันแค่นี้เท่านั้นเอง ซึ่งจริงๆ มันมีมากกว่านั้นมาก”
เป็นโรงเรียนเตรียมที่แตกต่างจากโรงเรียนเตรียมอย่างอื่นในแง่ของความรู้หรือวุฒิปริญญาที่ผู้ศึกษาจะได้รับ
“โรงเรียนเตรียมอย่างอื่นจบแล้วได้ปริญญาใบเดียว โรงเรียนเตรียมสามเณรได้ 2 ปริญญา คือปริญญาวิชาชีพ ท่านเรียนรู้ทางโลกได้ พอๆ หรือดีกว่าชาวบ้าน ม.1 ถึงปริญญาเอก ถ้าท่านเรียนให้ดี เราสามารถหาทุนให้ได้จนถึงขั้นสูงสุด และสองคือปริญญาวิชาชีวิต ท่านจะได้เรียนธรรมะอย่างลึกซึ้งและรอบด้าน นั่นทำให้ท่านกลายเป็นคนที่สมบูรณ์แบบต้องมีตาสองข้าง คือ 1 มีตาทางโลก คือมีความรู้ไว้สำหรับทำมาหากิน 2 มีความรู้ทางธรรม สำหรับการบริหารจัดการกิเลส อยู่ในโลกอย่างมีความสุข”
“ที่นี่เป็นโรงเรียนที่สอนให้คนได้รับปริญญาทั้งสองใบในขณะเดียวกัน ขณะที่สถาบันการศึกษาทั่วไปเน้นปริญญาใบเดียว ให้คนได้รับปริญญาทางสมอง แต่หลงลืมหัวใจ โรงเรียนแห่งนี้ให้การศึกษาทั้งหัวสมองและหัวใจไปพร้อมๆ กัน นั่นจะทำให้คนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพทั้งทางโลกและทางธรรม พูดง่ายๆ ว่าก้าวออกไปใช้ชีวิตทางโลกก็กลายเป็นคนที่มีคุณธรรม ถ้าอยู่ในเส้นทางศาสนาก็กลายเป็นทูตชั้นนำที่ทำให้คนกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ”
*************
เรื่อง: มาลิลี พรภัทรเมธา
ภาพ: ธัชกร กิจไชยภณ