xs
xsm
sm
md
lg

40 ยังแจ๋ว!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



 
     ห้วงปีที่ผ่านมา วงการแฟชั่นได้ฮือฮากับปรากฏการณ์สุดยอดนางแบบโลกวัยใกล้เลข 4 และต้นเลข 4 เป็นต้นว่า Linda Evangelista, Cludia Schiffer, Stephani Seymour, Naomi Campbelที่กรีทาทัพกันมาทวงคืนบัลลังก์ ทั้งยังยึดสัญญากับแบรนด์ชั้นนำอย่าง Chanel, Prada, Salvatore Ferrgamo , Louis Vuitton และอีกหลากหลายแบรนด์ ชนิดที่นางแบบรุ่นกระเตาะเอ๊าะใสเด้ง ได้แต่มองตาละห้อย กลืนน้ำลายดังเอื้อก

     ใครว่าคนวัย 40 ใกล้หมดไฟ...เราไม่เชื่อ!

            ............

     ไม่เพียงปรากฏการณ์ในแวดวงแฟชั่นระดับโลก แต่พลังมหัศจรรย์ของคนวัย 40 ปี ยังเดินหน้า ท้าทายคนหนุ่มสาวอยู่แทบทุกวงการ และด้วยเชื่อมั่นในแรงใจที่ไม่เคยมอดดับ ‘ปริทรรศน์’ อาสาพาไปพูดคุยกับ 4 สาวสวยหลากวงการของเมืองไทย เจ้าของวัยต้นและปลายเลข 4 ที่ต่างก็สวยและโดดเด่นในแบบฉบับของพวกเธอ

 
     ไม่ว่า สวยแบบซุปเปอร์โมเดล, สวยประจำกระทรวง, สวยแบบนักอนุรักษ์ ผู้ใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่สวยแบบแม่ค้าขายยำปลาดุกฟู เราก็ไม่มองข้าม ยินดีไปพูดคุยกับคนสวย ในแต่ละบทบาทที่เธอเหล่านั้นเป็นอยู่

     เริ่มด้วย...

สวยแบบซุปเปอร์โมเดล

     เชื่อว่าหนุ่มๆ หลายคนคงหลับตาพริ้ม ส่วนสาวๆ หลายคนแอบอิจฉา เมื่อเอ่ยชื่อ แอน-อังคณา ทิมดี เจ้าแม่เซ็กส์บอมบ์และสุดยอดนางแบบคนหนึ่งของเมืองไทย เจ้าของสัดส่วนตุ๊กตาบาร์บี้ อกอึ๋ม เอวคอดกิ่ว สะโพกผายได้รูปสวย แม้ในวัยล่วงเข้าเลข 4

 
     เมื่อถามว่า อะไร? คือสิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลเรือนร่าง แอนตอบเราอย่างชัดเจน ว่า

     “เรื่องการดูแลรูปร่างของตัวเอง แอนให้ความสำคัญกับทุกส่วนในร่างกายเท่ากันหมด ใส่ใจนับแต่หัวจรดเท้า” แน่ล่ะ หากไม่ใส่ใจร่างกายทุกส่วนอย่างพิถีพิถัน เราคงไม่ได้เห็นรูปร่างสมบูรณ์แบบของเธอที่ยังคงเฉิดฉายเปล่งประกายตั้งแต่ยังสาว ตราบกระทั่งวันนี้

     แอนบอกกล่าวกับเราอย่างตรงไปตรงมาว่า ด้วยอาชีพของเธอที่มีรูปโฉมเป็นเสมือนตราประทับ ทำให้เธอไม่ปฏิเสธตัวช่วย อย่างครีมนวดกระชับหน้าอกที่เธอนวดดูแลตัวเองมาตั้งแต่ยังเป็นสาวแรกรุ่น รวมถึงอาหารเสริมต่างๆ อย่างไรก็ดี สิ่งเหล่านั้น เป็นแค่เพียง ‘ตัวช่วย’ หากสิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่วินัยและความใส่ใจตนเองทั้งสิ้น แม้แต่เรื่องอาหารการกิน

     “ปรกติแอนจะไม่ทานแป้ง แต่เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้เราอ้วน ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเราทั้งนั้น เราหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้ว ต้องไม่ตามใจปาก อะไรที่ทานแล้วอ้วนก็หลีกเลี่ยงซะ ไปทานอะไรที่ทำให้เราย่อยง่ายๆ ดีกว่า”

     นับแต่เข้าวงการมา วันหนึ่งๆ แอนมีเวลานอนไม่เยอะนัก แต่ถามว่าล้าไหม? เธอบอกว่าชินแล้ว เพราะยึดอาชีพนางแบบมานับ 10 ปี และถ้าสงสัยว่า นอนไม่พอแต่ทำไมยังเปล่งปลั่ง ดูไม่แก่ แอนเผยเคล็ดไม่ลับที่เอาชนะริ้วรอยต่างๆ ว่า

     “การออกกำลังกายค่ะ สำคัญที่สุด ทำให้ผู้หญิงเราไม่แก่เร็ว แต่ข้อควรระวังคือไม่ควรหักโหม ควรออกกำลังกายให้พอเหมาะพอดีกับร่างกายของเราดีกว่า มากเกินไปก็เจ็บป่วยได้ เป็นอันตรายกับสุขภาพอีก ควรทำทุกอย่างให้มีความสมดุล”

     ต่อเมื่อหาจุดสมดุลของการออกกำลังกายหรือพบว่ากีฬาใดที่เหมาะกับตัวเองแล้วนั่นแหละ หลายคนคงเห็นไม่ต่างกับแอน ที่ย้ำว่า

     “การออกกำลังกายนี่แหละค่ะ ดีที่สุดแล้ว”

     และเชื่อไหมว่า เห็นหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์ม กล้ามเนื้อกระชับแบบนี้ก็เถอะ แต่ฟิตเนสหรูๆ ในห้างสรรพสินค้าหรือในตึกกระจกติดแอร์ทั้งหลายที่มีอยู่เกลื่อนเมืองนั้น ไม่เคยได้แอ้มเธอหรอก เพราะ

     “แอนไม่เคยไปเล่นฟิตเนสเลย จะออกกำลังกายด้วยตัวเองตลอด”

     ทั้งนี้ เซ็กซี่บอมบ์ อย่างแอน ยังฝากข้อคิดถึงสาวๆ ที่กำลังตกอยู่ในกระแสคลั่งไคล้ความผอม ว่า

     “ผอมมากเกินไปไม่สวยหรอกค่ะ เอาพอดีๆ ดีกว่านะคะ อย่าไปยึดติดกับภาพนางแบบผอมๆ คนเราจะมีสุขภาพดีได้ไม่จำเป็นต้องผอมค่ะ”

     ไม่เพียงใส่ใจเรือนร่างให้เช้งวับ หากแอนยังทิ้งท้ายกับเรา ถึงอีกสิ่งหนึ่งที่เธอยึดถือไว้ตลอดการทำงานในอาชีพนางแบบ

     “นอกจากการดูแลตัวเองแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับแอน คือ การซื่อสัตย์กับอาชีพของตัวเอง นั่นคือ ต้องมีสัมมาคารวะ มีวินัยในการทำงาน ตรงต่อเวลา”

             ..........

สวยประจำกระทรวง

     “สัปดาห์หนึ่ง แป้งทำงาน 5-6 วัน เลิกงานไม่ตรงเวลา บางวันก็เลิกเร็ว บางวันก็เลิกช้า มีเวลานอนในแต่ละวันประมาณ 6 ชั่วโมง”

     แป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ บอกกล่าวกับเราถึงเวลาพักผ่อนในชีวิตประจำวันอันแสนยุ่งขิงของเธอ

     คงไม่เกินเลยความจริงไปมากนัก หากจะกล่าวว่า ตำแหน่ง 'ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์’ ที่แป้งรับผิดชอบอยู่ ส่งให้เธอกลายเป็นสาวสวยประจำกระทรวง ที่ได้รับการจับตามอง ทั้งในเรื่องของการทำงานทีเปลี่ยนบทบาทจากนักธุรกิจไฟแรง มุ่งมั่น มาเป็นข้าราชการการเมืองคนหนึ่ง

 
     แต่ด้วยสปอร์ตไลท์ของใครต่อใครที่จับจ้องการทำงานของเธออยู่มากมายพอสมควร เราจึงขอละไว้ไม่ล้วงลึก แต่ขอพูดคุยกับแป้ง ด้วยเรื่องราวเบา ๆ จิปาถะ สัพเพเหระ ด้วยเหตุผลง่ายๆ แค่เพราะราอยากรู้ว่า คนสวยประจำกระทรวงคนนี้ ใช้จ่ายเวลาหรือดูแลตัวเองในยามว่างเว้นจากการงานอันหนาหนักอย่างไรบ้าง

     “จริงๆ แล้วแป้งไม่ใช่คนดูแลตัวเองนัก ถ้าจะคุยเรื่องความสวยความงามกับแป้ง ก็คงคุยผิดคนแล้วค่ะ แป้งทานอาหารก็ไม่ครบ 5 หมู่ ทานคาร์โบไฮเดรต น้อยมาก ไม่ค่อยออกกำลังกายด้วย แต่ตอนนี้จะเริ่มวิ่งบนลู่วิ่งแล้วค่ะ”

     แป้งบอกว่า เธอเป็นคนเล่นกีฬาไม่เก่ง แต่ลูกสาวสุดที่รักชอบเล่นกีฬา ชอบตีกอล์ฟ เล่นเทนนิส เพราะฉนั้นถ้ามีเวลา เธอก็จะไปตีเทนนิสเป็นเพื่อนลูกบ้าง ถือว่าตัวเองก็ได้ออกกำลังกายไปด้วย และนอกจากความตั้งใจที่จะเริ่มออกวิ่งบนลู่แล้ว แป้งยังเผยถึงวิธีคลายเครียดหลังจากกรำงานมาทั้งวัน ด้วยวิธีง่ายๆ ในแบบของเธอ

     “เวลาเครียดๆ แป้งชอบดูโทรทัศน์ ดูทั้งข่าว ดูทั้งละคร ดูทุกเรื่องเลยค่ะ ‘ดงผู้ดี’ และอีกหลายๆ เรื่องที่กำลังออกอากาศหรือจบไปแล้ว แป้งก็ดูทั้งนั้น”

     นอกจากนี้ แป้งยังมีงานอดิเรกที่น่าเอาเยี่ยงอย่าง นั่นก็คือ

     “ถ้ามีเวลาว่าง แป้งชอบอ่านหนังสือ อ่านได้ทุกแนวค่ะ ไม่ว่าตำราประวัติศาสตร์ทั้งของไทย ของต่างประเทศ หรือนิยายไทย นิยายแปลก็อ่านได้หมด ส่วนนักเขียนในดวงใจก็มีที่ชื่นชอบหลายคน แต่ถ้าเป็นนักเขียนที่แป้งรู้สึกว่า เขียนเรื่องราวสะท้อนชีวิตผู้คนในสังคมได้ดี แป้งชอบงานของคุณ ‘กฤษณา อโศกสิน’ หรืองานของ อาจารย์ 'ประทุมพร วัชรเสถียร' แป้งก็ชอบ ส่วนสิ่งแรกๆ ที่จะหยิบมาอ่านในแต่ละวัน คือหนังสือพิมพ์ เพราะทำให้เราเป็นคนทันต่อโลก ทันต่อเหตุการณ์ต่างๆ อยู่เสมอ”

     และเพราะรักการอ่านเป็นชีวิต ในบางครั้งเมื่อพบกับปัญหา ตัวอักษรที่ร้อยเรียงผ่านสายตาก็สามารถหยิบฉวยมาใช้ได้ ดังคำบอกกล่าว ที่ว่า
     “บางครั้งแป้งก็ได้ข้อคิดจากหนังสือมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต”

     ส่วนทัศนคติในการมองโลก แป้งบอกว่าเธอไม่ใช่คนคิดบวกและไม่ถึงขั้นติดลบ เอาเป็นว่ามองโลกแบบกลางๆ มองมันอย่างที่มันเป็น และเมื่อมีปัญหาเครียดๆ เกิดขึ้นในชีวิต แป้งจะใช้วิธีโทรศัพท์พูดคุย ขอคำปรึกษาจากเพื่อนสนิท แต่ถ้าไม่มีใครอยู่ข้างๆ ขณะที่ปัญหากำลังก่อตัวขึ้น ณ ตอนนั้น แป้งจะ...
     "ตั้งสติดีๆ ค่อยๆ คิด ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น ส่วนหลักสำคัญที่ยึดในการทำงานก็คือ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”

     แม้จะทุ่มเทกับงานเกินร้อยจนไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองนัก แต่แป้งก็ไม่ลืมฝากข้อคิดเรื่องการใส่ใจสุขภาพถึงคนอื่นๆ

     “ชีวิตคนเราสั้น เพราะฉะนั้น การใช้ชีวิตให้มีสุขภาพร่างกายที่ดี แข็งแรง เป็นสิ่งสำคัญมาก อยากให้ทุกคนดูแลสุขภาพของตัวเองเป็นสิ่งแรกและใส่ใจให้มากกว่าสิ่งอื่นๆ”

              ….........

สวยประจำแผง

     “แม่ค้าสวยๆ มีผลกับรายได้ไหม ช่วยให้ขายของดีขึ้นหรือเปล่า? ”

     “มันก็มีผลอยู่นะ แม่ค้าสวยๆ หรือแม่ค้าที่สะอาดสะอ้าน แต่งตัวดูดีก็เชิญชวนลูกค้า เจริญหูเจริญตา ถ้าแม่ค้าแต่งตัวรุงรังรุ่มร่าม ก็ไม่น่าซื้อ โดยเฉพาะถ้าขายอาหาร แม่ค้าก็ควรดูแลตัวเองให้ดี ให้ดูสะอาด”

     พิมผกา แก้วพงค์ แม่ค้าขายยำปลาดุกฟู ย่านตลาดเทเวศร์ เอ่ยกับเรา
 
     อันที่จริง แม่ค้าหลายคนในย่านดังกล่าวแต่งตัวมีสีสันชวนมอง แต่ ‘พี่พิม’ ดึงดูดเราด้วยผิวสวยอย่างสาวเมืองเหนือ ผมสีดำสนิทยาวเหยียดตรงถึงกลางหลัง หน้าตาที่เปลือยผิวให้หายใจ ไร้เครื่องสำอางปกปิด
 
     สำคัญกว่านั้น สิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจหยุดอยู่หน้าแผงปลาดุกฟู ก็คือ รอยยิ้มขวยอายที่มาพร้อมคำค้านเบาๆ จากพี่พิม ว่า “พี่สวยตรงไหนกัน?”

     ปล่อยให้พี่พิมแก้เก้อนิดหน่อย แล้วบทสนทนาระหว่างเราก็เริ่มต้น

     “แม่ค้าอย่างเรา ถึงจะอยากสวยแต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาแต่งตัวเหมือนคนอาชีพอื่นๆ หรอก” พี่พิมบอกกล่าว เมื่อถูกถามว่าการที่แม่ค้าต้องดูแลตัวเองให้สวยเพื่อให้ลูกค้าเห็นแล้วชื่นใจนั้น เหน็ดเหนื่อยกว่าคนสวยในอาชีพอื่นๆ หรือเปล่า?

     อาจเพราะไม่ค่อยมีเวลา พี่พิมจึงเลือกที่จะโปรยยิ้มแบบธรรมชาติและแต่งตัวแบบทะมัดทะแมง มากกว่าจะแต่งหน้าทาปากหรือทำสีผมสดสวย

 
     “แต่เวลาเห็นแม่ค้าสวยๆ พี่ก็รู้สึกว่าเขาดูดีนะ ชวนให้เราอยากซื้อของ อยากอุดหนุน”

 
     และแน่นอน ขึ้นชื่อว่า 'แม่ค้า' การพบเจอกับลูกค้าผู้ชายที่มาขายขนมจีบหรือ ‘ก้อร่อก้อติก’ ย่อมเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง ทั้งเมื่ออีกฝ่ายเป็นลูกค้า ดังนั้น จะหนีก็ไม่ได้ จะด่าให้เปิงเปิดตูบแนบเหมือนในละครหลังข่าวก็หาใช่วิสัยแม่ค้าอาชีพ

     วิธีตอบโต้ของพี่พิม เด็ดกว่านั้น เพราะ

     “จีบตอบไปเลย” พี่พิมหัวเราะเสียงลั่น ก่อนเล่าอย่างอารมณ์ดีว่า

     “พี่ก็แซวเขากลับไปเล่นๆ ไม่เคยโกรธหรอกเวลาลูกค้าจีบ เขาก็ชวนคุยและแซวกันสนุกๆ มากกว่า แล้วส่วนมาก เขาก็รู้ว่าเรามีแฟนแล้ว แหม ก็แก่แล้วนะ พี่อายุ 43 แล้ว แก่ปูนนี้”

     จะว่าไป ถ้าไม่สวย ไม่แต่งตัวชวนมองดึงดูดใจ แล้วอะไรคือสิ่งสำคัญที่แม่ค้าควรยึดถือ?

     “รอยยิ้มไง เวลามีคนมาซื้อของแล้วเรามีรอยยิ้มให้เขา พูดจาดีๆ พูดเพราะๆ กับลูกค้า ปากไม่จัด อย่างพี่เองก็ปากไม่จัดนะ เวลาลูกค้าเลือกของ เราก็ปล่อยให้เขาเลือกตามสบาย แม่ค้าบางคนเขาจะด่านะ ถ้าเห็นลูกค้าหยิบจับ เลือกของ”

     แต่นั่นล่ะ แม่ค้าก็คนเหมือนกัน จะไม่ให้โกรธ หรือโมโหเลยสักนิด ก็คงเป็นไปไม่ได้

     “บางทีพี่เองก็โมโหนะ เคยด่าลูกค้าบ้างเหมือนกันแหละ ก็เคยมีลูกค้าคนหนึ่ง มาเลือกหยิบปลาเราอยู่ตั้งนาน แล้วก็ไม่ซื้อ คือเขาสั่งปลาเรา เราก็เอาใส่ถุงให้ แล้วพอจะยื่นให้เขาก็บอกไม่เอาแล้ว แล้วก็เดินไปเลย ตอนนั้นพี่โมโห ก็ด่าไปเลยนะ” พี่พิมสารภาพกับเรา ก่อนอธิบายเพิ่มเติม

     “แต่ส่วนมากพี่จะไม่ค่อยโกรธหรอก อาจไม่ถึงกับโปรยยิ้มหวานตลอดวัน แต่ก็พูดจากับลูกค้าดีๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสเวลาพูดคุย และถึงอย่างไร แม่ค้าก็ควรพูดจาดีๆ ไม่ด่าลูกค้า เพราะเขามาซื้อเรา ไม่ได้มาขอ”

     พี่พิมย้ำทิ้งท้ายถึงจิตวิญญาณแม่ค้า ที่จากบ้านเกิดจังหวัดเชียงราย มาตั้งแผง ณ ตลาดเทเวศร์ นานถึง 15 ปี ก่อนเปลี่ยนจากขายผลไม้ มาขายยำปลาดุกฟูที่มีลูกค้าประจำเป็นคนทุกเพศวัย

               .........

สวย...รักษ์โลก

     “เราจะสวยได้ยังไง ถ้าอากาศที่เราหายใจเข้าไปอยู่ทุกวันมันทุเรศมาก ไม่ว่ายังไงเราก็คงไม่สวยหรอก ถ้าเราหายใจเอาอากาศสกปรกเข้าไป จริงไหม?”

     ยังยึดมั่นในเจตนารมณ์นักอนุรักษ์ไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับ ดร. อ้อย-สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ เลขาธิการมูลนิธิโลกสีเขียว ที่แม้วันนี้ จะออกตัวว่า “พี่ไม่สวยหรอกค่ะ ตอนนี้เยินมาก อายุก็ปาเข้าไปจะ 50 ปีแล้ว”

     แต่ 'ดร. อ้อย' คนนี้นี่แหละ ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งของ 'มูลนิธิ สืบ นาคะเสถียร' หลงรักหัวปักหัวปำ ทั้งเคยประกาศว่าจะต้องแย่งชิง ดร.อ้อย มาจากสามีคือ บก. จอบ-วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ แห่งนิตยสาร'สารคดี'ให้ได้
 
     แน่ล่ะ มันอาจฟังเป็นมุกตลกทะเล้นขำขันห่ามห้าว แต่น้อยคนนัก ที่เมื่อได้รู้จักแล้ว จะไม่หลังรักหรือแอบปลื้มผู้หญิงเก่งคนนี้ เพราะไม่ว่าคลุกวงใน หรือชื่นชมอยู่วงนอก 'ดร. อ้อย' ในสายตาใครหลายๆ คน ก็ยังคงเปี่ยมเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย เช่นเดียวกับจิตสำนึกในการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ภารกิจในการพิทักษ์และเรียกร้องให้มนุษย์เลิกเอาเปรียบทรัพยากรธรรมชาติ ก็ไม่เคยจางหายไปจากใจ

     แม้ในวันนี้ ที่ ดร. อ้อย สละเวลาในการปฏิบัติภารกิจ มาพูดคุยกับเรา

     “พี่กำลังสำรวจเรื่องไลเคนในกรุงเทพ ( ไลเคน คือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการพึ่งพา กันของสาหร่ายและรา มักพบในที่ๆ มีอากาศบริสุทธิ์ ) เมื่อได้ศึกษาเรื่องราวของเจ้าพวกนี้ ก็ทำให้รู้ว่าปัจจุบันสถานการณ์ของสภาพอากาศในกรุงเทพแย่มาก
 
     "ทุกวันนี้ คนกรุงเทพเราทำร้ายตัวเองและทำร้ายคนอื่นมากเหลือเกิน ในอนาคต เมื่อหันกลับมามอง เราคงหัวเราะเยาะที่คนกรุงยุคนี้ บ้ากันถึงขนาดนี้ คุณขับรถเอาเชื้อเพลิง เอาน้ำมัน ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่หายาก ใช้เวลาสั่งสมตั้งหลายล้านปีแล้วเอามาเผาไหม้ในพริบตาเดียว เพื่อให้รถติดแล้วเราก็หายใจไม่ออก แต่เราทุกคนก็เห็นเป็นความเคยชิน มองมันเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ปกติ”

     ดร. อ้อย มองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะแทนที่เราทุกคน ควรจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ มีที่ให้เดินออกกำลังกาย สูดอากาศ มีเลนสำหรับขี่จักรยานโดยไม่ต้องกลัวรถยนต์เฉี่ยวชน แต่ทว่า …

 
     “ทำไม่ได้ เพราะมันถูกเบียดเบียนโดยคนที่ใช้รถยนต์ สิ่งสำคัญประการแรกสุดสำหรับคนเมือง ถ้าคุณอยากมีสุขภาพที่ดี คุณก็ต้องลดจำนวนรถยนต์ เพื่อให้อากาศดีขึ้น ให้คนขี่จักรยานได้มีพื้นที่อย่างเต็มที่บนถนน แต่ทุกวันนี้แค่ตัวพี่เองอยากจะขี่จักรยาน สามีก็ยังกลัวว่าพี่จะตาย เพราะมันอันตรายมาก”

 
     ไม่ใช่แค่อุบัติเหตุไม่คาดฝันที่น่าหวาดหวั่น แต่มลภาวะเป็นพิษก็ร้ายกาจไม่แพ้กัน ดังเหตุการณ์ที่ ดร . อ้อย เคยประสบกับตัวเองแล้วเล่าให้เราฟังว่า เย็นย่ำวันหนึ่ง เคยขี่จักรยานจากย่าน ราชประสงค์ กลับมาบ้านที่สุขุมวิท 28

     หลังจากนั้น ...

     “เชื่อไหมว่าพี่เป็นหลอดลมอักเสบเลย เพราะอากาศมันเต็มไปด้วยมลพิษ ผ่านไป 2-3 อาทิตย์ ก็ยังไม่หาย ต้องพ่นยาปฏิชีวนะ จากวันนั้นเป็นต้นมา ถ้าจะขี่จักรยานพี่ต้องใช้หน้ากากกันพิษ เห็นไหมว่า มันเป็นภาระกับสิ่งแวดล้อม ที่คนขับรถยนตร์เขาไม่เคย 'จ่าย' ให้กับคนอื่นที่ถูกเบียดเบียน แล้วเราทุกคนก็คิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ ทั้งที่มันคือเรื่องเสียหาย คือเรื่องที่ไม่ดี
 
     "ตราบใดที่กรุงเทพไม่มีกฎหมายออกมาบังคับใช้ เรื่องลดการใช้รถยนตร์ เราก็อาจเป็นมะเร็งโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ เวลาเดินพี่ก็จะใส่หมวกกันแดด แต่เวลาปั่นจักรยานจะใส่หน้ากากแบบดาร์ธเวเดอร์เลยค่ะ เพราะมันช่วยให้หายใจง่ายกว่า แล้วก็เป็นการประท้วงคนขับรถด้วย ”

     ดร.อ้อย ยังเชื่อว่า มีคนอีกจำนวนมากที่อยากเดิน อยากขี่รถจักรยาน เพื่อประหยัดพลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพียงแต่ไม่มีพื้นที่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ต้องส่งเสียงไปถึงกรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่รัฐทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการร่วมกันทำให้กรุงเทพมีพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้น

     แต่หากเสียงของประชากรเมืองหลวงที่ต้องการอากาศบริสุทธิ์ ไม่ได้รับการใส่ใจ นั่นก็ไม่ใช่เหตุผล ที่ทุกคนจะเอาแต่รอคอยการหยิบยื่นจากรัฐ ดังที่ ดร. อ้อย ย้ำอย่างนักแน่น

     “เราทุกคนต้องตระหนักด้วยว่า แม้เจ้าหน้าที่รัฐเขาไม่ทำ ตัวเราเองก็ต้องทำ ต้องช่วยกันแก้ไข เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องของคนทุกคน”

               …......

     ใครกัน บอกว่าโลกขับเคลื่อนด้วยพลังของคนหนุ่มสาว
แท้แล้ว คงต้องบอกว่า โลกขับเคลื่อนด้วย ‘หัวใจที่ยังหนุ่มสาว-ไม่โรยแรง’ ต่างหาก

              ..........

     เรื่องโดย : รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล

-ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ตและนิตยสาร Slim up




Stephani Seymour


Linda Evangelista
Naomi Campbel

Cludia Schiffer
กำลังโหลดความคิดเห็น