บนความน่าสนใจ
นอกจากเธอจะเป็นหนึ่งในทายาทธุรกิจโรงแรมในเครืออิมพีเรียล (ปัจจุบันขายกิจการให้เจริญ สิริวัฒนภักดีไปแล้ว) เป็นนักร้องวง “Blissonic” เป็น DJ.คลื่น MET 107 MHz แล้ว บิ๋มยังเป็นสาวรักสิ่งแวดล้อมตัวจริงเสียงจริงอีกต่างหาก...!
ในวันที่คนเมืองต่างเจอสภาพอากาศเล่นตลก M-Lite ถือร่มฝ่าสายฝน สวมวิญญาณ “วิลเลี่ยม แม็คโดโนห์” คนที่นิตยสาร Time เคยเรียกว่า “วีรบุรุษรักษ์โลก” ที่เดินออกไปเยี่ยมบ้าน “คนดังฮอลลีวูด” เพื่อพูดคุยเรื่อง การตื่นรู้ สีเขียว (และมาเขียนหนังสือขายดีอย่าง the green book)
เพื่อเยี่ยมชม (และพูดคุย) บ้านขนาดกะทัดรัด ก้น ซ.เอกมัย 12 ของ “มณีรัตน์เรเชล ฮุนตระกูล” บ้าน ที่เรียบ เท่ และยืนอยู่บนหลักแนวความคิด Green
“บ้านหลังนี้เป็นการ Mix & Match ขั้นรุนแรงค่ะ” บิ๋มเล่ากลั้วหัวเราะ
“จริงๆ แล้วมันเป็นบ้านเก่าอายุ 40 ปี คือคุณพ่อ-แม่ สามี (พีท ตันสกุล) เปิดให้คนเช่า แต่พอเราแต่งงานและต้องมาอยู่ที่นี่ ก็เลยรวมเงินกันแล้วบอกว่าพวกเราต้องทำบ้านใหม่ เพราะว่ามีหลายจุดที่ไม่ลงตัวก็รื้อใหม่จนเหลือแต่โครงสร้างค่ะ”
Concept หลักๆ เราตกลงกันว่าอยากให้บ้านมันโล่งๆ จึงดีไซน์ให้มันมีหน้าต่าง-ประตูใสหลายๆ จุด จะได้ไม่เปลืองค่าไฟฟ้า
“เฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านก็เอาของที่มีอยู่มาดัดแปลงค่ะ อย่างตู้โชว์ใบนี้ก็เอามาทำใหม่ เตียงเก่าตัวนี้ก็เป็นของคุณปู่ โต๊ะทำงานไม้ก็ของพี่พีทตั้งแต่เขาเรียนอยู่อเมริกาเขาก็หิ้วกลับมาด้วย โคมไฟ สภาพกลางเก่ากลางใหม่ก็ถอดมาจากโรงแรมของคุณพ่อ โต๊ะกินข้าวก็ของคุณแม่สามี ตู้ใส่รองเท้าชิ้นนี้ก็ของคุณย่าบิ๋ม ซึ่งดูแล้วมันใหญ่มากเลยตั้งใจว่าจะเอาดัดแปลงเป็นตู้หนังสือค่ะ”
“คิดว่าในชีวิตนี้ เราไม่น่ามีรองเท้าเยอะขนาดนั้นหรอก” บิ๋มบอก
คุณเห็นกระจกประตูเป็นลายดอกไม้สีแสบที่ดูเก่าๆ เชยๆ นั่นไหม บิ๋มถาม มันเป็นของคุณแม่ ซึ่งพอน้ำมา Mix กับบ้านสีเรียบๆ แล้ว ก็ทำให้มีสีสัดเพิ่มขึ้นดี ตู้ไม้สีจัดๆ นั่นก็เพิ่งได้มาเพิ่มบรรยากาศในบ้านด้วยราคาถูกๆ
“จริงๆ บิ๋มเป็นคนชอบสีสันมากๆ ค่ะ แต่พี่พีทเป็นคนกลัวสีมากๆ” เธอหยุดหัวเราะ
“เราก็จะใช้วิธีตะล่อมๆ เขา อย่าง Wallpaper สีสดลายนกที่เอามาเสริมสีสันตรง Zone โต๊ะกินข้าว แรกๆ พี่พีทก็กลัวๆ นะ แต่เราหลอกเขาว่าแพงนะ ไม่ติดมันจะพังเขาก็ Ok คือสไตล์พี่พีทเขาจะแมนๆ ชอบสีอะไรที่เป็นแบบพื้นๆ ดำ เทา เป็นสีนิ่งๆ ขรึมๆ แต่บิ๋มชอบสี COLORFUL”
หาความลงตัวของ 2 รสนิยมอย่างไร…? พี่พีทยอมไงค่ะ บิ๋มหัวเราะ
“ทุกๆ ครั้งที่มีคนถามแบบนี้ เราจะชี้ให้ดูเคาน์เตอร์สีครึมๆ กับเก้าอี้ก็สีม่วงอมชมพูตัวนั้น คือถ้าให้เปรียบเทียบคือมันคือตัวตนของเราทั้งคู่ที่ดูขัดและไม่เข้ากัน แต่พอมาอยู่ใกล้ๆ กันแล้วมันดูบาลานซ์ได้ดีเหมือนเรา 2 คน”
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ-ตกแต่งของบ้านหลังนี้ เหนือสิ่งอื่นใด บิ๋มย้ำว่า จะต้องยืนหยัดอยู่บนแนวคิดทำร้ายสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่ทำลายโลกใบนี้ เป็นสิ่งที่เราคำนึงที่สุด เชื่อหรือเปล่าเราอยากจะได้โต๊ะไม้สักสักตัวเลย ยังไม่กล้าซื้อ เพราะไม่รู้ว่าเขาไปตัดมันมาจากป่าไหน อย่างบิ๋มอยากได้เก้าอี้สักตัวบิ๋มก็มามองว่าเก้าอี้ทรงเก่าๆ บ้านเราก็มีเยอะ เราก็ไปซื้อผ้าสีสันๆ แบบที่เราชอบ แล้วเอาเก้าอี้ที่มาไปบุใหม่ นอกจากไม่ทำร้ายโลกด้วยการ Reduce, Reuse, Recycle สิ่งของรอบๆ ตัวแล้ว ราคาก็ไม่แพงแถมเก๋ยังไม่เหมือนใครอีกด้วย”
อีกนั่นแหละ นอกเหนือ Green จากการดีไซน์และตกแต่งบ้านแล้ว บ้านหลังนี้แทบไม่มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นเคมีเลย บิ๋มบอกว่าเป็นความตั้งใจของชีวิตที่ทำมาหลายปีแล้ว
“คนมักจะถามว่าจะเป็นแบบเราต้องทำอย่างไร บิ๋มก็จะแนะนำเขาว่าทุกอย่างมันต้องมีนับ 1 ซึ่งแรกๆ เราเลิกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเคมีก็เคยทะเลาะกับแม่บ้านนะ เพราะเขาชอบหอมๆ เราก็ถามว่าเธอว่ากลิ่นของความสะอาดคืออะไร เขาก็ไม่รู้ แต่ไม่น่าจะใช่กลิ่นหอมๆ ของเคมี เราว่ากลิ่นความสะอาดคือไม่มีกลิ่นอะไรเลย บ้านนี้เราอยากให้มันเป็นธรรมชาติเท่าที่จะเป็นไปได้ค่ะ”
สำหรับนิยามของบ้านแล้ว บิ๋มเชื่อว่า บ้านคือทุกๆ อย่าง
“พูดง่ายๆ นอกจากไปทำงานแล้ว ในหนึ่งอาทิตย์บิ๋มออกไปข้างนอกน้อยมากๆ ดังนั้นเราจึงทำให้บ้านให้ออกมาเป็นแบบที่ชอบคือ” แบบที่ชอบคือ ทำร้ายโลกใบนี้ให้น้อยที่สุด…!
และนี่เป็นสไตล์การตกแต่งบ้าน เป็นไลฟ์สไตล์ชีวิตที่เรียบ เท่ห์ เน้นเนื้อหามากกว่ารูปแบบหวือหวา สามารถจับต้อง และใช้ได้จริง…!
ไม่รู้ทำไมเราเห็นบ้าน มีแต่สีเขียว...เป็นสีเขียวของธรรมชาติรวมทั้งหัวใจเธอ
................................................
Q : อะไรคือจุดเริ่มต้นในการรักสิ่งแวดล้อม
A : บิ๋มว่าคุณแม่เพราะท่านปลูกฝังมาตั้งแต่จำความได้ ซึ่งจริงๆ ครอบครัวเราไม่ใช้ทรัพยากรเปลืองมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ ซึ่งพอมามีบ้านของตัวเองเราก็รู้ว่าต้องจัดการอะไรบ้าง
ในบ้านที่ทำร้ายโลกให้น้อยที่สุด เช่น ไม่ใช้เคมี ดีไซน์บ้านให้สว่าง แยกขยะ เป็นต้น จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
Q : รู้สึกอย่างไรกับสิ่งแวดล้อมโลก
A : อเมริกาตัวสร้างขยะมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะยุคจอร์จบุช เขาไม่แคร์เรื่อง
สิ่งแวดล้อมหรืออย่างจะไปขุดขั้วโลกก็เอาเลย เดี๋ยวเรามีน้ำมันเพิ่ม อย่างอแลสกาก็ขุดแหลกเพราะ ต้องการน้ำมัน บิ๋มรู้สึกว่าทุกวันนี้เราต้องกลับหันหลังมาและรู้จักคำว่า “พอเพียง” คือโลกเหมือนเกาะๆ หนึ่งที่เราอยู่ ซึ่งเกาะๆ นี้ก็กำลังจะไม่เหลือทรัพยากรอะไรให้เราถลุงอีกแล้วในอนาคตอันใกล้ ถามว่าพังหมดแล้วคุณนั่งเรือไปเกาะอื่นได้อีกไหม ไม่ได้ รู้แต่ก็ไม่ทำอะไรเลย
Q : สิ่งแวดล้อมในเมืองไทย
A : เกินเยียวยาค่ะ (ทำหน้าเซ็ง) หลายๆ คนรู้สึกว่าใช้ถุงผ้าแล้วจบ ซึ่งไม่ใช่ คนเราเดี๋ยวนี้มันติดความสบาย บิ๋มเลยคิดว่าเราจะไม่ติดความสบายยอมลำบากนิดหนึ่งที่บ้านเปิดแอร์ได้แต่ไม่เปิด หรือไปทำงานก็เอากล่องไปใส่อาหารไม่ต้องใช้โฟม แก้วน้ำฉันก็เอาไปเอง ซึ่งก็ทำมานานแล้ว คือไม่ต้องใช้แก้วกระดาษที่เขามีไว้ให้กับที่กดน้ำ หรืออย่างบิ๋มทำน้ำยาเช็ดกระจก ทำน้ำยาขัดสุขภัณฑ์ใช้เองมันก็ไม่ทำร้ายโลก หรือไปซื้อของเราก็เอาถุงผ้าไปเอง เพราะมันย่อยสลายยาก ถังขยะอันไหนขยะแห้ง-เปียกก็แยกหน่อย เขาจะได้กลับมาใช้อีก แปรงฟัน ล้างหน้า สระผมก็ปิดน้ำหน่อย บิ๋มไม่อยากให้การรณรงค์เรื่องโลกร้อนที่กำลังดีขึ้นนี้ ทำแบบเท่ๆ แล้วจบไป
Q : เรื่องที่คุณไม่กินเนื้อสัตว์นอกจากปลา เกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมไหม
A : ใช่, เรารู้สึกว่าฟาร์มทุกๆ อย่างทำมาเพื่อรองรับคน ซึ่งสัตว์พวกนี้เกิดมาแล้วมันให้นม-เนื้อ ให้ไข่เรากินแล้ว คุณๆ นักธุรกิจช่วยทำจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตที่จะมาเป็นอาหารให้เขาอยู่แบบ Ok ได้ไหม...ไม่ใช่เอาไก่เป็นร้อยตัวมาอัดอยู่ในกรงๆ เดียวแล้วก็เปิดไฟกันทั้งคืนวางไข่จนอ้วกแตก ในเมื่อคุณทำให้สัตว์พวกนี้มีความเป็นอยู่ดีกว่านี้ได้ บิ๋มก็ไม่กิน ไม่ส่งเสริม หรืออย่างหมูเกิดมาได้ 10 วันก็แยกจากพ่อแม่มันแล้วก็ยัดอาหารให้มันไปแบบเดิมๆ อัดฉีดยาแก้อักเสบคุณคิดว่าชีวิตแบบนี้ดีไหมชีวิตไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเลยอยู่ในโกดัง เราคิดว่ามันเอาเปรียบชีวิตเกินไป บนโลกใบนี้มันไม่ได้มีแต่มนุษย์นะมันยังมีสัตว์อีกมากมาย เราทำให้มันสูญพันธุ์ไปเท่าไหร่เพื่อสร้างอาณาจักรของคนเรา เขาก็มีชีวิตจิตใจ เขาเจ็บ เขาเครียดได้นะ เมื่อนักธุรกิจไม่แฟร์กับชีวิต-ต่อสุขภาพเราก็ไม่กิน
เรื่องผักที่ฉีดสารเคมี เราก็ไม่ซื้อกินนะ อนาคตก็ตั้งใจจะปลูกผักกินเอง คิดจะทำน้ำยาเอนไซน์เองจะได้ช่วยสิ่งแวดล้อมอีกแรง หรือตอนนี้ก็เริ่มหัดเย็บผ้า-เครื่องใช้เอง-เครื่องประดับจากเศษวัสดุเหลือๆ เอาทำใช้เองอีกด้วยจะได้ไม่ต้องทำลายโลก ทำจนคนทั้งบ้านหันมาสนใจแบบเรา
Q : ยังเป็นเดือด-เป็นร้อนเหมือนเมื่อก่อนไหม เห็นว่าเคยมีเรื่องกับพนักงานห้างสรรพสินค้าเรื่องไม่เอาถุงพลาสติก แล้วเขาก็ขย้ำทิ้งต่อหน้าคุณ
A: (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้เราก็ขัดแย้งกับคนเรื่องเรื่องสิ่งแวดล้อมน้อยลง แต่ก็มีนะอย่างที่ทำงานบิ๋มก็เอากล่องไปใส่ข้าวเอง และเราก็เอาไปให้คนอื่นใช้ด้วยเพื่อจะเลิกใช้โฟม แต่ปรากฏว่าพวกเขาอาย เราก็โมโห…อายทำไม หรืออย่างเรื่องแก้วกระดาษที่อยู่กับเครื่องกดน้ำ-กาแฟเห็นแล้วก็ขัดใจ ทำไมคุณไม่เอาแก้วมาใส่เอง อย่างน้อยๆ ก็วันละ 4-5 ใบ เห็นแล้วก็ โอ้โห… ถ้าคนทั้งประเทศใช้แบบนี้คิดดูเราจะต้องใช้แก้วกระดาษใช้ต้นไม้กี่ต้นต่อปี
Q : อนาคตเรามีสิทธิ์เห็นคุณทำงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เช่น กรีนพีชไหม
A: เราคิดว่าไม่มีความรู้เพียงพอค่ะ ก็ทำของเราแบบนี้ แต่บิ๋มยังไงก็ดีใจเพราะว่ารู้สึกว่าการจัดรายการวิทยุแทรกการให้ความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมของเราก็น่าจะเป็นประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ กับคนอื่นบ้าง ซึ่งหาก ทุกคนเริ่มลงมือก็ยังทันค่ะ
Q : อีก 10 ปีคิดว่าโลกจะเป็นอย่างไร
A : ระยะใกล้เราตั้งใจจะไปซื้อบ้านในที่สูงๆ เห็นบอกว่าอีก 15 ปีน้ำจะท่วม กรุงเทพฯ ส่วนระยะยาวตั้งใจว่าจะไม่มีลูกเพราะกลัวเขาจะลำบากต้องแย่งทรัพยากรคนอื่นใช้-กิน
ภาพโดย : วรงค์กรณ์ ดินไทย