xs
xsm
sm
md
lg

แดนอรัญ แสงทอง อัศวินวรรณกรรมแห่งยุคไซเบอร์พังค์ (ตอนจบ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


‘ปริทรรศน์’ ยังอยู่กับ แดนอรัญ แสงทอง บทสนทนาภาคต่อจากเมื่อวานว่าด้วยเรื่องโลกียะกับโลกุตระยังถกกันไม่จบ ต่อจากคำถามเมื่อวานที่ถามว่า...

ถ้าอย่างนั้นคนอย่างแวนโกะห์ก็ไม่มีความหมาย ?
ท่านพุทธทาสวิจารณ์แวนโกะห์ไว้มันชิบหายเลย ในหนังสือ ทางเอก มันมาก แต่ว่าก็ไม่เป็นไร งานของแวนโกะห์เป็นสิ่งที่โลกเขาเทิดทูลว่ามีคุณค่า...

คุณกำลังเอากรอบของพุทธศาสนามาถมครอบกรอบอื่น แล้วพยายามอธิบายในกรอบของพระพุทธศาสนาทั้งหมด ?
ถ้าจะทุ่มเทความเพียรพยายามอะไรอย่างแวนโกะห์ ทุ่มเทเพื่อสิ่งอื่นดีกว่า ทุ่มเทเพื่อขจัดความโลภ ผมไปกรุงเทพฯ ครั้งสุดท้าย ผมไปนอนห้องพัก พอตื่นเช้าผมลุกขึ้นมา แล้วผมก็ลืมตัว ผมคิดว่า ผ้าเช็ดตัวนี้เนื้อหนาดีจังน่าจะพับใส่เป้ เนี่ย! ผมยังคิดอย่างนี้อยู่เลย ใช่ไหม มันเป็นเรื่องที่เราตามไม่ทันตัวเอง เราไม่ควรโลภ อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราควรต้องระวัง

แล้วถ้าอย่างนั้น คำว่าสร้างสรรค์มันจะมีประโยชน์มีคุณค่าอย่างไร
ถ้าเป็นทางโลก สมมติว่าผมเขียนมันออกมาได้มันก็เป็นการสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง มันพ้นจากความจำเจทั่วๆ ไป มันก็เป็นอะไรอีกอย่าง จะเรียกมันว่าสร้างสรรค์ก็ได้ แต่จริงๆ ก็ไม่จำเป็น เราเขียนกันไปก็ไปลงที่โยนีกันทั้งหมด

แต่โยนีก็เป็นแหล่งกำเนิดของมนุษยชาติไม่ใช่หรือ
มันเป็นกาม, เป็นกิเลสกาม

แต่มนุษยชาติก็สืบต่อเผ่าพันธุ์กันมาจากตรงนั้น ?
เออ, ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็จะไม่กลับมาเกิดอีก นี่ไงคำว่าพระอรหันต์ พระอรหันต์จะไม่กลับมาอีก

แต่ว่าโลกความเป็นจริงมันมีมนุษย์อยู่...
ก็ปล่อยให้เขาอยู่กันไป ผมจะปล่อยให้เขาอยู่กันไปโดยจะไม่ไปติฉินอะไรเขามาก ผมขอข้าวเขากินด้วยซ้ำ ผมเป็นผู้ขอ ผมเป็นผู้สงบมากเลย คุณมีแกงส้มหนึ่งหม้อ แล้วมันเหลือเกินมาหนึ่งช้อนน้อย ผมขอ คุณให้ได้ไหม ให้ไม่ได้ผมไปบ้านอื่น คุณผัดบวบกับไข่ คุณทำเผื่อพ่อเผื่อแม่เผื่อลูก คุณทำเกินมานิดหนึ่ง คุณให้ได้ไหม ไม่ให้ผมก็ไป คุณหุงข้าวเกินมานิดหนึ่ง คุณให้ได้ไหม ถ้าให้ได้ ผมขอ ภิกขุ แปลว่า ผู้ขอ ดังนั้นผมเป็นผู้ขอ ในแง่ของทางโลกนะ ถ้าวันหนึ่งผมไม่มีตังค์ใช้ผมโทรหาคุณเลย ผมพูดจริงๆ เฮ้ยผมไม่มีตังค์ โอนตังค์ให้ผมด้วย ผมขอ

แล้วถ้าอย่างนั้น ในพื้นที่ของโลกวรรณกรรม คุณจะอธิบายอย่างไร เพราะในมุมมองของเรา เราไม่ได้มองว่าคุณเป็นนักบวช เพราะฉะนั้นในพื้นที่ของความเป็นนักเขียน คุณจะอธิบายอย่างไร
เข้าใจว่ากูยังจะต้องเขียนเรื่องทางโลกียะเพื่อใช้หนี้เวรหนี้กรรมต่อไปอีกสองสามเรื่องก่อน แล้วกูก็จะหักเหเข้าสู่โลกุตระเต็มตัว หมายความว่ากูก็จะต้องเขียนเรื่องห่าๆ อะไรนั่นแหละ ถ้าเราจะไปอ้างนามธรรมอันสูงส่งอะไร ผมว่าเราโกหกตัวเอง มันไม่ได้มั่นคงจีรังยั่งยืนหรอก, ไม่ยั่งยืน

แล้วตอนนี้คุณมีเรื่องอะไรอยู่ในหัวที่จะต้องเขียนบ้าง
บางทีผมก็อยากเขียนเรื่องผู้ปฏิบัติธรรม แต่ก็มีบางเรื่องที่ค้างอยู่ในหัว บางทีผมไม่ต้องเขียนเรื่อง 'มาตานุสติ' ก็ได้นะ แต่เรื่องมาตานุสติมันค้างอยู่ในหัวผม ถ้าถามว่าเขียนทำไม เขียนเพื่อว่าทำให้มันหมดซะ แล้วกูก็จะไม่คิดถึงแม่งอีกต่อไป ก็มีเรื่องที่ค้างอยู่ในหัว บางทีผมอาจจะทำอะไรไร้สาระมากก็ได้ ผมอยากจะเขียนเรื่องที่แม่งไร้สาระชิบหายอะไรก็ได้ ผมพอใจตัวเองเมื่อผมเขียนเรื่อง 'ดวงตาที่สาม' เสร็จลง ผมชอบองค์ประกอบทางวรรณศิลป์ของมัน ผมไปรื้อฟื้นการละเล่นเก่าๆ ของไทยแต่โบราณ ทำไปมีความสุข ตัวละครของผมพูดกันด้วยภาษาของนักเขียนนะ (หัวเราะ) ภาษาคนอย่างเราเขาไม่พูดกัน แล้วผมก็ชอบ ไอ้พระเอกของผมก็อ้อมๆ พูดห่าอะไรก็ไม่รู้อ้อมๆ ค้อมๆ คือจะปี้เขาแหละ อีนางเอกก็อ้อมๆ ก็อยากให้เขาปี้นั่นแหละ นี่ไงโลกียะ

ฟังเหมือนว่าพอถึงวันหนึ่งคุณอาจจะไม่เขียนหนังสืออีกแล้ว
คงต้องเขียนมั้ง ถึงจะไปโลกุตระก็ต้องเขียน เขียนเพราะว่ามันเป็นอริยะประเพณีอีกอย่างหนึ่งมั้ง เหมือนกับผมพูดถึงเถรคาถา ท่านที่สำเร็จพระอรหันต์ท่านก็เล่าให้ฟังว่าจากความเป็นคนบาป ความเป็นคนโง่ ความเป็นคนไม่เอาไหนของท่าน ท่านพ้นจากสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร ท่านเล่าไว้ให้คนรุ่นหลังฟัง จะได้เป็นแนวทาง ก็มีมาตั้งแต่เถรคาถาในพระไตรปิฎกเรื่อยมาจนถึงประวัติของพระอาจารย์มั่น อะไรอย่างนี้เป็นต้น... เฮ้ย, ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พวกคุณเครียด หรืออะไรนะ เราคุยกันๆ

แล้วคุณมีสายกลางไหมระหว่างเนื้อหากับรูปแบบ ไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้เลยหรือ ระหว่างการที่จะเขียนงานขึ้นมาเรื่องหนึ่ง
ถ้าผมจะเขียนผมก็ต้องกังวลเรื่องวรรณศิลป์เรื่องอะไรอย่างนี้มาก ถึงจะเขียนเรื่องของผู้ปฏิบัติธรรมก็ตาม ผมคงกังวลมาก ในความเป็นจริงคงต้องกังวล

พอเราตั้งใจกับมันมาก กังวลกับมันมาก แล้วความสุขที่เราได้เขียนหนังสือ มันจะกลายเป็นความทุกข์ไหม
ผมบอกไม่ถูกเหมือนกัน โดยขั้นที่หยาบที่สุด ผมเข้าใจว่านี่เป็นสติปัญญาอย่างไทยแท้ แล้วผู้เฒ่าผู้แก่ก็อุตส่าห์ถนอมรักษาไว้ ผมก็เป็นลูกหลานไทย ผมภูมิใจชิบหายเลยโดยไม่ต้องไปประกาศตัว ผมภูมิใจชิบหายเลยที่ผมเป็นคนไทย ผมไม่มีทางกระแดะไปเป็นวัยรุ่นญี่ปุ่นได้เลย หรือวัยรุ่นเกาหลี หรือวัยรุ่นฝรั่ง ผมไม่มีทางเป็นอย่างนั้น ผมเป็นคนไทยชิบหายเลย ทีนี้เมื่อมีสติปัญญาอย่างไทย แล้วถ้าผมทำได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาร์แซล (บารังส์) ไม่ชอบด้วย (หัวเราะ) ถ้าคุณมาร์แซลไม่แปลก็เรื่องของคุณมาร์แซล ไอ้ห่า ผมอุตส่าห์เขียนแทบตาย ไม่แปลก็อย่าแปล แต่ผมตั้งใจว่ามันจะทำให้... ผมก็ไม่อยากพูดมาก ผมรู้แต่ว่าสิ่งที่ผมรู้อยู่มันมีค่า มันเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของเรา แล้วมันก็มีอยู่มากกว่าที่ เฮอร์มานน์ เฮสเส มี มันลึกซึ้งกว่ามาก หรือที่ คาร์ลเจลลิรูป (Karl Adolph Gjellerup - ผู้เขียนหนังสือเรื่องกามนิตกับวาสิฏฐี) มี หรือที่ (ลีโอ) ตอลสตอย มี หรือที่ ฌอง ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) มี หรือ เบอร์ทรันด์ รัสเซล (Bertrand Russell) มี หรือ วิลเลียม เจมส์ (William James ) มี เรามีลึกมาก แล้วถ้ามาจากสายเถรวาทมันจะได้รับการทะนุถนอม ได้รับการตรวจสอบ มันมาเป็นสมบัติของพวกเราเต็มๆ เลย ถ้าผมทำได้มันก็เป็นสติปัญญาอย่างไทยที่โลกเขาไม่มี แต่เรื่องขั้นพื้นฐานอะไรก็ไม่ควรละเลย มุสลิมสวดมนต์วันละห้าครั้ง พวกเรายังไม่ค่อยสวดเลย สิ่งที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอนก็คือ พระรัตนไตร ทำไมเราไม่สามารถเข้าถึงหรือซาบซึ้งได้ เราไม่สามารถยึดถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะอันลึกซึ้งได้ด้วยตัวของเราเองโดยไม่ต้องให้ผู้อื่นมาบอกกล่าว เราเข้าใจของเรา เราลึกซึ้งของเรา

แล้วที่บอกว่าอยู่บนทางสองแพร่งมันเป็นอย่างไร
แพร่งหนึ่งผมก็ยังห่วงอาลัยต่อบรรดาบุปผาชาติอันงามอยู่ อีกแพร่งหนึ่งผมก็อยากถลันไปหาซากศพ นั่นแหละ ในการปฏิบัติธรรมมันมีการพิจารณาอสุภกรรมฐาน สำหรับกำราบราคะ ตอนที่ผมอ่านเรื่องอสุภกรรมฐาน ผมก็ยังแอบคิดเลยว่าถ้าผมไปเพ่งศพผมจะไปเพ่งศพสาวๆ ปรากฏว่า ไอ้ห่า โดนห้ามอีก แล้วผมก็แอบคิดไปอีกว่าถ้างั้นเพ่งศพสัตว์ตัวเมียก็ได้ ท่านก็ยังห้ามอีก นี่รัดกุมมากนะ อสุภกรรมฐาน รัดกุมมาก

ที่คุณต้องก้าวข้ามไปขนาดนี้ เพราะชีวิตแบบที่เป็นอยู่นี้มันไม่ดีใช่ไหม
ใช่, มันเป็นชีวิตที่ไม่เป็นความสุขที่แท้จริง น่าจะมีความสุขที่ละเอียดอ่อนกว่านี้

เขียนหนังสือเสร็จหนึ่งเล่มก็ไม่มีความสุขหรือ
เป็นความสุขทางโลกมั้ง ผมก็ได้ตังค์มาใช้ หรือถ้าผมยังเขียนหนังสืออยู่ เวียง (วชิระ บัวสนธิ์ บรรณาธิการสำนักพิมพ์สามัญชน) เขาก็โอนตังค์มาให้ทุกเดือน ซึ่งทำให้ผมยังชีพอยู่ได้ แต่ตราบใดที่ผมบอกว่า เวียง ไม่ไหวว่ะ เขียนไม่ออก ผมก็จะไม่มีตังค์ใช้ แล้วเวียงเขาเป็นผู้อุปถัมภ์ผมอยู่ แต่ผมก็บอกเขาว่าผมก็อยากจะไปวัดป่าเต็มแก่แล้ว แล้วผมก็ไปวัดบ่อย ผมรู้สึกดีมากเลยที่ไปวัด ผมก็ไปช่วยพระกวาดวัด ผมเป็นนักกวาดตัวฉกาจเลยนะ ผมถือไม้กวาดคล่องแคล่วมาก กวาดขยะ แล้วผมก็ล้างห้องน้ำวัด แล้วพระก็ให้ข้าวผมกิน ผมมีความสุข

สมมติว่าคุณเข้าวัดแล้ว คุณคิดว่าจะมีจุดเปลี่ยนอะไรอีกไหม
ไม่มีแล้วล่ะ ผมอาจจะไม่บวชก็ได้ ผมอาจจะเป็นอุบาสกน้อยอยู่แค่นั้นล่ะ ผมก็ไปกลัวว่าจะทำให้ศาสนามัวหมอง อันนี้พูดจริงๆ นะ ผมก็ไปเป็นอุบาสกน้อย ผมก็ช่วยล้างจานล้างบาตร ผมมีความสุข แล้วผมเคยเป็นเด็กวัดมาก่อนด้วย ผมมีความสุข แล้วถ้าเป็นพระดีๆ ด้วยผมก็ยินดีกับการทำตัวเป็นผู้รับใช้

ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้คุณยังสนใจเหตุการณ์ปัจจุบันอยู่ไหม อย่างข่าวสารบ้านเมือง คุณยังไม่ตัดขาดใช่ไหม
ผมสนใจน้อยมากเลย ผมแทบไม่รับรู้อะไรเลย แล้วก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองโง่ด้วย ไม่รู้สึกว่าตัวเองล้าหลัง หรืออะไร ผมรู้สึกว่าก็ปล่อยมันไป ถ้าจะห่วงก็ห่วงน้อยมาก น้อยมากเลย ทีวีก็แทบจะไม่ดู แต่ผมก็ดูฟุตบอลอยู่มาก แล้วก็ดูมวยวันอาทิตย์ อะไรอย่างนี้เป็นต้น อย่างอื่นจะไม่ดูเลย หรือดูน้อยมาก บางทีก็ยังศึกษาเรื่องเก่าๆ อะไรอยู่ เรื่องราวในประวัติศาสตร์เพื่อจะหารากเหง้าของตัวเอง

แล้วคุณมีตารางชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง
ส่วนมากก็จะอ่านหนังสือ ก็หนังสือพระนั่นแหละ (หัวเราะ) วรรณกรรมจะดีวิเศษยังไง ถ้าใครส่งมาให้ก็อ่าน แต่จะไม่ขวนขวาย

คุณอ่านวรรณกรรมร่วมสมัยบ้างไหม
อ่านน้อยมากเลย แทบจะไม่อ่านเลย

หมายถึงของยุโรป อเมริกา ก็ไม่อ่าน
แทบจะไม่อ่านเลย, คุณมาร์แซลก็เอาหนังสือมาไว้ให้เพื่อจะเป็นแรงกระตุ้น หลายเล่มมากเลย อะไรที่เขาว่าดี ผมก็เอามาพลิกๆ ดู ผมสนใจน้อยมาก ผมทำบทความทางวรรณกรรมให้เวียงอยู่สักสิบสองสิบสามชิ้นแล้วนะ เยอะอยู่เหมือนกัน ก็แปลมา ก็เป็นเรื่องทางวรรณกรรมแท้ๆ ผมก็ถือว่าทำเลี้ยงชีวิต

ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณสนใจวรรณกรรมแนวไหน
ถ้าผมถูกบังคับให้ทำอะไรนะ ยังนึกอยู่ว่าอยากแปลเรื่องเบอร์มิสเดย์ (Burmese Days) ของจอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) มันเป็นประสบการณ์ตรงของออร์เวลล์ขณะที่แกอยู่พม่า เราแม่งเที่ยวไปรู้เรื่องของฝรั่งเยอะมากเลยนะ แต่ไม่รู้เรื่องของเพื่อนบ้านตัวเอง แล้วเผอิญงานชิ้นนี้เป็นงานที่อ่านสนุก เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งทีเดียว ก็เลยอยากแปล อะไรอย่างนี้แหละ แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่งของนักเขียนชาวบราซิล ชื่อเรื่องดิ อินวิซิเบิล เมมโมรี อะไรนั่น ถ้าสถานการณ์มันบังคับให้ต้องแปลก็อาจจะแปล ทีนี้อยากแปลก็อยากจะหาคู่หู อย่างคุณมนตรี ภู่มี เวียงก็บอกว่าให้ไอ้เฟิ้ม (แดนอรัญ) แปลคนเดียวนะ อย่าแปล (หัวเราะ)

ความกระหายที่จะอ่านวรรณกรรมน้อยมากเลยใช่ไหม
น้อยลงมากเลย มีเมื่อสักสี่ห้าปีก่อนผมอ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของไอ้ บอร์เจส (Jorge Luis Borges) ชื่อเรื่องประวัติชีวิตของ คัดเดโอ้ อิซิเดโร่ ครูส ที่ผมแปล ผมอ่านจากภาษาอังกฤษ ผมอ่านแล้วผมแทบอยู่ไม่ได้โว้ย โอ้โห... ผมอ่านแล้วผมตื่นเต้นชิบหายเลย กูคิดว่ากูกับไอ้ครูสนี่แม่งมนุษย์พันธุ์เดียวกันเลย ไอ้ห่า เป็นมนุษย์พันธุ์เดียวกัน อ่านแล้วผมแทบอยู่ไม่ได้ นึกคิดอะไรไปเยอะมากเลย แทบจะเขียนเรื่องสั้นได้สักเรื่องหนึ่ง จากแรงผลักของเรื่องนี้

ที่คุณบอกว่าอ่านแล้วแทบอยู่ไม่ได้ มันเป็นอย่างไร จิตใจมันฟุ้งซ่านหรือ
เมื่อกี้, ตอนที่ผมนั่งรอพวกคุณอยู่ มันมีหอกระจายข่าวด้วย ตรงสามแยก(หัวเราะ) แล้วมันก็มีเพลง 'รักคนโทรมา' ห่าอะไรนั่น ผมแทบอยู่ไม่ได้ ไอ้พวกห่านี่สงสัยแม่ง... นัดกันยังไง พลาดกับผมแล้วแหงเลย แล้วเพลงนั่นเปิดแล้วทำไมมันไม่เปิดฟังคนเดียว ไอ้รักคนโทรมาอะไรเนี่ย ผมก็ไม่รู้ว่ามันอะไรหรอก แต่ว่า โอ... อย่าทำกับผมอย่างนี้เลยยย (เน้นเสียงยาว) ผมรู้สึกแย่จังเลย คือถ้าคุณอยากฟังก็ฟัง มันก็เป็นเรื่องของคุณคนเดียว ถ้าคุณอยากซึ้งถึง "โอ้ธารสวรรค์กว๊านพะเยา" อะไร คุณก็ซึ้งของคุณคนเดียว มันก็ควรจะซึ้งล่ะนะ แต่ว่าไม่ต้องมาเผื่อแผ่ผม (ถึงตอนนี้ผู้ฟังทั้งหมดก็หัวเราะกันครืน) ไอ้ห่า!... มันกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันเป็นสังคมที่ไม่รู้จักเคารพสิทธิ์ของคนอื่น ผมเข้าใจว่าอาการที่มันเกิดขึ้นกับผม มันน่าจะเกิดขึ้นกับอาจารย์ รัญจวน อินทรกำแหง มาก่อนแล้ว คือเป็นคนรักหนังสือ เอ้า, ผมเป็นคนรักหนังสือมากๆ เลย แล้วผมก็ได้ทุ่มเทตัวเอง ได้เสียสละพอสมควรแหละ ในการเขียนหนังสือ อันที่จริงก็อยากจะพูดว่า มากยิ่งกว่าไอ้หมาตัวไหนทั้งสิ้น หมาไทยๆ ตัวไหนทั้งสิ้น ผมพูดได้เต็มปากด้วยซ้ำไป แต่วันหนึ่งมันเกิดอาการอะไรอย่างนั้น เหมือนอาจารย์รัญจวน อยู่วัดดีกว่า (หัวเราะ) อาจารย์รัญจวนไปอยู่กับท่านพุทธทาส

ถ้าอย่างนั้นนักอ่านที่เป็นแฟนหนังสือของแดนอรัญ แสงทอง จะมีโอกาสอ่านวรรณกรรมเล่มต่อไปของคุณหรือเปล่า
ผมก็ยังจะเขียนเรื่องทางโลกียะอะไรอยู่สักหน่อยหนึ่ง ต่อจากนั้นโลกุตระก็คงจะเขียนไว้แหละ ใครจะพิมพ์หรือไม่พิมพ์ก็ไม่สนใจ ผมก็เขียนของผมไว้ ผมจะไม่แยแสเลย เพราะว่าผมไปอยู่วัดเสียแล้ว

สรุปก็คือคุณยังมีสิ่งที่ค้างอยู่ในหัวที่คุณอยากจะเขียนมันออกมา
ยังมีอยู่, ผมพูดแล้วมันจะซ้ำ แต่อยากจะพูดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ไอ้คนสร้าง วรรณกรรมโลกียะ ไอ้คนสร้างนะ แม่งก็ติดอีปิ๊ หรือแม่งก็ติดองคชาติ แล้วเดี๋ยวนี้ยังมีติด เวจมรรค (เสพเวจมรรค - การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก) อีก ไอ้คนอ่านก็ติดอีปิ๊ ติดองคชาติ แล้วยังติดเวจมรรคอีก ไอ้คนพิจารณาคุณค่าก็ติดอีปิ๊ ติดองคชาติ! หรือไม่ก็ติด เวจมรรค วนกันอยู่แค่นี้ แล้วจะไปสร้างสรรค์ตะหวักตะบวยอะไร! พระพุทธองค์อายุ 29 พิจารณาเห็นโทษของกามแล้วตัดเด็ดขาด และสร้างปาฏิหาริย์ได้ ก่อตั้งศาสนาอันลึกล้ำและประเสริฐ มหาตมะ คานธี ยุติเรื่องกามเมื่ออายุ 37 และสร้างปาฏิหาริย์ได้ เป็นผู้นำในการสลัดแอกที่กดประชาชาติของตัวเองอยู่ ปาฏิหาริย์มีจริง ปกติมากเลย แต่คุณต้องกล้า

อย่าง เหมา เจ๋อตุง นี่ถือว่าสร้างปาฏิหาริย์ได้ไหม
เหมา เจ๋อตุง ไม่ได้เรื่อง ถ้าพูดถึงในแง่ที่คานธีได้ทำอะไร เหมา เจ๋อตุง ไปหลงอีปิ๊อีนางเจียงจิงห่าเหวอะไรนั่น (นางเจียงจิง ภรรยาคนสุดท้ายของเหมา เจ๋อตุง) แล้วยังมีอีปิ๊อีอะไรคนอื่นๆ อีก เหี้ย... แล้วอย่างนี้จะมาเป็นมหาบุรุษได้อย่างไร

แล้วงานเขียนที่ดีในความคิดของคุณ มันควรจะเป็นอย่างไร
ถ้าผมจะสร้างตัวละครสักตัวหนึ่งขึ้นมา หมายถึงเป็นตัวแบบเป็นตัวเอกของเรื่อง ก็คงจะเป็นเรื่องของไอ้คนที่ทำบาปทำเวรมามาก แต่ว่ามันยังเสือกมีความละอาย แล้วก็มีปัญญามากพอที่จะมองเห็นความไร้สาระในพฤติกรรมของตัวเอง แล้วก็แสวงหาสิ่งพิเศษจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ตัวละครของผมคงเป็นคนเคร่งศาสนาว่ะ แต่ไม่ได้เคร่งศาสนาอย่างตัวละครสาธุคุณจิม เครซี (ในหนังสือเรื่องผลพวงแห่งความคับแค้น) ของจอห์น สไตเบค มันเป็นคนเคร่งศาสนา แต่มันก็เป็นคนบาปหนามาก

คุณได้ศึกษาพวกทฤษฎีวรรณกรรมมาด้วยใช่ไหม
ศึกษาอยู่ ผมสนใจอะไรพวกนั้นอยู่ เมื่อก่อนนี้นะ สนใจมาก อ่านงานบทความทางวรรณกรรมเยอะมาก เรื่องราวทางทฤษฎีก็สนใจ ยังมีหนังสือหนังหาเก็บไว้อยู่ ยังอ่านมาก ยังสนใจมาก แต่พอตอนหลังมาเจอเรื่องพวกนี้เข้า หมายถึงเรื่องพุทธศาสนา ผมก็เลิก คือมันต้องทำให้เป็นตัวอย่างออกมาจริงๆ อย่างตอนนี้มันก็ได้แต่พูด ทำให้เป็นตัวอย่างออกมาจริงๆ ว่ามันควรจะไปอย่างไร เหมือนสมัยหนึ่งที่เราพูดกันว่าต้องสร้างวรรณกรรมให้เหมือนกับงานของ แม็กซิม กอกี้ นักเขียนไทยเราก็พูดกันไปอย่างนั้น ให้เหมือนกับ หลู่ซิ่น ให้เหมือน ภวานี ภัฎฎาจารย์ ผู้เขียนหนังสือ 'คนขี่เสือ' (He Who Rides a Tiger) ให้เหมือน ปาจิณ อะไรอย่างนั้น วรรณกรรมปฏิวัติ, แล้วเห็นมีใครทำได้ไหม

แล้วคุณรู้สึกอย่างไรกับประโยคคำพูดเหล่านี้ ที่ว่าทำวรรณกรรมให้เหมือนนักเขียนคนนั้นคนนี้ ?
ก็ถ้าคุณเชื่ออย่างนั้นก็ทำไปสิ แต่ว่าทำให้มันสุดแรง ก็เท่านั้นเอง และก็ยังจะน่านับถือบ้าง คุณเชื่ออะไร คุณก็ทำอันนั้นให้สุดแรง เราเป็นบุรุษก็ทำให้มันสมกับที่เกิดมา คุณไม่จำเป็นต้องเชื่ออย่างผม แต่ต้องทำให้มันสุดแรง

ในความรู้สึกตอนนี้ มีเพดานวรรณกรรมที่คุณจะต้องไต่ขึ้นไปอีกไหม
มีอยู่, ผมก็ยังห่วงอยู่หรอก ถ้าผมจะเขียนเรื่องของผู้ปฏิบัติธรรม ผมก็ต้องเขียนมันออกมาในชั้นเชิงของวรรณกรรม ก็ต้องทำให้มันเป็นที่เข้าใจได้ รู้สึกรู้สาได้ อะไรอย่างนั้น ดังนั้นก็ยังต้องอ่านวรรณกรรมอยู่อีกมาก...

***********************

เรียบเรียง : สุรชัย พิงชัยภูมิ
ภาพ : อนุชิต นิ่มตลุง






แดนอรัญ แสงทอง กับ อังคาร จันทาทิพย์




กำลังโหลดความคิดเห็น