ด้วยพฤติกรรมของกลุ่มคนที่จาบจ้วงล่วงละเมิดต่อสถาบันกษัตริย์อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย ที่นับวันจะเหิมเกริมและดำเนินการอย่างโจ่งแจ้งโดยมิไยดีต่อหัวใจของคนไทยทั้งประเทศซึ่งรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นการกระทำดังกล่าว ทำให้ปวงชนทุกหมู่เหล่าต้องลุกขึ้นมาป่าวร้องต่อต้านพฤติกรรมอันมิบังควร ไม่เว้นแม้แต่ 'ราชนิกุลและเหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์' ที่ต่างก็ออกมาร่วมเคลื่อนไหวเพื่อปกปักพิทักษ์ราชบัลลังก์
โดยกลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็น ‘ชมรมเพื่อความจริงและความโปร่งใส’ ที่มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้สูงศักดิ์ ราชนิกุล และกลุ่มสกุลพระราชทาน ซึ่งได้เปิดตัวและดำเนินกิจกรรมมาตั้งแต่ปี 2549 ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวกระทบกระเทียบถึง ‘ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ’
จุดเริ่มของการรวมตัว
‘คุณหญิงเอ๋ย’ ม.ร.ว.รำพิอาภา เกษมศรี หนึ่งในสมาชิกของชมรมความจริงและความโปร่งใส ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวตลอด 3 ปีที่ผ่านมา พูดถึงจุดเริ่มต้นของรวมตัวของบรรดาราชนิกุลและบุคคลผู้สูงศักดิ์ ว่าเนื่องจากรับไม่ได้กับพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีท่าทีจาบจ้วงสถาบันอย่างชัดเจนมาตั้งแต่ปี 2549 โดยเฉพาะกรณีที่มีการเรียกประชุมข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และกล่าวในเชิงตำหนิว่า ‘ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ’ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทำให้สังคมวุ่นวาย อีกทั้งยังมีพฤติกรรมทุจริตโกงกินบ้านเมืองอย่างมโหฬาร กลุ่มราชนิกุลและบุคคลผู้สูงศักดิ์จึงได้รวมตัวกันเพื่อเคลื่อนไหวคัดค้านการกระทำดังกล่าว
“ ที่ผ่านมาเราก็มีการนัดพบปะกันเป็นประจำ มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องการบ้านการเมือง คุยกันมาตั้งแต่ปี 2544 ทำให้เห็นอันตรายที่จะเกิดกับประเทศของเรา ช่วงที่มีรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เราก็ติดตามอยู่ พอรายการถูกถอดแล้วคุณสนธิไปจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่ธรรมศาสตร์ พวกเราก็ตามไปฟัง ไปฟังที่สวนลุมฯ จนเกิดเป็นการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรฯที่ท้องสนามหลวง และที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เราไปร่วมด้วยตลอด แต่ตอนนั้นยังไม่ได้ตั้งชื่อกลุ่มอย่างเป็นทางการ
พอมาปี 2549 คุณทักษิณออกมาพูดจาบจ้วงเรื่องผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ พวกเราเลยทนไม่ได้ต้องเปิดแถลงข่าวเพื่อแสดงท่าทีว่าเราไม่พอใจ โดยเคลื่อนไหวในนาม ‘ชมรมเพื่อความจริงและความโปร่งใส’ จากนั้นก็มีกิจกรรมต่างๆร่วมกันเรื่อยมา กระทั่งมีการชุมนุมของพันธมิตรฯภาค 2 ในปีนี้ พวกเราก็มาร่วมชุมนุมด้วย มากันทุกวัน 5-6 โมงเย็นก็มาเจอกันแล้ว ตอนนี้สมาชิกของกลุ่มเราก็มีประมาณ 30-40 คน ส่วนใหญ่จะเป็นสายสวัสดิวัฒน์ แต่สายสกุลอื่นก็มีมาร่วมเหมือนกัน แล้วก็ยังมีบางสกุลที่เขานัดกันมาแต่ไม่ได้มาเข้ากลุ่มกับเรา” ม.ร.ว.รำพิอาภา กล่าว
ร่วมชุมนุมพันธมิตรฯ
ภารกิจเพื่อชาติ
เป็นที่ทราบกันดีว่าการเคลื่อนไหวของเหล่าราชนิกุลและบุคคลผู้สูงศักดิ์ในช่วงที่ผ่านมานั้นมีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การรวมตัวกันพูดคุยถึงเหตุการณ์บ้านเมือง ช่วยเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการที่ไม่เหมาะสมของบุคคลบางกลุ่ม ตั้งโต๊ะแถลงข่าวคัดค้านการกระทำของบุคคลที่มีเจตนาจาบจ้วงสถาบัน รวมถึงร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ซึ่งการร่วมชุมนุมของเหล่าราชนิกุลและบุคคลผู้สูงศักดิ์นั้นก็หาได้แปลกแยกแตกต่างจากผู้ชุมนุมคนอื่นๆ ไม่มีการใช้อภิสิทธิ์ใดๆที่สื่อแสดงถึงความสูงส่งแห่งชนชั้น เธอและเขานั่งชุมนุมท่ามกลางไอร้อนของเปลวแดด เปียกปอนยามสายฝนโหมกระหน่ำ เช่นเดียวกับชาวไร่ชาวนา พ่อค้าประชาชน คนทำงานบริษัท และบรรดานิสิตนักศึกษาที่มาร่วมชุมนุม อีกทั้งยังมีการพูดคุยและแบ่งปันข้าวปลาอาหารกับเพื่อนรอบข้างที่มีอุดมการณ์เดียวกัน
“ ตั้งแต่มาชุมนุมนี่เราได้รู้จักผู้คนเยอะมากนะ คือเรารู้สึกว่าเราได้อยู่ในหมู่คนดี ทุกคนมีน้ำใจให้กัน แบ่งปันกัน มีความห่วงใยเอื้ออาทรกันทั้งๆที่แต่ละคนไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย เราไม่มีชนชั้น น้องๆที่มาจากอุดรฯ หนองคาย ก็พูดคุยกันสนิทสนม คือเขามีน้ำใจกับเราเพราะเห็นเราเป็นคนแก่ (หัวเราะร่วน) ดิฉันก็บอกเขาว่าไม่ชอบให้เรียกว่าคุณหญิง เรียกป้าดีกว่า
เพราะฉะนั้น คนที่พยายามจะจุดประเด็นเรื่องศักดินาล้าหลัง แบ่งเจ้าแบ่งนายนั้นขอบอกว่าไร้สาระ พวกเราไม่เคยคิดว่าเราเป็นคนอีกชนชั้นหนึ่ง แต่คิดว่าทุกคนคือคนไทยเหมือนกัน คนที่เราจะเรียกว่าเป็นผู้ดีก็คือคนดี รู้จักกาลเทศะ และที่สำคัญต้องมีความที่ซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งตอนนี้คนไทยที่มีใจรักชาติ รักสถาบัน ก็กำลังรวมตัวกันเพื่อปกป้องประเทศชาติและราชบัลลังก์” คุณหญิงเอ๋ย กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มละไม
ยอมไม่ได้เว็บไซต์หมิ่น
ทักษิณใช้ธง‘ทรงพระเจริญ’
คงมิเกินไปที่จะกล่าวว่าขณะนี้ปฏิบัติการโจมตีสถาบันเบื้องสูงนั้นเป็นไปอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน มิได้ปิดบังซ่อนเร้นเหมือนเช่นที่ผ่านมา การต่อสู้ระหว่างผู้ที่หวังโค่นล้มสถาบันกับคนไทยที่พร้อมใจกันออกมาปกป้องราชบัลลังก์ โดยมิแบ่งแยกอาชีพหรือชนชั้น จึงมาถึงขั้น ‘แตกหัก’ ชนิดที่ยอมพลีได้แม้ชีวิตเพื่อดำรงไว้ซึ่งสถาบันอันสูงสุดของปวงชนชาวไทย
ซึ่ง คุณหญิงวิจันทรา บุนนาค หนึ่งในสตรีผู้สูงศักดิ์ซึ่งเข้าร่วมเคลื่อนไหวในนาม‘ชมรมเพื่อความจริงและความโปร่งใส’ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
“ จะเห็นได้ว่าขบวนการที่จ้องล้มสถาบันนั้นมีมานานแล้ว ดิฉันเห็นมีเว็บไซต์มากมายที่แสดงความเห็นจาบจ้วงพระองค์ท่าน แต่รัฐบาลชุดนี้กลับแทบไม่ทำอะไรเลย ตอนที่คุณทักษิณไปตรวจเยี่ยมชาวบ้านในสมัยที่ยังเป็นนายกฯ ก็มีการเอาธง ‘ทรงพระเจริญ’ ไปให้ประชาชนโบกต้อนรับ ซึ่งมันชัดเจนมาก ถ้าไม่เห็นด้วยกับการกระทำอย่างนี้ก็ต้องสั่งเก็บหมด ไม่ใช่เดินยิ้มหน้าบานไปตลอดทาง ดิฉันเคยได้ยินการกระทำที่ลบลู่มากกว่านี้เยอะแต่เราพูดไม่ได้ เขาทำกันเป็นขบวนการ การลบลู่มีทั้งทำกันกลุ่มเล็กๆและกลุ่มใหญ่ ไม่ละเว้นทั้งเวลา สถานที่ และชุมชน ซึ่งเรื่องแบบนี้เรายอมไม่ได้ ”
ขณะที่ ม.ร.ว.รำพิอาภา แสดงทัศนะไว้อย่างสนใจว่า “ ที่ผ่านมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยมาตลอด ใครเดือดร้อนอะไรก็นึกถึงพระองค์ท่าน คือคนไทยไม่ได้มองว่าพระองค์เป็นเทพ แต่เทิดทูนพระองค์ท่านเพราะทรงปฏิบัติพระองค์ตามทศพิธราชธรรม ในหลวงท่านทรงทำตามที่ได้สัญญาไว้กับคนไทยว่า ‘จะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม’ ซึ่งตลอดเวลา 62 ปี ที่ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงงานหนักมาตลอด ไม่มีพื้นที่ไหนในประเทศไทยที่พระองค์ไม่เคยเสด็จพระราชดำเนิน บางพื้นที่ต้องพระดำเนินด้วย 2 พระบาท พระองค์ใช้พระวรกายสมบุกสมบันมาก ทำให้ระยะหลังพระสุขภาพของพระองค์ไม่สู้ดี
แต่คุณทักษิณเวลาไปหาเสียงกับประชาชนก็มักพูดว่าคนที่เข้าถึงประชาชนจริงๆคือตัวเขา ไม่ใช่เพราะเจ้าแผ่นดิน ทำให้คนเข้าใจว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่ช่วยเหลือ ซึ่งการช่วยเหลือของคุณทักษิณก็คือการเอาเงินไปแจก ขณะที่พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงมีหลักว่าเวลาจะช่วยใครต้องให้คนคนนั้นสามารถยืนได้ด้วยขาตัวเอง นอกจากนั้นคุณทักษิณยังโกงกินอย่างมหาศาล เอารัดเอาเปรียบประชาชนทุกรูปแบบ ซึ่งตรงกันข้ามกับในหลวงของเราอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นถ้าจะมีคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่กระทำการเพื่อล้มสถาบันกษัตริย์ก็ถึงเวลาแล้วที่เราต้องออกมาช่วยกันปกป้องพระองค์ท่าน ตอนนี้ดิฉันอายุ 70 กว่าแล้ว ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิต” ม.ร.ว.รำพิอาภา กล่าวตบท้ายด้วยแววตาที่มุ่งมั่น
* * * * * * * * * *
สืบสายสกุล
‘คุณหญิงเอ๋ย’ หรือ ม.ร.ว.รำพิอาภา เกษมศรี ราชสกุลเดิมคือสวัสดิวัฒน์
เป็นภริยาของ ม.ล.พีระพงศ์ เกษมศรี อดีตราชเลขา (หัวหน้าของสำนักราชเลขาธิการ –หน่วยราชการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเลขานุการในพระองค์พระมหากษัตริย์ และมีบทบาทเป็นผู้ประสานงาน ระหว่างพระมหากษัตริย์ กับรัฐบาล และหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน และบุคคลทั่วไป) และอดีตผู้แทนถาวรแห่งไทยประจำสหประชาชาติ และเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว
คุณหญิงเอ๋ยเป็นธิดาของ ม.จ.นนทิยาวัด สวัสดิวัฒน์ พระอนุชาแท้ๆของพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระราชินีในรัชกาลที่ 7 และ ม.จ.สุวภาพเพราพรรณ สวัสดิวัฒน์ (ราชสกุลเดิมวุฒิชัย) เพราะ ซึ่งตลอด 30 ปีที่ผ่านมาคุณหญิงเอ๋ยใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศด้วยข้อราชการของสามีเสียเป็นส่วนใหญ่ ทว่ายังรับใช้ใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์อย่างใกล้ชิดอยู่มิได้ขาด
คุณหญิงวิจันทรา บุนนาค ราชสกุลเดิมคือ คชเสนี
เป็นธิดาใน เจ้าวงศ์จันทร์ (ณ เชียงใหม่) คชเสนี กับ คุณปฐม คชเสนี อดีตอธิบดีกรมทาง เป็นนัดดา (หลานตา) ใน "พลตรีเจ้าราชบุตร วงษ์ตวัน ณ เชียงใหม่
คุณหญิงวิจันทราเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมเลขานุการสตรีแห่งประเทศไทย และมีบทบาทสำคัญในองค์กรสาธารณกุศลต่างๆ
* * * * * * * * * * * *
เรื่อง - จินดาวรรณ สิ่งคงสิน
ภาพ - ชไมพร จันทร์แก้ว