สิ้นสุดเสียงระเบิดและม่านควันสีขาวจางลงในเช้าตรู่วันที่ 7 ตุลาคม ถนนอู่ทองในบริเวณหน้ารัฐสภาเต็มไปด้วยคราบเลือดและผู้บาดเจ็บหลายสิบชีวิต บางรายมีอาการสาหัสถึงขั้นสูญเสียอวัยวะอย่างมือ ดวงตา และแขนขา เสียงคร่ำครวญระงมก้องสลับกับเสียงไซเรนของรถพยาบาลที่วิ่งเข้าออกรับส่งคนเจ็บไม่ขาดระยะ
ไม่ทันข้ามวัน ช่วงเย็น-เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตรึงกำลังอยู่บริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลระดมยิงห่ากระสุนแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมอีกครั้ง คราวนี้ยอดผู้บาดเจ็บพุ่งพรวดจาก 70 ขึ้นไปเกินกว่า 200 คน หนึ่งในนั้นมีหญิงสาวผู้หนึ่งเสียชีวิตด้วยบาดแผลฉกรรจ์บริเวณหน้าอก ลักษณะคล้ายถูกสะเก็ดระเบิดพุ่งเข้าใส่โดยตรง
วันรุ่งขึ้น รอง ผบชน. นำทีมตำรวจตชด. พร้อมปืนและลูกกระสุนยิงแก๊สน้ำตาออกมาแถลงข่าวกับสื่อมวลชน ยืนยันว่า ตำรวจใช้เพียงแก๊สน้ำตาซึ่งไม่มีอันตรายถึงขั้นต้องสูญเสียอวัยวะ หรือชีวิต พร้อมกับสาธิตการยิงปืนแก๊สน้ำตาใส่หุ่นทดลอง
9 ตุลาคม คนกวาดถนนของกทม. พบชิ้นส่วนอวัยวะภายในและลำไส้ของมนุษย์ตกอยู่ริมถนนที่เกิดการปะทะกันเมื่อสองวันก่อน ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ช่องหนึ่งถึงกับหน้ามืดเป็นลมเมื่อเห็นหลักฐานทางนิติเวชสดๆ กระจะตาดังกล่าว
สามวันผ่านไป ปริศนาต่างๆ ยังคงคลุมเครือ ไม่มีการเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุเพื่อนำไปตรวจพิสูจน์ นอกจากคำแถลงของตำรวจ และคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ที่รอดชีวิตจากดงกระสุนแก๊สน้ำตา...ซึ่งหลังม่านสีขาวแห่งความตายนั้น ไม่มีใครรู้ว่าอาวุธยมฑูตที่แอบแฝงมาปลิดชีวิตผู้ชุมนุม และมีอานุภาพรุนแรงขนาดฉีกกระชากแขนขาของมนุษย์นั้น คืออะไร?
ถอดรหัสปืนยิงแก๊สน้ำตาตำรวจ
ปืนใช่...แต่กระสุน?
ประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงกันมากจากกรณีที่เกิดขึ้น คือความรุนแรงของแก๊สน้ำตานั้น สามารถส่งผลให้มีคนบาดเจ็บสาหัสจำนวนมากถึงขนาดนี้ได้อย่างไร
พ.ต.ท.กำธร อุ๋ยเจริญ รอง ผกก.กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด บก.ตปพ.บช.น. เปิดเผยถึงอาวุธที่ใช้สลายการชุมนุมซึ่งประกอบด้วย อาวุธยิงระเบิดควัน ขนาด 38 มม. ยี่ห้อโคลท์ ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนลูกระเบิดนั้นใช้กระสุนขนาดเดียวกัน ซึ่งบางลูกมีสีแดงและสีขาว อานุภาพทำให้ระบบประสาทของคนที่สูดดมควัน ถูกทำลายทำให้ปวดแสบปวดร้อน โดยเฉพาะตา จมูก และผิวหนัง แต่ไม่สามารถทำอันตรายผิวหนังฉีกขาดได้ แม้จะถูกยิงใส่โดยตรง และไม่มีสะเก็ดทำลายอวัยวะได้ เพราะผลิตจากพลาสติก
ขัดแย้งกับการที่นักวิชาการด้านความมั่นคงผู้หนึ่งออกมาระบุว่า การใช้แก๊สน้ำตาแล้วได้รับบาดเจ็บเป็นไปได้ยาก เพราะกระสุนแก๊สน้ำตาขับเคลื่อนด้วยแรงขับต่ำ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ยิงระยะเผาขนก็อาจจะทำให้ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นตาบอดได้ โดยเฉพาะถ้าหากยิงใกล้เกิน 120 เมตรก็อาจจะส่งผลทำให้อวัยวะฉีกขาด
ล่าสุด ทีมคณะแพทย์ผู้ทำการรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ได้ออกแถงข้อเท็จจริงและเปิดเผยข้อมูลรูปแบบของบาดแผลและอาวุธที่ทำร้ายผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งหลักฐานจากการวินิจฉัยของแพทย์ทุกสถาบันระบุตรงกันว่า ไม่น่าจะเกิดจากแก๊สน้ำตาเพียงอย่างเดียวเช่นที่ตำรวจอ้าง
นพ.รัฐพลี ภาคอรรถ แพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ เปิดเผยว่า จากการตรวจรักษาผู้บาดเจ็บ พบเขม่าดินปืนและเศษสะเก็ดยางจากระเบิดฝังอยู่ในบาดแผลของผู้บาดเจ็บด้วย และได้ลงความเห็นว่า บาดแผลของผู้บาดเจ็บ ไม่น่าจะเกิดจากการใช้แก๊สน้ำตา แต่น่าจะเกิดจากอาวุธหนักที่มีอานุภาพการทำลายร้ายแรงกว่านั้น เนื่องจากบาดแผลฉกรรจ์และรุนแรงมาก
จากสถานการณ์ความรุนแรงดังกล่าว คณะแพทย์ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในเดือนที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลรามาธิบดีได้มีการรับรักษาอาการผู้บาดเจ็บทั้งฝ่ายตำรวจและพันธมิตร ซึ่งจากข้อเท็จจริงที่พบคือมีผู้ป่วยรายหนึ่งลำไส้ฉีกขาด และพบลูกกระสุนในบาดแผล เห็นได้ชัดว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องธรรมดา
ด้านพล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผู้บัญชาการสำนักวิทยาศาสตร์ตำรวจ ปรมาจารย์ด้านปืนและอาวุธระบุว่า ระเบิดควันที่ใช้กันอยู่มีของ 2 ประเทศ คือจากจีนและอเมริกา ระเบิดควันของอเมริกาจะมีแค่เสียงฟู่เวลาตกกระทบแล้วปล่อยควันออกมา แต่ระเบิดควันของจีนเป็นแบบปล่อยทั้งควันและเกิดระเบิดได้เมื่อถูกกระทบ ซึ่งสถานการณ์และภาพที่ทุกคนได้เห็นก็ชัดแล้วว่า ตำรวจจงใจเลือกระเบิดควันแบบไหนยิงใส่ประชาชน
สอดคล้องกับแหล่งข่าวซึ่งเป็นอดีตทหารและวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธผู้หนึ่ง เปิดเผยว่า กระสุนปืนและระเบิดแก๊สน้ำตามีหลายชนิด แต่ละลูกจะมีพลังอัดไม่เท่ากัน ตรงด้านข้างกระป๋องที่บรรจุกระสุนก็จะมีระบุไว้ว่าห้ามยิงใส่เป้าหมายโดยตรง ทั้งนี้ เชื่อว่ากระสุนปืนแก๊สน้ำตาที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาสาธิตให้ดูว่าไม่รุนแรงนั้น น่าจะเป็นตัวอย่างกระสุนสาธิต หรือ demonstrate ที่ปกติแล้วจะมีตัวอย่างส่งมาให้ทางกรมตำรวจดูก่อนสั่งซื้อ ซึ่งอานุภาพจะไม่รุนแรงเท่าของจริง
"การสาธิตจะทำแบบให้ดูไม่รุนแรง แค่ดูว่าทิศทางของควันไปทางไหน ปกติสีของกระสุนแก๊สน้ำตาจะมีหลายแบบทั้งสีเขียว สีเหลือง ซึ่งสีจะเป็นตัวบ่งบอกความรุนแรง แต่เท่าที่เห็นอยู่ในทีวี มีกระสุนอยู่ลูกหนึ่งที่เป็นกระป๋องเคลือบสีเงิน จะเขียนไว้ว่าห้ามยิงโดยตรง ห้ามยิงแนวระนาบโดยเด็ดขาด เพราะถ้าถูกคนอาจทำให้บาดเจ็บจนถึงขั้นเสียชีวิตได้"
เขาเชื่อว่าตอนนี้ตำรวจสามารถที่จะไม่ใช้อาวุธที่ทางราชการใช้ก็ได้ ถ้าพันธมิตรจะเช็คว่าตำรวจมีการเบิกจ่ายปืนและกระสุนชนิดไหนมาใช้ในการสลายการชุมนุม ก็คงจะเช็คไม่ได้ ปกติแล้วการเบิกจ่ายอาวุธจะต้องมีหลักฐาน แต่เชื่อว่าถ้าไปเช็คต้องไม่มีข้อมูลในจุดนี้ เพราะมีทั้งปืนและกระสุนที่ยึดมาจากผู้ต้องหาตามโรงพักต่างๆ แม้จะเก็บปลอกกระสุนได้แต่พิสูจน์ไม่ได้ว่ามาจากไหน
"ปกติแล้วปืนที่ยึดมาจากผู้ต้องหาตามโรงพักต่างๆ จะถูกนำมาเก็บรวบรวมไว้ที่ บชน. ซึ่งจะหยิบเอากระบอกไหนมาใช้ก็ได้โดยไม่มีใครรู้ เพราะตรวจสอบไม่ได้ว่าเป็นปืนเถื่อนที่ทำในไทย ปืนไม่มีทะเบียน หรือเป็นปืนนำเข้าที่ไม่มีในสารบบ"
ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธคนดังกล่าวเชื่อว่า ขณะนี้ทางตำรวจพยายามสร้างสถานการณ์สลายการชุมนุมที่ถูกต้อง โดยการยืนยันว่าใช้เพียงแก๊สน้ำตา ไม่มีการใช้อาวุธปืนหรือกระสุนประเภทอื่นๆ ของบชน. แต่ตนเองขอยืนยันว่าหากดูจากการบาดเจ็บสาหัสของผู้ชุมนุม ไม่ใช่แก๊สน้ำตาเพียงอย่างเดียว คิดว่าน่าจะเป็นระเบิดลูกเกลี้ยงของรัสเซียลูกเล็ก ที่เมื่อระเบิดแล้วสะเก็ดระเบิดจะทำลายช่วงขาทำให้ข้าศึกเคลื่อนที่ได้ช้าลง ซึ่งระเบิดประเภทนี้ทั้งกองทัพจีนและรัสเซียใช้กันอยู่
"ระเบิดพวกนี้จะเรียกว่าลูกเกลี้ยงหรือลูกมะนาว เพราะลูกเล็กกว่าลูกมะนาวแป้นนิดหน่อย ส่วนมากเป็นของจีนกับรัสเซีย คิดว่าไม่ใช่ M26 ซึ่งเป็นของอเมริกาและมีรูปทรงรูปไข่ หรือมะนาวฝรั่ง แต่ผลิตในจีนแดงไม่มีชื่อเรียกเฉพาะ สังเกตได้จากตอนที่ตำรวจสลายการชุมนุมแล้วมีระเบิดจนยางรถยนต์กระเด็น ซึ่งแก๊สน้ำตาไม่มีทางทำอย่างนั้นได้ ระเบิดที่ทำให้กองยางฉีกขาดกระจุยได้ขนาดนั้น ต้องเป็นระเบิดสังหารที่มีอานุภาพทำลายเป็นรัศมี 5 เมตร"
ปริศนาชายแจ๊คเก็ตดำ
แม้เรื่องอาวุธปริศนาที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจะยังเป็นที่ถกเถียงหาข้อสรุป แต่จากภาพเหตุการณ์ที่บันทึกได้ พบว่ามีชายคนหนึ่งใส่แจ็คเก็ตสีดำ ถือวัตถุบางอย่างในมือเดินมาพร้อมแนวของเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจราจล ภาพที่ช่างภาพบันทึกไว้ปรากฏชัดว่าชายคนนั้นขว้างวัตถุดังกล่าวเข้าใส่ผู้ชุมนุม
คำถามก็คือ ถ้าไม่ใช่ตำรวจเป็นคนขว้างวัตถุที่น่าจะเป็นระเบิดมือดังกล่าว แล้วใครเป็นคนทำ?
มีความพยายามโยงใยไปถึงมือมืดที่แฝงตัวเข้ามา และโยนบาปให้กับมือที่สามที่หวังสร้างสถานการณ์ ไปจนถึงระบุว่าเป็นฝีมือของผู้ชุมนุมที่ทำระเบิดพลาดใส่ตัวเอง ซึ่งก็น่าแปลกใจว่าหากเป็นคนนอกจริง ใครที่ไหนจะไปแฝงตัวปะปนอยู่กับกลุ่มตำรวจได้โดยไม่ได้รับอนุญาต และหากผู้ชุมนุมมีวัตถุระเบิดจริง ไฉนจึงไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดได้รับบาดเจ็บเพราะถูกระเบิดเลยแม้แต่คนเดียว
แหล่งข่าวผู้เป็นอดีตนายตำรวจระดับสูง ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลกล่าวว่า กองกำลังปราบปรามเหตุจราจลจะแบ่งเป็น 3 หน่วย คือ นเรศวร 261 ซึ่งเป็นหน่วย ตชด. , กองกำลังปราบปรามจราจลของนครบาล ที่ฝึกมาโดยเฉพาะคือคอมมานโดกองปราบ และชุดหน่วยพิเศษอรินทราชของ บชน. ซึ่งอาวุธที่ใช้ในการควบคุมฝูงชนพื้นฐานจะมีเพียงโล่และกระบอง ไปจนถึงสเปรย์พริกไทย, ระเบิดควัน, กระสุน-ระเบิดแก๊สน้ำตา และกระสุนยางเป็นทางเลือกสุดท้าย
"หลักการของกองบัญชาการตำรวจนครบาลในอดีตที่ผ่านมา การดูแลรักษาความปลอดภัยในที่ชุมนุม อย่างมากเต็มที่ก็ใช้โล่ ไม่มีกระบอง เพราะในอดีตที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่ทำให้ตำรวจก่อความรุนแรง เพราะตำรวจตรากตรำงานหนัก แล้วมันจะอารมณ์เสียง่าย เพราะฉะนั้น เขาเลยให้เอากระบองไปเก็บไว้ที่รถ จะให้ใช้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่ง ฉะนั้นแล้วอุปกรณ์พื้นฐานมีโล่กับกระบองเท่านั้น"
จากภาพที่มีผู้สื่อข่าวจับภาพได้ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ กำลังเล็งปืนสั้นขนาด .357 ใส่ผู้ชุมนุมนั้น อดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่กล่าวว่า ปืน.357 นั้นมีความสามารถในการทำลายล้างรุนแรงถึงแก่ชีวิต ในต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเอฟบีไอยังถูกห้ามใช้ ให้ใช้เพียงขนาด 9 มม.
"โดยหลักของนครบาลทั่วไป การควบคุมฝูงชนเขาห้ามไม่ให้ตำรวจพกอาวุธอยู่แล้ว มันผิดตั้งแต่แรกแล้ว การสลายการชุมนุมต้องบอกประชาชนให้รู้กันโดยทั่วไปก่อนว่า คุณต้องหยุดการชุมนุม ที่พันธมิตรเคลื่อนไหวต่อต้านทักษิณเมื่อปี 48-49 ตำรวจไม่มีอะไรเลย แล้วเราก็สามารถควบคุมการชุมนุมได้ เต็มที่ก็มีโล่อย่างเดียว ในระยะหลังมานี้เจ้าหน้าที่ใช้วิธีควบคุมฝูงชนไม่เป็น ไม่รู้จักจิตวิทยามวลชนในการควบคุมฝูงชน"
ไม่ว่ามือระเบิดปริศนานั้นจะเป็นคนของฝ่ายใด ข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ทางตำรวจมิได้พูดถึงนั่นคือ เครื่องยิงระเบิดควัน หรือปืนยิงแก๊สน้ำตานั้นยังสามารถนำมาบรรจุระเบิดจริงได้ ยิ่งสร้างความเคลือบแคลงให้กับการปฏิบัติการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ผ่านมา
*****************************
รู้จัก M 26 ยมฑูต 'งูเห่า'
ระเบิดมือ M26 เป็นระเบิดรุ่นเก่า แม้ปัจจุบันบางประเทศจะเลิกใช้แล้ว แต่ยังคงพอหาได้จากชายแดนประเทศเขมรที่มีอาวุธสงครามทะลักเข้ามาเป็นประจำ ด้วยสนนราคาซื้อขายในตลาดมืดตกประมาณลูกละห้าร้อยถึงหนึ่งพันบาท แหล่งข่าวผู้เป็นอดีตนายตำรวจระดับสูงเล่าว่า ในอดีตระเบิดชนิดนี้มีราคาถูกกว่านี้มาก ตกเพียงลูกละไม่กี่ร้อย
ระเบิด M26 เป็นอาวุธสงครามขนาดเล็กที่ใช้ในการสู้รบระยะประชิด ถูกผลิตเพื่อสร้างความเสียหายต่อเป้าหมายด้วยเศษสะเก็ดระเบิดขนาดเล็กที่แตกกระจายออกไปเมื่อระเบิดทำงาน ถูกพัฒนาขึ้นมาจากระเบิด Mk II ด้วยรูปทรงที่คล้ายคลึงกัน แต่ผิวนอกของ Mk II จะขรุขระเป็นลายตารางแบบที่เรียกกันว่าน้อยหน่า ขณะที่ M26 จะมีผิวเรียบเกลี้ยง ลักษณะระเบิดถูกออกแบบมาให้ใช้เวลา 4-5 วินาทีในการจุดชนวนเผาไหม้ภายในหลังดึงสลัก ก่อนที่จะระเบิด มีรัศมีทำลายล้าง 15 เมตร สะเก็ดจะแตกออกแนวราบเพื่อตัดทำลายช่วงล่างของข้าศึก ทำให้มีผู้สันนิษฐานว่า อาจเป็นระเบิดที่ทำให้ผู้ชุมนุมบาดเจ็บ แต่เมื่อพิจารณาจากรัศมีสังหารแล้ว ทำให้ข้อสันนิษฐานดังกล่าวตกไป