พลันที่มหกรรมกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ เริ่มต้นแข่งขันกันครั้งแรกในปี 1896 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ มี 14 ชาติเข้าร่วม แต่สำหรับคนไทยกลับต้องรอกันอีกถึง 56 ปี กว่าจะมีการส่งนักกีฬาจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาเข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรก ในโอลิมปิก ครั้งที่ 15 ปี 1952 ที่กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์
จากนั้นคนไทยยังต้องรอคอยเหรียญรางวัลจนถึงโอลิมปิก ครั้งที่ 18 ในปี 1976 ที่เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา จึงได้จารึกชื่อของ พเยาว์ พูลธรัตน์ ผู้คว้าเหรียญทองแดงจากมวยสากลสมัครเล่นมาครองได้เป็นเหรียญแรก ก่อนที่จะใช้เวลาอีก 20 ปีให้หลังเพื่อฉลองเหรียญของ สมรักษ์ คำสิงห์ ในฐานะฮีโร่เจ้าของเหรียญทองคนแรกจากโอลิมปิก 1996 ที่แอตแลนตา สหรัฐฯ และถ้าหากนับรวมจนถึงปัจจุบันแล้ว ทีมชาติไทยสร้างชื่อด้วยการคว้าเหรียญรางวัลโอลิมปิกมาได้ทั้งหมด 17 เหรียญ แยกเป็นเหรียญทอง 5 เหรียญ, เหรียญเงิน 2 เหรียญ และ เหรียญทองแดง 10 เหรียญ
สำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 ครั้งที่ 29 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 8-24 สิงหาคม 2551 มีนักกีฬาทีมชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขันมากที่สุดถึง 51 คน ทว่าในจำนวนดังกล่าวนั้นจะมีสักกี่คนที่เป็นนักกีฬาระดับความหวังของคนทั้งชาติ
*ความหวังสีทอง “มวย – ยกน้ำหนัก”
เมื่อเอ่ยถึงความหวังเหรียญทองที่แฟนกีฬาชาวไทยจะหวังได้มากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นกีฬามวยสากลสมัครเล่น กับยกน้ำหนัก ที่เคยสร้างชื่อเสียงเกรียงไกรมาเมื่อโอลิมปิกเกมส์ 2004 ที่กรุงเอเธน ประเทศกรีซ
โดยในครั้งนั้น "เดอะ เติ้ล" มนัส บุญจำนงค์ สวมบทฮีโรคว้าเหรีญทองมาครองได้แบบเหนือความคาดหมายเล็กน้อย ปล่อยให้ วรพจน์ เพชรขุ้ม คว้าเหรียญเงิน และ สุริยา ปราสาทหินพิมาย ซิวเหรียญทองแดง
สำหรับโอลิมปิก 2008 ที่กรุงปักกิ่ง สมาคมมวยสากลสมัครเล่นยังคงเป็นความหวังสูงสุดในการคว้าเหรียญทองของทีมชาติไทย จากการเปิดเผยของ "เสธ.วีป" พล.อ.ทวีป จันทรโรจน์ นายกสมาคมมวยเสื้อกล้ามซึ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อครั้งล่าสุดว่า "ผมทราบดีว่าแฟนกีฬาต่างหวังในทีมมวยของไทย ซึ่งเราก็ต้องการให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่หวัง ทว่าการแข่งขันในโอลิมปิกไม่ใช่เรื่องง่าย"
"แต่ครั้งนี้นักชกของเราทั้ง 8 รายถือว่ามีลุ้นทุกคน เท่าที่ดูจากการฝึกซ้อม อำนาจ รื่นเริง และ อังคาร ชมภูพวง ถือว่ามีพัฒนาการน่าสนใจมาก ส่วนในรายอื่นๆ อย่าง มนัส บุญจำนงค์ , สมจิตร จงจอหอ หรือ วรพจน์ เพชรขุ้ม ก็มีมาตรฐานของตัวเองที่ดีอยู่แล้ว"
โดยประมุขแห่งวงการมวยเสื้อกล้ามไทยกล่าวต่อว่า "ความหวังของนักมวยไทยมีอยู่ 3 ระดับ คือ 1. มีโอกาสคว้าเหรียญทองมากที่สุด คือ สมจิตร จงจอหอ รุ่น 51 ก.ก., มนัส บุญจำนงค์ รุ่น 64 ก.ก., นน บุญจำนงค์ รุ่น 69 ก.ก. 2. มีโอกาสคว้าเหรียญทองรองลงมา คือ อำนาจ รื่นเริง รุ่น 48 ก.ก., วรพจน์ เพชรขุ้ม รุ่น 54 ก.ก., อังคาร ชมภูพวง รุ่น 75 ก.ก. ซึ่งทั้ง 3 คน สูสีกับคู่แข่งมาก หรือเป็นรองอยู่ไม่มาก และ 3. กลุ่มสุดท้าย ที่ยังมีโอกาสน้อย คือ สายลม อาดี รุ่น 57 ก.ก. เนื่องจากประสบการณ์น้อย และ พิชัย สาโยธา รุ่น 60 ก.ก. ที่มีปัญหาสภาพจิตใจ”
อย่างไรก็ตาม “เสธ.วีป” กล่าวต่อไปด้วยว่า “การที่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น เช่น การจับสลาก, สุขภาพนักมวย, อุบัติเหตุระหว่างการแข่งขัน และการวางแผนของโค้ชด้วย แต่ในเบื้องต้นผมคิดว่าอย่างน้อยทีมมวยจากประเทศไทยน่าจะได้มา 1 หรือ 2 เหรียญทอง”
ทางด้านเต็งเหรียญทองอย่างสมาคมยกน้ำหนักแห่งประเทศไทย ที่สร้างผลงานได้ดีเกินคาดในโอลิมปิก 2004 ด้วยการคว้า 2 เหรียญทอง และ 2 เหรียญทองแดง จากทีมยกน้ำหนักหญิง ที่ประกอบด้วย อุดมพร พลศักดิ์, ปวีณา ทองสุก, อารีย์ วิรัชถาวร และ วันดี คำเอี่ยม ออกมายอมรับว่าครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือนครั้งก่อน โดย "บิ๊กต่าย" จิตรนรา นวรัตน์ อุปนายกสมาคมฯ กล่าวแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า
"การได้ 2 เหรียญทองโอลิมปิก 2004 เป็นเพราะเราสามารถหลบนักกีฬาจากจีนที่เขาไม่ส่งลงแข่งขันในรุ่นของ อุดมพร และ ปวีณา ได้"
"แต่ในครั้งนี้เราไม่มีทั้ง 2 คนนั้นแล้ว นักกีฬาที่ก้าวขึ้นมาต้องยอมรับว่ามีฝีมือมากพอตัว แต่เราจะไม่โชคดีเหมือนการแข่งขันครั้งที่แล้ว เพราะตอนนี้คู่แข่งทราบดีว่าเรามีนักกีฬาที่มีสถิติที่ดี เชื่อว่าเราจะได้เหรียญรางวัลแน่นอนสำหรับทีมยกน้ำหนักหญิง เพราะจากสถิติแล้วบ่งบอกชัดว่าเรามีโอกาส แต่ไม่กล้าบอกว่าจะได้เหรียญทองหรือไม่ เพราะนักกีฬาจีนเองก็เป็นสุดยอดของการแข่งขันยกน้ำหนักเช่นกัน" อุปนายกสมาคมยกเหล็กกล่าว
*ฝันลางๆ กับ “แบดมินตัน – เทควันโด”
เมื่อ สมาคมมวยฯ และ ยกน้ำหนัก เป็นความหวังอันสูงสุดในการลุ้นเหรียญทองโอลิมปิก 2008 ความหวังลำดับรองลงมาคงหนีไม่พ้นสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย และสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย ซึ่งถือว่ามีลุ้นเหรียญรางวัลเช่นกัน
โดยเฉพาะสมาคมเทควันโดที่แม้จะไร้ "วิว" เยาวภา บุรพลชัย เจ้าของเหรียญทองแดงจากเอเธน ทว่าก็ยังมี 3 นักกีฬารุ่นใหม่ที่น่าจับตา ไม่ว่าจะเป็น ชัชวาล ขาวลออ, บุตรี เผือดผ่อง และ ชลนภัส เปรมแหวว ที่ล้วนมีดีกรีคว้าเหรียญรางวัลระดับสากลมาแล้วหลายสนาม ต่างก็มีโอกาสหยิบเหรียญทุกคนในสายตา "เสี่ยเอ" พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมฯ
"ผมมองว่าทีมเทควันโดของเรามีโอกาสลุ้นมากในการแข่งขันครั้งนี้ เนื่องจากสภาพความพร้อมของเรามีทุกด้านจริงๆ แต่ปัญหาที่เรากังวลคือ เทควันโด เป็นกีฬาที่แข่งขันกันวันเดียวจบ หากแข่งขันกันไปแล้วนักกีฬาเราเกิดได้รับอาการบาดเจ็บ ก็อาจจะส่งผลให้ความหวังที่มีจบลงทันที”
"ที่สำคัญเรื่องสายการแข่งขันก็เป็นสิ่งสำคัญ หากเราได้อยู่ในสายแข็ง โอกาสที่จะลุ้นมันก็จะยากขึ้นไปอีก รวมถึงสภาพความตื่นเต้นกดดันในสนามที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นๆ ซึ่งนักกีฬาทั้ง 3 คนที่เราส่งไปล้วนใหม่ต่อการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก"
ทั้งนี้ "เสี่ยเอ" ในฐานะนายกสมาคมขาตั้งเตะไทย เผยถึงความหวังของสมาคมว่า "ผมบอกว่าแต่เดิมเราตั้งเป้าไว้ 1 เหรียญทอง เพราะไม่อยากกดดันนักกีฬา เนื่องจากแต่ละรุ่นมี 128 คน จาก 60 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือว่าแต่ละคนก็ล้วนเก่งๆ ทั้งนั้น บางรุ่นเราไม่เจอเกาหลีต้นตำหรับ ไม่เจอเจ้าภาพจีน แต่ก็ยังมีนักกีฬาหลายๆ คนที่มีฝีมือเขาก็เฮไปกองอยู่ในรุ่นเดียวกับเรา ทำให้โอกาสก็ยากเหมือนกัน ต้องดูเรื่องการจับสลากแบ่งสายกันด้วยว่าเราจะโชคดีมากน้อยแค่ไหน"
ด้าน "อาจารย์เจริญ" ศ.เจริญ วรรธนะสิน นายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศ ไทยฯ เปิดเผยว่า "ทีมชาติไทยได้โควตาส่งนักกีฬา 4 คน สำหรับโอลิมปิกครั้งนี้ คือ บุญศักดิ์ พลสนะ (ชายเดี่ยว) สลักจิต พลสนะ (หญิงเดี่ยว) และ สุดเขต ประภากมล กับ สราลีย์ ทุ่งทองคำ (คู่ผสม) โดยนักกีฬาทุกคนต่างก็เคยผ่านกีฬาโอลิมปิก 2004 มาแล้ว"
"หลายคนอาจจะมองว่าตอนนี้นักกีฬาของเราไม่ดีพอจะคว้าเหรียญ แต่ผมอยากให้มองดูอีกครั้ง อย่าง บุญศักดิ์ ของเราก็สามารถเอาชนะ หลิน ตัน มือ 1 ของจีนมาแล้วในกีฬามหาวิทยาลัยโลก รวมทั้งมือเต็งอีกหลายคนก็ล้วนเคยถูก บุญศักดิ์ ของเราเก็บมาแล้ว ดังนั้น จะบอกว่าแบดมินตันไม่มีลุ้นไม่ได้"
"ส่วนประเภทคู่ผสมที่ สุดเขต จับคู่กับ สราลีย์ ก็นับว่าใครจะประมาทไม่ได้ เพราะคู่นี้เคยขึ้นไปครองตำแหน่งมือ 1 ของโลกมาแล้ว และก็ยังน่ากลัวอยู่เสมอ เพียงแต่ผมไม่กล้าตั้งความหวังในตอนนี้ ขอให้ถึงเวลาแล้วค่อยลุ้นกันไปจะดีกว่า"
*เซอร์ไพรส์อยู่ที่ “เป้าบิน-ยิงปืน”
นอกจาก 4 ชนิดกีฬาที่มีลุ้นเหรียญใน “ปักกิ่งเกมส์” แล้ว ทัพนักกีฬาไทยยังมีอีก 8 สมาคมกีฬาที่ส่งเข้าร่วมชิงชัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย ยิงปืน, เป้าบิน, กรีฑา, ว่ายน้ำ, เทเบิลเทนนิส, วินด์เซิร์ฟ, ฟันดาบ, เทนนิส และ จักรยาน
แม้ทั้ง 9 ชนิดกีฬาดังกล่าวจะดูเหมือนมีโอกาสลุ้นเหรียญรางวัลในระดับที่เรียกได้ว่า “ยาก” ถึง “ยากมาก” ทว่าอาจจะมีบางชนิดกีฬาที่เรียกเสียงฮือฮาได้ในตอนท้าย โดยเฉพาะในกีฬายิงปืน และ เป้าบิน
โดยพีระ ภิรมย์รัตน์ หัวหน้าผู้ฝึกสอนยิงปืนทีมชาติไทย เปิดเผยว่า ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ทีมยิงปืนไทยได้โอกาสส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันถึง 4 คน และจะลงทำการแข่งขันถึง 8 รายการ ซึ่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนยิงปืนทีมชาติไทย กล่าวถึงนักกีฬาความหวังในครั้งนี้ว่า "จากผลงานในการฝึกซ้อมที่เมืองไทย จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม (รุ่นปืนสั้นอัดลมชาย 10 เมตร) ทำคะแนนออกมาได้ถึง 588 จาก 600 คะแนน ซึ่งติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก ขณะที่ ธันยพร พฤกษากร ก็ซ้อมได้ถึง 582 จาก 600 คะแนน ในการยิงปืนสั้นอัดลมหญิง 10 เมตร ซึ่งก็ติดอันดับ 1 ใน 4 ของโลกเช่นกัน"
อย่างไรก็ดีเป้าหมายเบื้องต้นของสมาคมยิงปืนแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ นายพีระเผยว่าตั้งเป้าไว้ที่ให้นักยิงปืนทุกคนผ่านเข้าสู้รอบ 8 คนสุดท้าย เป็นอันดับแรก
“ซึ่งหากผ่านเข้าสู่รอบ 8 คนสุดท้ายได้ และรักษาจังหวะของการแข่งขันได้ดี โอกาสมีเหรียญติดมือก็มีสูงเช่นกัน”
ในส่วนของสมาคมยิงเป้าบินที่แม้จะส่งนักนักกีฬาเข้าร่วมในมหกรรมกีฬาครั้งนี้ได้เพียง 1 คน ทว่ากลับเป็น อีก 1 คนคุณภาพ อย่าง “น้องณี” สุธิยา จิวเฉลิมมิตร สาวนักแม่นเป้าในประเภทสกีตหญิงที่มีผลงานเข้าตาคว้าเหรียญเงินจากกีฬามหาวิทยาลัยโลก 2007 และ อันดับ 5 ในการชิงแชมป์โลกที่ไซปรัส ก็ถือว่าน่าลุ้นไม่น้อยทีเดียว
แต่แม้หลายชนิดกีฬาจะดูมีความหวัง ทว่า “บิ๊กจา” พลตรีจารึก อารีราชการัณย์ เลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิกไทยฯ ยอมรับว่ามีเพียงกีฬา “มวย” เท่านั้นที่น่าจะได้ลุ้นเหรียญทอง
"ผมมองว่าอย่างไรเสียสมาคมมวยสากลสมัครเล่นก็ยังเป็นความหวังของเรา เนื่องด้วยมีนักกีฬาถึง 8 คนที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายที่โอลิมปิกในครั้งนี้ได้ ซึ่งผมหวังไว้มากทีเดียว"
"ส่วนยกน้ำหนักต้องยอมรับว่าในฐานะเจ้าภาพแล้ว จีน ได้เปรียบเรามาก เขามีนักกีฬาที่พร้อมจะคว้าเหรียญทอง ที่สำคัญนักกีฬาจีนมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำผลงานสุดยอดกับการแข่งขันในบ้าน จึงเป็นเรื่องยากมากที่เราจะไปหวังเหรียญทองจากการแข่งขันยกน้ำหนัก ขณะที่กีฬาชนิดอื่นๆ ความหวังมีน้อยมากที่จะได้เหรียญ"
ถึงบรรทัดนี้แฟนกีฬาชาวไทยคงพอมองเห็นภาพกว้างๆ ถึงโอกาสลุ้นเหรียญรางวัลของนักกีฬาไทยใน “ปักกิ่งเกมส์” ได้เป็นอย่างดี ส่วนใครจะสำเร็จดังหวังนอกจากฝีมือแล้วคงต้องวัดกันว่าวาสนาของนักกีฬารายใดจะมีโอกาสมากกว่ากัน
******************************************
เรื่อง: เชษฐา บรรจงเกลี้ยง
รายชื่อนักกีฬาทีมชาติไทยที่มีโอกาสลุ้นเหรียญรางวัลในปักกิ่งเกมส์ 2008
ยิงปืน
จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม (ปืนสั้นอัดลมชาย)
ธัญญลักษณ์ โชติพิบูลย์ศิลป์ (ปืนยาวมาตรฐานสตรี)
ธันยพร พฤกษากร (ปืนสั้นสตรี)
ยิงเป้าบิน
สุธิยา จิวเฉลิมมิตร (สกีตบุคคลหญิง)
เทควันโด
ชลนภัส เปรมแหวว (รุ่น 57 กก. หญิง)
ชัชวาล ขาวละออ (รุ่น 58 กก. ชาย)
บุตรี เผือดผ่อง (รุ่น 49 กก. หญิง)
ยกน้ำหนัก
วันดี คำเอี่ยม (รุ่น 58 กก. หญิง)
ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล (รุ่น 53 กก. หญิง)
เพ็ญศิริ เหล่าศิริกุล (รุ่น 48 กก. หญิง)
เปรมศิริ บุญพิทักษ์ (รุ่น 48 กก. หญิง)
มวยสากล
อำนาจ รื่นเริง (รุ่นไลต์ฟลายเวต 48 กก.)
สมจิตร จงจอหอ (ฟลายเวต 51 กก.)
วรพจน์ เพชรขุ้ม (แบนตัมเวต 54 กก.)
มนัส บุญจำนงค์ (ไลต์เวลเตอร์เวต 64 กก.)
นน บุญจำนงค์ (เวลเตอร์เวต 69 กก.)
อังคาร ชมภูพวง (มิดเดิลเวต 75 กก.)
แบดมินตัน
บุญศักดิ์ พลสนะ (ชายเดี่ยว)
สุดเขต ประภากมล -สราลีย์ ทุ่งทองคำ (คู่ผสม)