หลังจากที่ทีมสโมสรธนาคารกสิกรไทย เคยสร้างความเกรียงไกรด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลสโมสรเอเชีย 2 สมัย เมื่อ 1994 และปี 1995 รวมทั้งสโมสรดังในปัจจุบันอย่าง "มังกรไฟ" บีอีซี เทโรศาสน เคยคว้าตำแหน่งรองแชมป์สโมสรฟุตบอลเอเชียมาแล้วในปี 2003 ทว่าไม่กี่ปีให้หลังสโมสรจากประเทศไทย กลับเกือบถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขันฟุตบอล "เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก" ในฤดูกาลหน้าด้วยเหตุผลเรื่องการบริหารจัดการที่ไม่เป็นมืออาชีพ
ข้อกล่าวหาดังกล่าวเกิดจากการที่สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย หรือ เอเอฟซี เตรียมจัดการแข่งขันฟุตบอล "เอเอฟซี โปร ลีก" ที่จะมาแทนที่ "เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก" ภายในปี 2554 เป็นต้นไป เพื่อยกระดับการแข่งขันฟุตบอลอาชีพในทวีปเอเชียให้สมบูรณ์แบบ โดยคณะกรรมการที่ดูแลฟุตบอลเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก ได้ทำการประชุม และประกาศลีกของแต่ละประเทศที่ผ่านเกณฑ์ตามข้อกำหนดของเอเอฟซี ซึ่งปรากฏว่ามีลีกจากเพียง 11 ชาติเท่านั้น ประกอบด้วย ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย, จีน, อินโดนีเซีย, จอร์แดน, ซาอุดิอาระเบีย, คูเวต, อินเดีย, อิหร่าน และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีคุณสมบัติพร้อมมาก โดยเฉพาะ “เจลีก” ของญี่ปุ่น เป็นลีกเดียวที่อยู่ในเกรด เอ โดยมีคุณสมบัติครบถ้วน ส่วน “ไทยลีก” ติดอันดับที่ต้องไปเพลย์ออฟกับ "วีลีก" ของเวียดนาม เพื่อแข่งขันรายการนี้
เลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะรวมลีก
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2549 แฟนลูกหนังไทย คงยังจำกันได้ว่าในเวลานั้น ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีความแปลกประหลาดของวงการฟุตบอลเกิดขึ้น เมื่อเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่มีฟุตบอลลีกถึง 2 ลีก ที่ดำเนินการแข่งขันในเวลาเดียวกัน คือฟุตบอลไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ที่จัดการแข่งขันโดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และฟุตบอลโปรวินเชียลลีก ที่จัดโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย
เรื่องดังกล่าว "บิ๊กแน็ต" ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ ประธานคณะกรรมการจัดการแข่งขันฟุตบอลไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ในปัจจุบัน เล่าย้อนอดีตให้ฟังถึงความลำบากกว่าที่ทั้ง 2 ลีกในเวลานั้นจะมารวมกันได้
"เรื่องการรวมลีกมันเริ่มขึ้นเมื่อปี 2549 คุณวิจิตร เกตุแก้ว นายกสมาคมฟุตบอลขณะนั้น ได้เชิญผมมาร่วมงานในการทำฟุตบอลไทยลีก ที่ในตอนนั้นไม่มีคนสนใจเลย จัดกันมาตั้งหลายปี แต่มันยังไม่เกิด ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่การแข่งขันรายการนี้ขาดผู้สนับสนุนหลัก เราต้องเข้าใจก่อนว่าการที่จัดฟุตบอลในช่วงเริ่มต้นมันยากมากที่จะหาการสนับสนุนจากแฟนฟุตบอล เพราะแต่ละสโมสรก็ยังไม่มีแฟนคลับ"
"ผมเข้ามาทำงานตอนนั้นเหนื่อยมาก วิ่งหาผู้สนับสนุนกันขาแทบขวิด สุดท้ายก็คิดว่าน่าจะไปคุยกับภาครัฐที่พร้อมสนับสนุนเป็นระยะยาวมากกว่า ดีกว่าที่จะมาหาผู้สนับสนุนกันปีต่อปี ตอนนั้น คุณสุวัจน์ ลิปพัลลภ เป็นรองนายกรัฐมนตรี ก็เข้าไปเรียนปรึกษากับท่าน สุดท้ายก็มีงบประมาณมาทั้งจากภาครัฐบาล และวิ่งไปหาเอกชนด้วย ก็ผ่านไปได้ในปีนี้"
"จากนั้นก็เข้าไปคุยกับการกีฬาแห่งประเทศไทยว่าเราคงต้องนำฟุตบอลไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก กับฟุตบอลโปรวินเชียลลีก มารวมกัน เพื่อการพัฒนาที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งยอมรับว่ามันไม่ง่ายเลย แต่ทุกอย่างลุล่วงไปได้ดี เราจึงมีลีกฟุตบอลเป็นลีกเดียวมาจนถึงทุกวันนี้"
"ถามว่าปัญหาการที่เรามีลีกฟุตบอล 2 ลีก คืออะไร ตอบได้เลยว่ามันสร้างความสับสนมาก เพราะการมี 2 ลีกฟุตบอลมันเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้รับการยอมรับจาก ฟีฟ่า หรือเอเอฟซี เขาก็คงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ อีกทั้งยังส่งผลต่อการรับรู้ของประชาชนในประเทศที่มองว่าทำไมเราต้องมีตั้ง 2 ลีก เลยกลายเป็นว่า คนกรุงเทพฯ ก็ดูไทยลีก ส่วนคนต่างจังหวัด เขาก็ดูแต่โปรลีก ทีนี้จะเกิดการพัฒนาได้อย่างไร" บิ๊กแน็ตกล่าว
"ถึงวันนี้เรารวมไทยลีก กับ โปรวินเชียลลีก เข้าด้วยกันเป็นชื่อไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ซึ่งเรากำลังเดินมาในทิศทางที่ถูกต้อง และอยากเห็นในสิ่งที่ถูกต้องต่อไป”
ชุบมือเปิบสมาคมฟุตบอลฯดึงไทยลีกทำเอง
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทางเอเอฟซี ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บข้อมูล พร้อมกับแจ้งว่า ฟุตบอลไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก นั้นยังไม่พร้อมที่จะเป็นลีกอาชีพ เนื่องจากขัดกับคุณสมบัติหลายประการที่มีการประกาศมาก่อนหน้านี้ และมีโอกาสที่จะหลุดจากโควตา เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก หากไม่มีการปรับโครงสร้างใหม่
ซึ่งจากเหตุผลข้างต้น ส่งผลให้ "บิ๊กยี" วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ออกมาประกาศดึงเอา "ฟุตบอลไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก" หรือ "ไทยลีก" กลับไปจัดเอง โดยมีการอ้างว่าเพื่อให้การบริหารจัดการผ่านมาตรฐานของ "เอเอฟซี" ในฤดูกาลหน้า
"ผมขอยืนยันอีกครั้งว่าสมาคมฟุตบอลฯ จะจัดการทุกอย่างตามกฎเกณฑ์ที่ เอเอฟซี ระบุมา โดยในมิถุนายนเราต้องเร่งตั้งบอร์ดขึ้นมากำหนดกรอบและนโยบายขององค์กรที่จะดูแลการแข่งขันฟุตบอลลีกของไทย ซึ่งต้องมีการดึงเอาตัวแทนของแต่ละสโมสรเข้ามาเป็นบอร์ดช่วยกันบริหารงาน และจะทำการแต่งตั้งผู้ที่มีศักยภาพเข้ามาเป็นซีอีโอ โดยช่วงแรกอาจต้องใช้มืออาชีพจากต่างประเทศ เข้ามาวางโครงสร้างฟุตบอลลีกของเราให้แข็งแรงก่อนสัก 2-3 ปี โดยแผนงานจะเริ่มขึ้นในฟุตบอลไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลหน้าเป็นต้นไป"
“ถึงเวลานี้ผมคงยังบอกไม่ได้ว่ารูปแบบชัดเจนจะเป็นอย่างไร เพราะเราต้องรอการประชุม และความคิดเห็นของสโมสรต่างๆ ที่จะเข้าร่วมจัดตั้งองค์กรขึ้นมาบริหารไทยลีกใหม่ก่อน แต่เชื่อว่าด้วยแนวความคิดที่ต้องการก้าวสู่ความเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพ เราจะก้าวไปข้างหน้า และผ่านเกณฑ์การตัดสินของ เอเอฟซี แน่นอน”
จากสภาพดังกล่าว ส่งผลให้เกิดปัญหาขึ้นมาเมื่อการแข่งขันฟุตบอลไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกในปัจจุบันที่มี "บิ๊กแน็ต" ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ นั่งเป็นประธานคณะกรรมการจัดการแข่งขันอยู่แล้ว อีกทั้งฟุตบอลรายการนี้ยังได้รับการสนับสนุนเรื่องงบประมาณจากในส่วนของเงินรางวัล และเงินสนับสนุนสโมสรจากการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ "กกท." ทำให้มีความกังวลว่าประเทศไทย อาจจะกลับเข้าสู่ระบบ "1 ประเทศ 2 ลีก" อย่างที่เคยเป็นมาตลอด เนื่องจากจะมีทั้งฟุตบอลไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ที่จัดโดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และฟุตบอลโปรวินเชียลลีก ที่จัดโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม “บิ๊กแน็ต” ยืนยันว่าจะไม่เห็นด้วยกับการจัดฟุตบอลโปรวินเชียลลีกแข่งกับสมาคมฟุตบอลอย่างแน่นอน “โปรวินเชียลลีก ผมไม่อยากให้พูดถึงกันอีกแล้ว ผมอยากให้มีลีกอาชีพลีกเดียวคือไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก แต่ปัญหามันอยู่ที่คณะกรรมการชุดใหม่ที่ทางสมาคมฟุตบอลเขาจะจัดมาดำเนินการแข่งขันว่าจะเป็นอย่างไร จะแข่งขันกันเฉพาะทีมสโมสรหน้าเก่า แล้วปล่อยทีมจังหวัดไปแข่งโปรลีกหรือ? ผมไม่ทราบจริงๆ”
ดึงแนวคิด “โปรลีก” ปรับโครงสร้างลีกใหม่
หลังปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว "บิ๊กแน็ต" ประธานจัดไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน ก็เดินหน้าต่อโดยไม่สนว่าฟุตบอลรายการนี้จะต้องกลับไปจัดภายใต้น้ำมือของสมาคมฟุตบอลอีกครั้ง "สิ่งที่ผมอยากเห็นคือเรามีสโมสรอาชีพที่เลี้ยงตัวเองได้ และเหตุผลเดียวที่จะทำให้สโมสรในไทยลีกเลี้ยงตัวเองได้ คือ แฟนคลับ จึงจำเป็นเหลือเกินที่ต้องวางโครงสร้างใหม่ให้ทุกสโมสรจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่น และวิธีที่ง่ายที่สุดคือไปควบรวมกับจังหวัด นั่นคือแต่ละจะสโมสรต้องไปอยู่กับจังหวัดต่างๆ ให้ได้ เหมือนที่เราเคยมีโปรลีกที่มีแฟนคลับ"
"หลังจากการหารือร่วมกับสโมสรแล้ว ในเดือนมิถุนายนนี้ จะเชิญจังหวัดที่มีศักยภาพพร้อม โดยเฉพาะเรื่องของสนามแข่งขันฟุตบอลที่ได้มาตรฐานตอนนี้กำหนดราวๆ 20 จังหวัด ประกอบไปด้วย กรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่, โคราช, สงขลา, สุราษฏร์ธานี, สุพรรณบุรี, ชลบุรี, อยุธยา, ระยอง, นครสวรรค์, ลพบุรี, ขอนแก่น, พิษณุโลก, จันทบุรี, นนทบุรี, ปทุมธานี, สมุทรปราการ, ราชบุรี, ฉะเชิงเทรา, อุบลราชธานี มาร่วมหารือกับทางสโมสรฟุตบอลในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก เพื่อมาร่วมมือกันในการพัฒนาฟุตบอลลีกในประเทศ ให้เป็นฟุตบอลอาชีพอย่างแท้จริง"
“หากสมาคมฟุตบอลฯ จะเอา ไทยลีก ไปจัดการแข่งขันเอง ผมพร้อมจะให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ รวมไปถึงด้านงบประมาณ จากการกีฬาแห่งประเทศไทย ที่ยืนยันให้การสนับสนุนสมาคมฟุตบอลฯ เช่นเดียวกับสมาคมกีฬาอื่น พร้อมทั้งจะมอบข้อมูลที่ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นทั้งหมด กับสมาคมฟุตบอลไปสานต่อ แต่ไม่อยากให้ล้มโครงการนี้ เพราะเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว”
ซึ่งแนวความคิดดังกล่าวสอดคล้องกับหลายสโมสร โดยเฉพาะ "ฉลามชล" ชลบุรี เอฟซี ที่ "เดอะ เซนต์" อรรณพ สิงห์โตทอง ผู้ช่วยผู้จัดการทีมดังแห่งภาคตะวันออก แสดงความเห็นด้วย
"หากดูกันตามจริงฟุตบอลโปรวินเชียลลีกนับว่าเป็นโครงสร้างที่ดีที่จะกระจายให้แฟนบอลได้มีส่วนร่วม นั่นคือแนวทางสู่สโมสรอาชีพ แต่โปรลีกของเมืองไทยยังมีปัญหาเรื่องคุณภาพของนักฟุตบอล คุณภาพของโค้ช คุณภาพของการบริหารจัดการ ยังสู้ไทยลีกไม่ได้ เพราะว่าลีกในกรุงเทพฯ เขาอยู่กันมานาน ทำกันมาหลายปี นักฟุตบอลทีมชาติก็อยู่กับทีมในกรุงเทพที่มีโครงสร้างการบริหาร การจัดการที่ดี แต่ปัญหาคือไม่มีแฟนคลับ”
"การบริหารจัดการนั้นเป็นเรื่องรองสามารถพัฒนาจัดการได้ แต่แฟนคลับมันพัฒนาลำบาก ตัวผู้เล่นเก่งไม่เก่ง ซื้อได้ ส่วนแฟนคลับซื้อขายไม่ได้ ต้องศรัทธา รักทีม ผูกพันกับทีม เราก็ดูแล้วว่ามันดีกันคนละอย่าง ดังนั้นจึงต้องมารวมกัน แล้วเอาข้อดีของไทยลีก คือเรื่องการบริหารจัดการ เรื่องงบประมาณ ตัวผู้เล่นดี โค้ชดี แต่ไม่มีแฟน ส่วนโปรลีก มีแฟนคลับ ดังนั้นสโมสรต่างๆ ต้องไปอยู่กับจังหวัด กับเมือง เหมือนที่อารยประเทศเขาทำกัน ทีนี้ประเทศไทยเราแปลก ทำกันมาแบบครึ่งบกครึ่งน้ำ ดังนั้นจึงต้องนำข้อดีมารวมกัน จึงจะทำให้ลีกดีได้"
“ปัจจุบันทุกอย่างพัฒนาเป็นขั้นตอน มีการนำเอาทีมจังหวัดเข้ามาสู่ระบบไทยลีก มีการให้โอกาสทีมชลบุรี, สมุทรสงคราม, นครปฐม และสุพรรณบุรี ได้ไต่เต้า โดยเฉพาะทีมสมุทรสงคราม ทีมเล็กนิดเดียว แต่แฟนบอลเข้าสนามเต็มทั้งที่ทีมเพิ่งขึ้นมาเล่นไทยลีกแค่ปีแรกยังทำได้ขนาดนี้ แม้ฝีเท้าไม่ดีแต่กลับมีแฟนเยอะมาก นั่นทำให้ทุกคนเห็นภาพชัดเจนแล้วว่าทีมจังหวัดนั้นใช้ได้เลย ถ้าสโมสรอื่นๆ ยังปิดกั้นตัวเองไม่ออกต่างจังหวัด มันก็เสร็จ เห็นชัดเลยว่าดีขึ้นมากตลอด 3 ปีที่เรารวมลีกมา มันอาจจะไม่ดีขึ้นทันตาต้องใช้เวลาอีก 4 ปี 5 ปี มันก็ดีขึ้น มีระเบียบ ซึ่งสิ่งที่ เอเอฟซี กำหนดมานั้นเป็นเรื่องถูกแล้ว”
โดย “เดอะ เซนต์” ยังได้ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า “หากสมาคมฟุตบอลฯ รับ ไทยลีก กลับไปทำ ก็ต้องพิสูจน์ฝีมือว่าสามารถทำได้ดีกว่าที่เขาทำกันมา 3 ปี อย่าให้ได้เท่าเดิม ควรจะดีกว่า แล้วโครงสร้างที่ให้สโมสรไปอิงกับท้องถิ่น หรือจังหวัด ก็ต้องสานต่อ เพราะไม่อย่างนั้น สมาคมฟุตบอลเองก็จะเสีย เพราะตัวเองเป็นคนรับรองโครงสร้างนี้เอง”
คงต้องมารอดูกันต่อไปว่าหน้าตาของฟุตบอลไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกยุคใหม่ ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของ “บิ๊กยี” วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมลูกหนังไทย จะออกมาสดสวยงดงามแค่ไหน
************************
เรื่อง - เชษฐา บรรจงเกลี้ยง